ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 563 โกรธเกรี้ยว (3)
บทที่ 563 โกรธเกรี้ยว (3)
กลางทะเลป่าบริเวณชายแดนของแคว้นนวกระจ่าง
ด้านในป่าที่เขียวชอุ่มเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนนี้สัตว์ป่า แมลง และนกฝูงใหญ่กำลังหนีไปรอบๆ ด้วยความแตกตื่นหวาดกลัว
คันฉ่องทรงโค้งขนาดมหึมาที่สูงถึงสามหมี่ตั้งสงบนิ่งอยู่บนพื้นโคลนกลางป่าระหว่างต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า
“สำนักมารกำเนิดกล้าต่อต้าน” เสียงในอากาศค่อยๆ ดังขึ้น
“อย่างนั้นก็เริ่มกันเลย คันฉ่องแห่งสงคราม ทางสำนักพันอาทิตย์ได้ส่งทัพอาภรณ์แดงไปแล้ว” สตรีอีกคนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ดีเหมือนกัน ช่วงนี้สามสำนักเคลื่อนไหวเอิกเกริกและกำเริบเสิบสานขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเจ้าสำนักกักตนเพราะได้รับบาดเจ็บหนัก ก็ยังไม่ยอมทำตัวสงบเสงี่ยม ถือว่ามอบคำเตือนให้แก่สำนักพันอาทิตย์ก็แล้วกัน”
“อือ”
ซู่ว…
แสงสีเทาเล็กละเอียดเริ่มรวมตัวและแผ่กระจายในผิวคันฉ่อง
พรึ่บ แขนสีเทาข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในคันฉ่องอย่างช้าๆ ก่อนที่ร่างกายเปลือยเปล่าสีเทาจะตามออกมา
บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นหางงูสามหางค่อยๆ คลานออกมาจากในคันฉ่อง
บุรุษสวมกวนหยกสีขาวอมเทา ตาเป็นประกายกลอกกลิ้งและเย็นเยียบ
หลังจากเขาออกมาจากผิวคันฉ่องแล้ว ก็รีบหลีกทาง ไม่นานนักสตรีผมดำงดงามที่ผมยาวถึงเอวก็เดินออกมาจากด้านหลังอีกคน
เพียงแต่ปลายผมของสตรีนางนี้เหมือนเหยียดยื่นเข้าไปในความว่างเปล่า เป็นสภาพประหลาดกึ่งโปร่งแสงเหมือนมีเหมือนไม่มี
“ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้จะเป็นการร่วมมือกับท่าน ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก อริยะเจ้าถูหลัน” บุรุษผู้มีหางงูสามหางเผยรอยยิ้มน่าลุ่มหลง
“นับตั้งแต่เลื่อนเป็นเทวปัญญาเมื่อพันปีก่อน พวกเราก็ไม่ได้เจอกันมาเก้าร้อยปีแล้วกระมัง” ถูหลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ดูเหมือนอริยะเจ้าจ้าวอวี้จะเข้าสู่ระดับสามหางอย่างเป็นทางการแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก”
“อริยะเจ้าถูหลันก็เข้าสู่ระดับเกศาลวงเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
ทั้งสองยกยอกันเอง
“ครั้งนี้ที่มาเพราะพบวิญญาณระดับดวงดาวในต้าอิน
จะว่าไป ระดับดวงดาวในระบบของต้าอินน่าจะตรงกับจิตวิญญาณระดับดาวหยกถึงเทวปัญญากระมัง วิญญาณดวงดาวนอกโลกระดับนี้มีคุณค่าให้ศึกษาสูงมาก” ถูหลันเลียรีมฝีปากจิ้มลิ้ม กล่าวอย่างปรารถนา
“ระบบแตกต่างกัน แต่ถ้าเทียบด้านการต่อสู้แล้ว ระดับดวงดาวอย่างมากสุดจะเท่ากับระดับเทวปัญญาจริงๆ สำหรับดวงดาวด้านนอก ขอแค่ดำรงกายเนื้อและจิตวิญญาณในนภาดาวของโลกภายนอกได้ ก็สามารถเรียกว่าระดับดวงดาวได้ทั้งนั้น” อริยะเจ้าจ้าวอวี้บุรุษสามหางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ ในเมื่อผู้รับผิดชอบอย่างพวกเราสองคนมาถึงแล้ว อย่างนั้นก็เริ่มเถอะ”
“ก็ดี”
ทั้งสองล้วงหยิบกุญแจสีดำดอกเล็กออกมาจากอก จากนั้นก็ประกบกุญแจเข้าด้วยกันเบาๆ รอยฟันบนกุญแจถึงกับเข้ากันได้พอดี
แกร๊ก
กุญแจที่ประกบเข้าหากันส่งเสียงดังกังวาน
ชั่วขณะนั้น ต้นไม้ยักษ์จำนวนมหาศาลที่อยู่รอบๆ ค่อยๆ สั่นไหว
ครืน…
ต้นไม้ยักษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดต้นหนึ่งถอนรากออกจากพื้นอย่างช้าๆ บนลำต้นมีดวงตาสีเขียวเข้มขนาดยักษ์คู่หนึ่งเปิดขึ้น
“หัวหน้าทัพ อันตี๋ลาตัว น้อมรับคำสั่งของอริยะเจ้าทั้งสองท่าน”
“เตรียมเคลื่อนพล” อริยะเจ้าถูหลันโยนกุญแจไปยังท้องฟ้าเบาๆ
เปรี้ยง!
จากนั้นกุญแจก็ระเบิดออก โปรยปรายเป็นจุดแสงสีดำนับไม่ถ้วน
“เข้าใจแล้ว…” มนุษย์ต้นไม้พยักหน้าน้อยๆ
คลื่นไร้รูปร่างขยายไปรอบๆ อย่างไร้สุ้มเสียงโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
ชั่วขณะนั้น ป่าไม้พุ่มหญ้าทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีพันลี้ต่างก็ขยับขยุกขยิก พากันถอนรากออกจากพื้น บนลำต้นมีใบหน้ามนุษย์ปรากฏขึ้น ต่างจัดเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ
ใช้เวลาแค่ครู่เดียว ป่าดึกดำบรรพ์ที่มีอายุหลายพันปีแห่งนี้ก็กลายเป็นทัพพฤกษาอันน่ากลัวที่มีจำนวนต้นไม้ขนาดยักษ์มากกว่าหลายสิบหมื่น
“ไปเถอะ จงฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พบเห็น” อริยะเจ้าจ้าวอวี้ชี้ไปยังทางเขตจันทราสารท
ตูม!
ทัพต้นไม้นับไม่ถ้วนพากันถอนร่างจากพื้น แล้วก้าวไปยังทิศทางของเขตจันทราสารทในทันที
ดวงตาสีน้ำเงินขนาดยักษ์ข้างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏบนพื้นดินที่ทัพใหญ่เคลื่อนผ่าน จับจ้องการเดินหน้าอย่างรวดเร็วของทัพใหญ่
…
วังมาร สำนักมารกำเนิด
ลิ่วซานจื่อเร่งรุดมาถึงตำหนักหลักของวังมารหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของลู่เซิ่ง
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น ผู้ถืออาวุธอีกสิบกว่าคนก็มากันพร้อมหน้าเช่นกัน ในนี้มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นคนที่เข้าร่วมกับสำนักมารกำเนิดในช่วงที่วิญญาณร้ายออกอาละวาด จึงไม่ทราบว่าท่าทีของเจ้าสำนักหมายถึงสิ่งใด
มีแต่จอมอาวุโสในตอนแรกสุดอย่างเฒ่าสือกับสวี่เฝ่ยลาเท่านั้นที่รู้ว่า ความโกรธเกรี้ยวแบบนี้ของลู่เซิ่งเป็นครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน
จอมอาวุธสิบกว่าคนรวมตัวกันที่ตำหนักหลัก เจ้าสำนักลู่เซิ่งยังมาไม่ถึง แต่ทุกคนล้วนกระสับกระส่าย
พวกเขาเห็นดวงตาสีน้ำเงินขนาดยักษ์ที่แผ่ไปทั่วม่านฟ้าเมื่อก่อนหน้าแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะถูกเจ้าสำนักของตนทำลายในการโจมตีครั้งเดียว แต่แยกแยะได้จากเสียงถ่ายทอดคำสั่งเมื่อครู่ว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ดวงตาข้างนั้นจะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งสำนักอริยะที่หนึ่งของสำนักไตรอริยะ
คำสั่งให้ตามหาและฆ่าไม่ละเว้นของลู่เซิ่งก็แสดงให้เห็นว่า คิดจะทำให้สำนักมารกำเนิดแตกหักกับสำนักอริยะที่หนึ่งแล้ว
“ยังไม่เอ่ยถึงว่าเป้าหมายที่พวกเราจะลงมือไล่ล่ามีพลังระดับใด ถ้าหากสำนักไตรอริยะสืบสาวเอาความหลังจบเรื่อง ควรจะทำอย่างไร” จอมอาวุโสผู้ถืออาวุธผมหงอกคนหนึ่งกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“เฒ่าสวีกล่าวไม่ผิด สำนักมารกำเนิดของพวกเราแตกต่างกับสำนักอริยะที่หนึ่งมาก การฉีกหน้ากับสำนักไตรอริยะเช่นนี้ ต่อให้พวกเรามีสำนักพันอาทิตย์คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็… ”
ผู้ถืออาวุธอีกคนกล่าวเสียงขรึมเช่นกัน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล
“เจ้าสำนักไม่ฉลาดจริงๆ ต่อให้ออกคำสั่งไล่ล่า ก็ไม่ควรระบุขุมกำลังและสถานะของอีกฝ่ายออกมาตรงๆ ชื่อของสำนักไตรอริยะยิ่งใหญ่เกินไป การระบุแบบนี้ ต่อให้เบื้องล่างทำตามคำสั่งจริงๆ จะมีใครกล้ายืนกรานอย่างแน่วแน่บ้าง”
“การซ่อนตัวรังแต่จะยุ่งยากกว่าเดิม นั่นไม่เท่ากับทำร้ายคนหรือ”
“พวกท่านว่า การกระทำนี้ของเจ้าสำนักคือการทดสอบบริวารทางอ้อมหรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้ ยังไม่พูดถึงว่าประสิทธิผลเป็นอย่างไร เกิดว่ากลายเป็นศัตรูกับสำนักอริยะที่หนึ่งจริงๆ นั่นจะยิ่งได้ไม่คุ้มเสียกว่าเดิม…”
ทุกคนถกเถียงกันอยู่ชั่วขณะ ต่างมีการคาดเดาของใครของมัน
สวี่เฝ่ยลากับเฒ่าสือก้มหน้าไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูดไม่จา ทุกอย่างต้องรอเจ้าสำนักลู่เซิ่งปรากฏตัวก่อน จึงค่อยให้ข้อสรุปสุดท้ายได้
หัวหน้าคิดอย่างไร ลูกน้องเดาไปก็ไม่มีประโยชน์
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ ปราณมารยังคงหลั่งไหลบนพื้น ปราณมารจำนวนมากเมื่อก่อนหน้านี้พลิกตัวปกคลุมอาณาเขตพันลี้รอบๆ เหมือนกับห้วงสมุทร
ทุกคนเดาว่าคงเป็นวิธีการที่เจ้าสำนักใช้ตรวจสอบอาณาเขตเช่นนี้ เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะอาศัยค่ายกลส่วนหนึ่งของวังมาร ใช้การปลดปล่อยศิลามารจำนวนมาก
เพียงแต่ทุกคนถกเถียงกันในตำหนักหลักอยู่นานสองนาน ก็ยังไม่เห็นเจ้าสำนักมาถึง
จากนั้นก็มีคนเริ่มสงสัย
“เจ้าสำนักเรียกพวกเรามารวมตัวกัน แต่ไม่โผล่หน้ามา นี่คือเหตุผลอะไรกัน”
“ถูกต้อง การกระทำของเจ้าสำนักไม่ทราบว่ามีแผนการอะไรอยู่”
“เรียกระดมคนมา แต่ตัวเองไม่ปรากฏตัว ไม่สมเหตุสมผลเลย”
สวี่เฝ่ยลามองดูผู้ถืออาวุธจำนวนมากในตำหนักหลักที่ต่างก็กระสับกระส่าย จากนั้นก็มองลิ่วซานจื่อที่ยืนอยู่อย่างสงบนิ่งอยู่ด้านข้าง ในใจด่าว่าจิ้งจอกเฒ่า
เพียงแต่ดูทิศทางยิ่งมายิ่งแย่ลง เขาในฐานะรองเจ้าสำนักที่รับผิดชอบภารกิจในช่วงนี้จึงต้องลุกขึ้นพูด
“จะว่าไป เจ้าสำนักดูเหมือนจะไม่ได้ออกคำสั่งเรียกรวมตัวกระมัง คำสั่งสังหารก็คือคำสั่งสังหาร แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าสำนักไม่ได้ส่งคำสั่งเรียกรวมตัวมาหาพวกเรา”
คำพูดของเขาพลันทำให้ทุกคนในตำหนักหลักงุนงง
เป็นเช่นที่ว่าจริงๆ หลังจากลู่เซิ่งเริ่มออกคำสั่งสังหาร ก็ไม่ได้แจ้งอะไรต่ออีก และไม่ได้ให้พวกเขามารวมตัวกัน
เพียงแต่พวกเขามารวมตัวกันเองเพื่อทำความเข้าใจจิตใจของเจ้าสำนัก
“ความจริง…ข้าเคยเห็นจือเหิงจื่อที่ท่านเจ้าสำนักพูดถึงมาก่อน” เฒ่าสือเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“อ้อ เฒ่าสืออยากพูดอะไร โปรดอธิบายด้วย” มีคนรีบถาม
เฒ่าสือยิ้มพร้อมค่อยๆ กล่าวว่า “จือเหิงจื่อเป็นสมาชิกของหน่วยตรวจสอบจากสำนักอริยะที่หนึ่ง ส่วนตรวจสอบอะไร ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พลังของคนผู้นี้อย่างน้อยก็อยู่ในระดับผู้ถืออาวุธ ขอกล่าวประโยคไม่น่าฟังสักหน่อย ในหมู่ทุกท่านที่นั่งอยู่นี่ คนที่เทียบกับเขาได้ มีไม่เกินสามคนเท่านั้น”
พอเขากล่าวประโยคนี้ออกไป ทุกคนก็งุนงง
“เฒ่าสือ วาจานี้ของท่านหมายความว่าอะไร” มีคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
เฒ่าสือหยีตาและยิ้มบาง
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างไรหรอก เพียงอยากให้พวกท่านเข้าใจว่า การที่เจ้าสำนักออกคำสั่งสังหาร แต่ไม่ได้เรียกพวกเรามารวมตัวกัน แถมจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัว ความนัยในนี้หมายถึงอะไร ทุกท่านยังคิดไม่ออกอีกหรือ”
จิตใจของทุกคนพลันเย็นเยียบ ต่างนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างได้ในพริบตา ในตำหนักใหญ่เงียบสงัดลง
สักพักใหญ่ๆ…
“หรือว่า…” สวี่เฝ่ยลากล่าวเสียงขรึมด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป
ซ่าๆ…
เวลานี้ด้านนอกตำหนักใหญ่ไกลออกไปเงียบลง ทุกคนเพิ่งได้ยินเสียงแทรกเบาๆ ที่ดังมาจากด้านนอก
“ด้านนอกมีการเคลื่อนไหว!”
ผู้ถืออาวุธคนหนึ่งมองไปด้านนอกหน้าต่าง
“นั่นคืออะไร!?”
ทุกคนรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณเกิดความผิดปกติ พากันพุ่งร่างออกจากตำหนักใหญ่ เพิ่งจะไปถึงหน้าประตูตำหนักใหญ่ ทุกคนก็รีบชะงักฝีเท้าทันที
เปลวไฟสีดำแกมเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนลุกไหม้บนพื้นของวังมารตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
ลานกว้างว่างเปล่าด้านหน้าตำหนักใหญ่กลายเป็นทะเลเพลิงโดยสมบูรณ์
เปรี้ยง
ฝ่ามือแกร่งสีดำที่ใหญ่ถึงสองหมี่กว่าๆ ค่อยๆ ยื่นออกมาจากข้างตำหนักหลัก
“นั่นคือ…!?”
พวกเฒ่าสือกับสวี่เฝ่ยลาที่ติดตามลู่เซิ่งมาตั้งแต่ตอนแรกสุดจำได้ทันทีว่าสิ่งที่โผล่มานี้คืออะไร
ร่างกายขนาดมหึมา โครงร่างที่แข็งแกร่ง แผงคอที่ลุกไหม้ เขี้ยวโค้งกับดวงตาขนาดใหญ่ที่น่ากลัวทรงพลัง ร่างอันมหึมาที่สูงถึงสิบกว่าหมี่
โฮก!
เสียงสิงโตคำรามที่รุนแรงกลายเป็นคลื่นสีดำที่จับต้องได้ในพริบตา ก่อนจะกระจายไปรอบๆ
“ราชสีห์โทสะ!”
ผู้ถืออาวุธทุกคนต่างโซเซเพราะเสียงคำราม
“ผู้อ่อนแอ สุดท้ายก็จะถูกเผาไหม้กลายเป็นขี้เถ้า” ราชสีห์โทสะกวาดตามองทุกคนอย่างรังเกียจ ฝ่ามือยักษ์ทาบลงบนพื้น ฝ่ามือห่อหุ้มด้วยไฟมารนับไม่ถ้วน ก่อนจะทะยานขึ้น แล้วบินไปยังที่ไกล
“อานุภาพนี้…แข็งแกร่งกว่าราชสีห์โทสะในความทรงจำเกินไปแล้ว…” ลิ่วซานจื่อดวงตาฉายแววตื่นตระหนก
เขาสัมผัสได้ว่า หากราชสีห์โทสะตัวนั้นลงมือจริงๆ ขอแค่เสียงคำรามเมื่อครู่ ก็สามารถสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของทุกๆ คนให้แตกกระเจิงได้อย่างง่ายดายแล้ว
เทียบกับราชสีห์โทสะของตัวเอง มันมีพลังแข็งแกร่งกว่าไม่ต่ำกว่าร้อยเท่า!
“เดิมที…เจ้าสำนักไม่ได้เรียกรวมตัวพวกเรา…และไม่ได้ออกคำสั่งต่อพวกเรา…”
ทุกคนผุดสีหน้าผิดหวังและตกตะลึงสุดบรรยาย
ผิดหวังเพราะพวกเขาไม่ใช่เสาหลักที่แท้จริงของสำนัก ตกตะลึงเพราะเจ้าสำนักยังซุกซ่อนขุมกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้เอาไว้ นี่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
……………………………………….