ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 565 สังหาร (1)
บทที่ 565 สังหาร (1)
ศีรษะหมาป่าหลายข้างเรืองแสงอย่างต่อเนื่อง ไอความเย็นขนาดใหญ่หลายสายรวมตัวกันและหมุนวนด้วยความเร็วสูง
ดวงตาหลายร้อยคู่ของลู่เซิ่งปรากฏอักขระงูมีปีกสีขาวอมเทาที่เหมือนกันขึ้น
“ตายซะเถอะ! ราตรีเหมันต์คำราม!”
ตูม!
ทันใดนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าสว่างกลางท้องฟ้า แสงสีขาวหลายร้อยสายกลายเป็นเสาแสงสูงเทียมฟ้า ข้ามผ่านท้องนภา ก่อนจะหายไปในความว่างเปล่า
แสงสีขาวที่ถูกเชื่อมกันเป็นแผ่นผืนกลางท้องฟ้าแยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็ริบหรี่ลงด้วยความเร็วสูง
บังเกิดพายุโหม อุณหูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากยามกลางวันกลายเป็นยามราตรีในชั่วพริบตา
ชั้นเมฆรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ก่อนจะปกคลุมแสงสว่างทั้งหมดไว้ เกล็ดหิมะขาวโพลนกลุ่มใหญ่ค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วพื้นดิน
เสียงครืนครันสะท้อนกลางท้องฟ้า ราตรีเหมันต์มาเยือนแล้ว
เงาสีน้ำเงินค่อยๆ หลุดออกจากร่างของบุรุษตาสีน้ำเงิน ทั่วทั้งร่างเริ่มค่อยๆ มีน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุม พลังชีวิตจำนวนมากถูกไอความเย็นดึงออกมาจากร่าง และดูดซับเข้าไปในอากาศรอบๆ
“ความสามารถนี้…เป็นวิชาที่ไม่เลว” บนใบหน้าเงาคนปรากฏดวงตาข้างเดียวสีน้ำเงินขนาดใหญ่ในแนวตั้ง ในดวงตามีรอยเนื้อย่นทับกันเป็นชั้นๆ สามารถยืดหดได้อย่างเป็นอิสระเหมือนกับกล้องส่องทางไกลที่มีเปลือกไม้แก่ห่อหุ้มไว้
“แต่เจ้าไม่เข้าใจความแตกต่างด้านระดับ” เกล็ดหิมะบนร่างเงาคนหยุดการแผ่ขยายในพริบตา ม่านตาบนใบหน้าของเขาสั่นไหวทีหนึ่ง
“หยุดเวลา”
แกร๊ก ทันใดนั้นฟ้าดินในโลกหยุดนิ่ง ความสามารถที่มีเฉพาะในอริยะเจ้าเทวปัญญาถูกเงาคนใช้ออกมาแล้ว
“ให้ข้าได้สั่งสอนเจ้าเถอะว่าอะไรคือความแตกต่าง…” เงาคนยื่นมืออกไปตะปบใส่ลู่เซิ่งที่อยู่ไกลแสนไกลในสภาพหยุดเวลา
เงาสีน้ำเงินผืนใหญ่ทะลักและแผ่ขยายจากบนแขนของเขา แล้วกลายเป็นเงาสีน้ำเงินนับไม่ถ้วน พุ่งตามพื้นเข้าหาลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
“ไร้ความหมายสิ้นดี” กระทิงแห่งความเจ็บปวดบิดร่างยักษ์ ขวางเงาสีน้ำเงินไว้อย่างดุดัน มันเป็นจ้าวแห่งมารขั้นสูงสุดเหมือนกัน จึงเปิดใช้การหยุดเวลาในเวลาเดียวกัน สองฝ่ายผลาญพลังกันเอง
ควับ!
เงาสีน้ำเงินกลุ่มใหญ่ถูกร่างของกระทิงดำตัวเขื่องกลืนกินและขวางกั้นไว้ได้ในพริบตา
“หลุดจากการหยุดเวลาของข้าได้หรือนี่…” เงาสีน้ำเงินแปลกใจเล็กน้อย “อย่างนั้น ถ้าแบบนี้เล่า…”
ตูม
เงาสีขาวสายหนึ่งกระแทกใส่มันอย่างหนักหน่วงกลางอากาศ
เงาคนกระอักเลือดสีน้ำเงินออกมา ส่ายหน้าพลางคืบคลานร่างขึ้นจากพื้น ร่างกายถูกชนจนโปร่งแสงและกระจัดกระจาย ตอนนี้ถูกแกนหลักในร่างกายรวบรวมขึ้นมาใหม่
“แค่สัตว์มารแท้ๆ…เพียงแค่การหยุดเวลาระดับเทวปัญญา กลับเจาะการป้องกันของเราได้ ช่างร้ายกาจจริงๆ”
การหยุดเวลาถูกทะลวง ทุกอย่างจึงกลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เงาคนตอบสนองไม่ทัน อานุภาพอันแข็งแกร่งของเหมันต์ราตรีคำรามก็ได้ปรากฏประจักษ์ออกมาแล้ว
เกล็ดหิมะสีขาวกลุ่มใหญ่ไม่เพียงปกคลุมเงาสีน้ำเงินเท่านั้น ขณะเดียวกันยังครอบคลุมบุรุษตาสีน้ำเงินที่อยู่ด้านหลังมันอย่างรวดเร็วด้วย
“หนี!” เงาคนเห็นท่าไม่ดี จึงยื่นมือออกมาโบก พลันยกตัวบุรุษตาสีน้ำเงินกับอีกสองคนที่เหลือขึ้น แล้วโยนออกไปเป็นระยะทางหลายพันลี้
เปรี้ยง!
บุรุษตาสีน้ำเงินกับก้อนทรายน้ำแข็งที่ห่อหุ้มลู่หนิงไว้หล่นลงบนพื้นอันแห้งแล้งอย่างหนักหน่วง ก่อนจะกลิ้งตัวไปหลายตลบ ครู่หนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นได้อย่างเป็นปกติ
“แค่กๆๆ…” บุรุษปีกสีดำไอเอาทรายออกมาอย่างรุนแรง ใช้มือยันร่างและมองไปยังอีกทางหนึ่ง
ด้วยพลังอันมหาศาล ทรายน้ำแข็งที่ห่อหุ้มลู่หนิงไว้ถูกกระแทกจนสลายไป แกนของวิญญาณดวงดาวที่เก็บมาเมื่อก่อนหน้านี้ลอยอยู่กลางอากาศตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ กำลังถูกสุนัขสีดำสนิทที่ไม่มีสีอื่นแทรกอยู่คาบเอาไว้เบาๆ
“ยังขยับได้ไหม” บุรุษตาสีน้ำเงินถามเสียงทุ้ม ไม่สนใจแกนวิญญาณดวงดาว เขาที่ลุกขึ้นได้แล้วมองไปยังสุนัขดำหลายสิบตัวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าในทันที
“ลำบากอยู่บ้าง” บุรุษปีกสีดำถูกเกล็ดหิมะสีขาวปกคลุมทั่วร่าง แม้เกล็ดน้ำแข็งมฤตยูที่น่ากลัวจะถูกขจัดได้ทันเวลา แต่ก็กลืนกินพลังชีวิตของเขาไปมากกว่าครึ่ง
“ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อองค์ราชาทรงลงมือแล้ว ทุกอย่างต้องไม่มีปัญหาแน่” บุรุษตาสีน้ำเงินเหมือนสงบใจลงได้แล้ว
“ข้าจะขวางสุนัขดำเหล่านี้ไว้เอง เจ้าตรียมพาวิญญาณดวงดาวจากไป! ต่อจากนั้นจะมีทัพใหญ่รับตัวไป”
“ขอรับ!” บุรุษปีกสีดำพยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะรีบวิ่งไปถึงข้างกายลู่หนิง แล้วยื่นมือไปจับผิวของก้อนทรายน้ำแข็ง แต่ขณะกำลังจะควบคุมเพื่อนำไปด้วยนั้นเอง
อยู่ๆ แสงเย็นเยียบสีเทาสามจุดก็พุ่งออกมาจากในก้อนทรายน้ำแข็งสีขาว แล้วแทงเข้าไปในร่างของบุรุษปีกสีดำ
“ระเบิด!” เสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
บุรุษปีกสีดำร้องครางอย่างเจ็บปวด ก่อนจะพลิกตัวกลิ้งลงบนพื้น
ลู่หนิงกลิ้งตัวออกมาจากในก้อนทรายน้ำแข็ง แล้วล้มลงกับพื้นพลางหอบหายใจคำโต เงาของชายชราหลากสีสันกึ่งโปร่งแสงลอยมาอยู่ข้างตัวเขา โดยกดแขนไว้บนร่างเขา เหมือนกลับส่งแสงหลากสีจำนวนมากเข้าไปอยู่
“ดีที่ข้าซ่อนไพ่ตายไว้ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้จะเกิดปัญหามากมายจริงๆ แล้ว”
เวลานี้จ่างชิงจื่อยังตกใจไม่คลาย
“ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกัน เหตุใดพวกเขาจึงทุลักทุเลขนาดนี้” จ่างชิงจื่อถูกปิดกั้นไว้ในผนึก จึงไม่ทราบสถานการณ์ของโลกภายนอก ตอนนี้พอเห็นพวกบุรุษตาสีน้ำเงินที่อยู่ด้านนอกก่อนหน้านี้แข็งแกร่งเหลือประมาณ ตอนนี้มีสภาพทุลักทุเล แม้แต่การลอบโจมตีของตนก็ยังรับไว้ไม่ได้ ในใจก็แตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ทราบ…เมื่อครู่สลบไปครู่เดียวก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว…” เวลานี้ลู่หนิงค่อยๆ ฟื้นสติกลับมา กำลังกัดฟันและยันตัวขึ้น
“ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ฉวยโอกาสหนีกันเถอะ!” จ่างชิงจื่อฉวยโอกาสที่พวกบุรุษตาสีน้ำเงินถูกลอบโจมตี ยังไม่ได้สติกลับมา คว้าไหล่ของลู่หนิง เตรียมจะบินไปยังท้องฟ้าไกลด้วยความเร็วสูง
“ย้อนกลับ อาณาจักรแห่งอัสนี” อยู่ๆ ก็มีเสียงครางดังมาแต่ไกล
“แย่แล้ว! นี่คือ!?” จ่างชิงจื่อใบหน้าผกผันครั้งใหญ่ เตรียมจะเผาไหม้วิญญาณเพื่อพาลู่หนิงหนีอีกครั้ง
แต่ทุกอย่างก็สายเกินการณ์แล้ว
“อยู่นี่เถอะ เจ้าวิญญาณดวงดาวจากต่างโลก” เงาสีน้ำเงินสายหนึ่งโผล่ขึ้นข้างทั้งสองอย่างกะทันหัน แล้วยื่นมือตะปบใส่จ่างชิงจื่อด้วยความเร็วสูง
เคร้ง!
ทันใดนั้นสะเก็ดไฟสีขาวสายหนึ่งก็กระเด็นออกมาจากข้างใต้กรงเล็บของเงาสีน้ำเงินนั้น
“ราชาอริยะที่หนึ่ง ท่านมาแต่ไกล ไม่ให้ผู้แซ่ลู่ต้อนรับขับสู้ก็รีบไปแล้ว เป็นผู้มาเยือนภาษาอะไรกัน”
บุรุษร่างสูงใหญ่ซึ่งสวมชุดคลุมสีดำ และมีงูมีปีกสีเทากลางหว่างคิ้วกำลังเปล่งแสงระยิบระยับที่อยู่ไกลออกไป กำลังเหยียบอากาศลอยตัวมาทางนี้
“นั่นคือ!?” จ่างชิงจื่อเบิกตาโพลง จำสถานะของผู้มาได้ทันที
ลู่หนิงหัวสมองขาวโพลน จากนั้นพริบตาเดียวก็เกิดความร้อนรุ่มใจ “ท่านพ่อรีบหนีเร็ว!” เขาพลันร้องเสียงดัง
“ลู่เซิ่ง ดูเหมือนเจ้ายืนกรานจะหาที่ตายให้ตัวเองสินะ” ดวงตาข้างเดียวสีน้ำเงินมองไปยังลู่เซิ่ง
ตอนนี้ทุกคนจึงค่อยพบว่า ผืนฟ้าและผืนดินรอบๆ กลายเป็นทุ่งราบดำเกรียมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ ผืนฟ้ามีสายฟ้าสีม่วงหลายสายกะพริบไม่หยุด ผืนดินมีควันดำและควันสีขาวลอยขึ้น ในอากาศปรากฏกลิ่นเหม็นไหม้ฉุนจมูก
“ท่านพ่อรีบหนีเร็ว!” ลู่หนิงพลันร้องเสียงแหบพร่า
“หนิงหนิง ตอนแรกก็ไม่คิดจะให้เจ้ารู้ทุกอย่างในตอนนี้หรอก แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว มัวแต่บิดบังไปก็ไร้ความหมาย”
ลู่เซิ่งมองบุตรชายของตัวเองอย่างปลอบใจ
“จะให้เจ้าได้เห็น พลังที่แท้จริงของท่านพ่อของเจ้าเอง…”
ตูม!
เกิดเสียงดังกึกก้อง ควันดำกับปราณมารนับไม่ถ้วนระเบิดออกแล้วปกคลุมรอบๆ ตัวลู่เซิ่งในอาณาเขตหลายสิบหมี่ทันที
อึดใจเดียวควันดำก็สลายไป ลู่เซิ่งค่อยๆ เดินออกมา ผิวหนังและกล้ามเนื้อบิดเบี้ยวและขยายใหญ่ ร่างสูงขึ้นด้วยความเร็วสูง
พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจากหนึ่งหมี่กว่าๆ เป็นสามหมี่กว่าๆ
แคว่ก!
แขนคู่ใหม่งอกออกมาจากด้านหลังเขา ส่วนปากของลู่เซิ่งที่ตอนแรกธรรมดาก็ฉีกออกและขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีฟันแหลมคมสามแถวงอกออกมาเต็มไปหมด
หางใหญ่ที่ใหญ่ราวกับเครื่องตีเมืองงอกออกมาจากด้านหลังของเขา สองขาของลู่เซิ่งค่อยๆ ใหญ่และหนาขึ้น แข็งแกร่งสุดเปรียบปานเหมือนกับขาช้าง
“สายเลือดพิภพมารหรือ” ตาสีน้ำเงินกล่าวอย่างราบเรียบ “เป็นการหลอมรวมที่ไม่เลว อือ…ข้าได้กลิ่นมารโบราณด้วย…ไม่เลวจริงๆ…ไม่เคยเจอตัวตนที่มีศักยภาพเท่าเจ้ามานานแล้ว…”
“ท่านพ่อ…” ลู่หนิงที่อยู่ใกล้ๆ ตาค้าง สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ร่างมนุษย์ของลู่เซิ่งที่อ่อนโยนน่าเข้าหามาโดยตลอด เป็นครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการเปลี่ยนร่างของท่านพ่อ นี่สร้างความกระทบกระเทือนทางใจให้แก่โลกทัศน์ของเขาอย่างรุนแรง
“บิดาของเจ้า…แข็งแกร่งมาก” ตอนนี้จ่างชิงจื่ออดกล่าวอย่างตกตะลึงไม่ได้เช่นกัน “ข้ามผ่านระดับดวงดาวไปแล้ว…นี่คือมายาพิศวง…ต้องเป็นระดับมายาพิศวงแน่! เพียงแต่ต่อให้เป็นแบบนี้ก็เถอะ ไม่มีทางเผชิญกับคู่มือแบบนั้นได้หรอก คนผู้นั้นคือคนที่ตำนานเล่าไว้ว่า…”
เปรี้ยง!
เสียงดังสนั่นซึ่งตามมาด้วยคลื่นกระแทกสีขาวตัดบทจ่างชิงจื่อ
เงาคนที่เป็นเงามายาสีน้ำเงินถูกพละกำลังอันมหาศาลกระแทกใส่เต็มหน้า เป็นเหตุให้กระเด็นออกไป แล้วหล่นลงพื้นอย่างหนักหน่วง
ดินเกรียมจำนวนมากลอยขึ้นเหมือนกับถูกระเบิด ในนี้มีชิ้นเนื้อแทรกอยู่ไม่น้อย
“จะมีประโยชน์หรือ หากในหนึ่งชั่วยามเจ้าหาทางออกไม่เจอ เจ้าก็ดี บุตรชายของเจ้าและวิญญาณดวงดาวตัวนั้นก็ดี ผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวคือได้แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนดินไหม้เกรียมแห่งนี้” ร่างของเงาคนที่มีดวงตาสีน้ำเงินข้างเดียวค่อยๆ สลายหายไปจากหลุมใหญ่ จากนั้นก็รวมตัวขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งอีกรอบ
“อย่างนั้นหรือ” ควันสีดำจำนวนมากลอยขึ้นบนร่างลู่เซิ่ง “ในทางเดียวกัน ข้าก็อยากพูดวาจานี้เหมือนกัน ถ้าหากในหนึ่งชั่วยามท่านหาทางออกจากที่นี่ไม่เจอ ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้าไปชั่วนิรันดร์…”
เขาค่อยๆ แสยะยิ้ม
เงาที่มีดวงตาสีน้ำเงินข้างเดียวงุนงง ขณะกำลังจะเอ่ยปาก ด้านหน้ากลับพร่ามัว เขาไม่ได้อยู่ในอาณาจักรอสนีปฐพีแผดเผาแล้ว หากแต่ยืนอยู่ในซากหินกองหนึ่ง
ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท พื้นเกลื่อนไปด้วยซากปรักหักพังและเศษหินของอาคารสีขาวอมเทา ควันสีดำนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาจากร่องแยกอย่างต่อเนื่อง ในนี้มีเปลวไฟสีเขียวแทรกตัวอยู่หลายสาย
แหล่งของแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่แห่งนี้มีแค่ไฟริมถนนที่มีลักษณะแปลกๆ ซึ่งอยู่ไกลออกไปเท่านั้น
“นี่คือ…” เงาที่มีดวงตาข้างเดียวสีหน้าเปลี่ยนแปลงทันที “โลกศัสตรา?!”
“คำนวณพลาดไปแล้ว…นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าสู่ระดับนี้แล้ว…”
ครั้งนี้ลำบากอยู่บ้าง…
…
ในอาณาจักรอัสนีปฐพีแผดเผา
ลู่เซิ่งฟาดทำลายสายฟ้าสีม่วงที่ผ่าลงมา และปราณมารกลุ่มหนึ่งก็ห่อหุ้มลู่หนิงและจ่างชิงจื่อเอาไว้
จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนย้ายในอาณาจักรอัสนีแห่งนี้ด้วยความเร็วสูง
สายฟ้าสีม่วงจำนวนมากกลายเป็นเสาแสงแล้วพุ่งลงมาตลอดเวลา พร้อมทั้งโน้มนำสายฟ้าของที่นี่อย่างต่อเนื่องเหมือนกับแม่เหล็ก ราวกับว่าระหว่างฟ้าดินมีแค่สิ่งมีชีวิตสามชนิดอย่างพวกเขาเท่านั้น
‘นี่น่าจะเป็นโลกศัสตราของราชาอริยะองค์แรก จะต้องหาวิธีทะลวงออกจากที่นี่ให้เจอ’ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าในอากาศของที่นี่มีความรู้สึกร้อนแรงสุดบรรยายกำลังโจมตีร่างของตนอย่างต่อเนื่องอยู่
‘นี่คือหลักการพื้นฐานของที่นี่! ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ เจ้าแห่งอาวุธจะได้รับโลกศัสตรา นี่เป็นทุกอย่างที่ตนเองบรรลุ เป็นโลกใบเล็กที่ถือกำเนิดขึ้นจากพื้นฐาน ไม่ว่าจะใช้กฎเกณฑ์ใดๆ ก็สอดคล้องกับตัวเจ้าแห่งอาวุธโดยสมบูรณ์ และถ้าหากว่าตัวตนที่ไม่สอดคล้องกับเจ้าแห่งอาวุธก้าวเข้ามาที่นี่ ก็จะรับรู้ได้ถึงการสะกดและการทำลายจากพลังกฎเกณฑ์อันยิ่งใหญ่ นี่เป็นความขัดแย้งกันของกฎเกณฑ์พื้นฐาน ความจริงเหมือนกับสถานการณ์ของเราที่จุติไปต่างโลก เพียงแต่ที่นี่ถูกคนเร่งความเร็วขึ้นไม่รู้กี่เท่าจนอันตรายขึ้นหลายเท่าตัว!’
ใช้กฎเกณฑ์สะกดหรือถึงขั้นสังหารคู่ต่อสู้ที่ขัดแย้งกับตัวเอง เวลานี้ลู่เซิ่งเข้าใจความแข็งแกร่งที่แท้จริงระหว่างเจ้าแห่งอาวุธแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่า ในสภาพแวดล้อมของที่นี่มีกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปราณมารน้อยถึงขีดสุด ทำให้พลังของเขาถูกที่นี่สะกดอย่างรุนแรงถึงขีดสุดเช่นกัน
……………………………………….