ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 566 สังหาร (2)
บทที่ 566 สังหาร (2)
‘อย่างนั้นวิธีการเจาะทะลวงก็คือต้องปรับตัวเข้ากับกฎเกณ์ของที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด เพื่อยืดเวลาออกไปจากนั้นก็หาจุดอ่อนของมิติแห่งนี้แล้วทำลายออกไป! ตัวเจ้าแห่งอาวุธกับจุดเข้าออกของที่นี่น่าจะเป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่’
ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว โลกมารจิตมีระดับความแข็งแกร่งเหนือโลกธรรมดา ถึงขั้นที่ต้าอินก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าโลกใบน้อยแห่งนี้
การใช้ไม้แข็งไม่มีประโยชน์ วิธีการเพียงหนึ่งเดียวคือปรับตัวเข้ากับที่นี่ จากนั้นค่อยหาจุดเข้าออก
‘พลังสายฟ้าหรือ…’ ลู่เซิ่งเริ่มหวนนึกถึงวิชาและพลังทั้งหมดที่เกี่ยวกับสายฟ้าที่ตนได้ฝึกฝนมาโดยตลอด
ไม่นานวิชาหมัดที่ฝึกฝนการควบคุมสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นในใจเขา
‘บังเอิญเรามีความมั่นใจด้านการฝึกฝนวิชาพอดี’ ลู่เซิ่งเลียริมฝีปากพร้อมกับกวาดตามองพลังอาวรณ์จำนวนมากที่ยังเหลืออยู่
‘ดีปบลู!’
เขานึกในใจ
…
โลกมารจิต
ราชาอริยะที่หนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ รอบๆ ตัวมีควันสีดำลุ่มใหญ่ลอยวนเวียน พลังสายฟ้าถูกกดข่มโดยสมบูรณ์เมื่ออยู่ที่นี่
‘นึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักมารกำเนิดจะเป็นเจ้าแห่งอาวุธที่บรรลุโลกศัสตราแล้ว ครั้งนี้คำนวณผิดพลาดจริงๆ การเป็นศัตรูกับเจ้าแห่งอาวุธคนหนึ่งส่งผลเสียต่อสถานการณ์ของสำนักอริยะ…ดูเหมือนจะได้แต่ตัดใจฆ่าทิ้งแล้ว’
ราชาอริยะที่หนึ่งผุดสีหน้าเคร่งขรึม
การต่อสู้กันระหว่างเจ้าแห่งอาวุธคือการทำลายโลกศัสตราของกันและกัน ใครที่ทำลายออกมาได้ก่อน ผู้นั้นจะกลายเป็นผู้ชนะ
และวิธีการทะลวงโลกศัสตราก็คือการหาจุดเข้าออกของเจ้าแห่งอาวุธให้เจอโดยเร็วที่สุด แล้วเจาะทะลวงก่อนที่ตนจะถูกกฎเกณฑ์ทำให้อ่อนแอลงและถูกทำลาย
โลกศัสตรากับตัวตนของเจ้าแห่งอาวุธมีความข้องเกี่ยวกันอยู่ เกิดว่าถูกเจาะ ร่างหลักก็จะปรากฏอาการบาดเจ็บที่ค่อนข้างรุนแรงทันที
ราชาอริยะอันดับหนึ่งเดินอยู่กลางอากาศของโลกสีดำสนิทแห่งนี้ พลางก้มมองดูซากปรักหักพังและเศษหินผืนใหญ่เบื้องล่าง
‘เป็นแค่เจ้าแห่งอาวุธที่เพิ่งเลื่อนระดับ กฎเกณฑ์ที่บรรลุย่อมมีน้อย สามสี่กฎเกณฑ์ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ดูจากร่างหลักของลู่เซิ่ง เขาน่าจะถนัดการต่อสู้ด้วยกายเนื้อที่สุด และน่าจะมีกฎเกณฑ์ปราณมารเช่นกัน กฎเกณฑ์การฝึกฝนร่างกายก็น่าจะมีด้วย…’ ราชาอริยะที่หนึ่งเริ่มหลับตาและลองใช้พลังของตัวเองเลียนแบบกฎเกณฑ์ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของที่นี่อย่างตั้งใจ
ความจริงกฎเกณฑ์ของโลกศัสตราที่ว่านั้นเกิดจากกฎเกณฑ์ที่ร่างหลักของอริยะเจ้าบรรลุ
ความจริงโลกศัสตราไม่ใช่โลกที่แท้จริง หากเป็นผลรวมของการบรรลุที่เจ้าแห่งอาวุธแสดงออกมาเอง
เหมือนกับที่ราชาอริยะที่หนึ่งมีความเข้าใจต่อสายฟ้าล้ำลึกถึงขีดสุด ดังนั้นสายฟ้าแค่สายเดียวในโลกศัสตราของเขาจึงแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน
นอกจากนั้นเขายังมีความรู้อย่างลึกซึ้งถึงขีดสุดต่อวิชากระบี่และวิชาดาบเช่นกัน แต่ไม่ได้เรียนรู้วิชาหอก
ดังนั้นเขาจึงใช้วิชากระบี่และวิชาดาบได้อย่างเป็นอิสระในโลกศัสตราของตัวเอง แต่ไม่สามารถใช้วิชาหอกที่ค่อนข้างสูงล้ำได้
เกิดว่ามียอดฝีมือวิชาหอกเข้าไป ก็จะถูกพันธนาการความสามารถทั้งหมดเอาไว้
โลกศัสตราเพียงอนุญาตให้ขอบเขตความสามารถที่เกี่ยวข้องกับเจ้าแห่งอาวุธดำรงอยู่เท่านั้น ขอบเขตทั้งหมดที่เจ้าแห่งอาวุธไม่เชี่ยวชาญจะได้รับการสะกดในระดับสูงสุด
นี่จึงเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าแห่งอาวุธ
ลากคู่ต่อสู้เข้าสู่ขอบเขตที่ตัวเองเชี่ยวชาญ ทำให้อีกฝ่ายได้แต่ใช้พลังและความสามารถที่เหมือนกับตัวเอง จากนั้นค่อยใช้ประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมของตนเองเอาชนะอีกฝ่าย
นอกจากนั้นทั้งหมดนี้ต้องบวกกับสภาพด้านลบที่น่ากลัวซึ่งสามารถลดทอนพลังชีวิตได้ตลอดเวลาเข้าไปด้วย
ราชาอริยะที่หนึ่งเป็นปีศาจเฒ่าที่อยู่มาสี่พันกว่าปี ขอบเขตที่ถนัดจึงมีอยู่ไม่น้อย กฎเกณฑ์ที่เชี่ยวชาญก็มีมากมายเช่นกัน ไม่นานก็เริ่มเข้าใจปราณมาร และการฝึกฝนร่างกายทางกายเนื้อ
หลังเริ่มเข้ากฎเกณฑ์สองชนิด เขาก็เปลี่ยนแปลงพลังในร่าง โดยจำลองปราณมารออกมาปกคลุมผิว พลันลดการสะกดและลดพลังที่สภาพแวดล้อมส่งผลต่อเขาได้อย่างใหญ่หลวง
‘จากนี้มาดูกันต่อ หลังจากทำความเข้าใจกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่เหลืออยู่เรียบร้อย จะเป็นเวลาตายของเจ้า’
ราชาอริยะที่หนึ่งยิ้มพลางยื่นนิ้วชี้ออกมาฉีกความว่างเปล่าด้านหน้าเบาๆ
แคว่ก
เส้นสายกฎเกณฑ์ผืนใหญ่ปรากฏออกมาให้เห็น นี่เป็นวิชาทดสอบพลังชนิดพิเศษที่เขาสร้างขึ้นด้วยตัวเอง สามารถใช้ทดสอบจำนวนกฎเกณฑ์ที่เหลืออยู่ในโลกศัสตราได้
เส้นสายกฎเกณฑ์ของปราณมารสีดำผืนแรกค่อยๆ ปรากฏขึ้น นี่เป็นเส้นสายสีดำจำนวนมากที่เหมือนกับสาหร่าย กำลังแปรปรวนตามจังหวะบางอย่าง
‘ฝึกแปดวิถีมารสูงสุดเป็นหลักหรือ เคยเห็นวิชามารวิชานี้มาสมัยท่องเที่ยวในต้าซ่งเมื่อนานนมมาแล้ว กลับไม่เลวนัก’ ราชาอริยะที่หนึ่งมีสีหน้าผ่อนคลาย ก่อนจะดึงนิ้วชี้ลงด้านล่างต่อ
ถัดจากนั้นก็คือเส้นสายสีเขียวอ่อน
‘นี่น่าจะเป็นกฎของไฟหยิน เป็นการฝึกฝนหลัก ไม่เลว’
ราชาอริยะที่หนึ่งดูต่อไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
พอลากนิ้วเป็นครั้งที่สาม สิ่งที่ปรากฏออกมาก็กลายเป็นเส้นสายสีเนื้อจากการฝึกฝนร่างกายและวิชาแข็งกร้าว
‘ฝึกได้ไม่เลวนี่ หลอมรวมวิชาแข็งกร้าวมากมายเป็นหนึ่ง ทั้งยังสร้างวิชาขึ้นเองจนไม่มีร่องรอยให้สืบสาวอีก ทำให้ข้าที่คลำทางดูเปลืองแรงไม่น้อยทีเดียว’ ราชาอริยะที่หนึ่งเผยสีหน้าชื่นชม
‘ดูต่อไป’
เขาลากนิ้วลงด้านล่างต่อ
‘นี่คือวิชากระบี่ ไม่เลวๆ’
‘นี่คือวิชาดาบ ไม่เลวเหมือนกัน ระดับความรู้ล้ำลึกมาก’
‘เอ๋ นี่คือการคุมน้ำ ยังฝึกสิ่งนี้เป็นหลักด้วยหรือ’
‘ยังมีการปรุงยา…เอ่อ…นึกไม่ถึงว่าจะมีสิ่งที่ข้าไม่ถนัดด้วย’
‘นี่คือพิษ…เขาฝึกฝนกี่วิชากันแน่?!’
‘วิชาฝ่ามือ?’
‘วิชาหมัด?’
‘พลังวิญญาณ นี่คืออะไรกัน’
‘ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าแห่งอาวุธที่เพิ่งเลื่อนระดับขึ้นมาใหม่อย่างเจ้าจะมีกฎเกณฑ์ที่บรรลุมากกว่าข้า!?’
ราชาอริยะที่หนึ่งหน้าเขียวคล้ำอยู่บ้าง กฎเกณฑ์ที่เขาลากออกมา ตนเองเพียงบรรลุไม่กี่ชนิดเท่านั้น แต่กฎเกณฑ์มากมายที่โผล่มากลางอากาศต่อจากนั้น ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
…
‘สายฟ้า วิชากระบี่ วิชาดาบ พิษ สายน้ำ กฎเกณฑ์หลักทั้งหมดห้าชนิดหรือ’ ลู่เซิ่งใช้คุณสมบัติการเลียนแบบของแก่นหยางหาระบบกฎเกณฑ์หลักของโลกใบนี้ได้แล้ว
‘โลกประหลาดที่เกิดจากการหลอมรวมของกฎเกณฑ์ห้าชนิดนี้ พลังกฎเกณฑ์ของทักษะทั้งหมดที่เหลือล้วนถูกสะกด ที่แท้โลกมารจิตก็ใช้แบบนี้นี่เอง ไม่เลวๆ!’ ลู่เซิ่งปลอดโปร่ง เงยหน้าหัวเราะร่า
ดูจากระดับความสมบูรณ์ของระบบกฎเกณฑ์ในโลกใบนี้ ราชาอริยะที่หนึ่งมีความเข้าใจสูงสุดขีดในขอบเขตห้าขอบเขตนี้ ถึงขั้นไปถึงระดับปฐมพลังเหมือนอย่างไฟหยินของเขาแล้ว
แต่ปฐมพลังของเจ้าแห่งอาวุธมีได้แค่ชนิดเดียวเท่านั้น ปฐมพลังของราชาอริยะที่หนึ่งโดยเปลือกนอกเป็นสายฟ้า ทว่าความจริงพอลู่เซิ่งใช้พลังอาวรณ์สองร้อยหน่วยทำการเรียนรู้ดูก็พบว่า กฎเกณฑ์สายน้ำของที่นี่ต่างหากที่แข็งแกร่งที่สุด
‘เจอแล้ว มันนี่เอง!’ ลู่เซิ่งหัวเราะลั่น ก่อนจะบินไปยังทะเลสาบสีดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ใจกลางโลก
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา…
ราชาอริยะที่หนึ่งทำความเข้าใจเส้นสายกฎเกณฑ์ชนิดที่สิบสองเสร็จด้วยสีหน้าที่เขียวคล้ำ นี่หมายความว่า เขาบรรลุกฎเกณฑ์ส่วนหนึ่งของโลกศัสตราใบนี้แล้ว
กฎเกณฑ์สิบสองชนิด!
การที่ทำถึงขั้นนี้ได้ในระยะเวลาที่สั้นแบบนี้ ถือว่าน่าตกตะลึงพึงเพริดแล้ว
ถ้าหากเผชิญกับเจ้าแห่งอาวุธทั่วไป อีกฝ่ายอาจจะแพ้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ เจ้าแห่งอาวุธที่เพิ่งเลื่อนขั้นมา โลกศัสตราจะเรียบง่ายถึงขีดสุด สิ่งที่พอจะเรียกได้ว่ากฎเกณฑ์ก็มีแค่สองสามชนิดเท่านั้น
ตามหลักเหตุผล การทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งสิบสองชนิดสามารถสร้างความเสียหายให้แก่เจ้าแห่งอาวุธที่เพิ่งเลื่อนขั้นได้แล้ว ต่อให้เป็นเจ้าแห่งอาวุธขั้นอาวุโสก็ไม่แน่ว่าจะเทียบได้
แต่ว่าจิตใจของราชาอริยะในตอนนี้ยังคงอึดอัดคับข้องอยู่ดี
เขาพ่นลมหายใจออกยาวๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเส้นสายกฎเกณฑ์ยาวสิบกว่าหมี่ทุกชนิดที่ลอยอยู่ด้านข้าง
กฎเกณฑ์ทุกชนิดในนี้ลอยเวียนวนไปมาไม่แน่นอน แค่เส้นอักขระก็มีเส้นสายกฎเกณฑ์เกือบห้าชนิดแล้ว แถมทุกชนิดก็ไม่ได้มาจากการศึกษาแบบผ่านๆ หากแต่มีการศึกษาอย่างล้ำลึกมาก่อน
กฎเกณฑ์เช่นนี้ ต่อให้จะเป็นตัวราชาอริยะที่หนึ่ง ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจจนปรุโปร่งได้ในเวลาอันสั้น
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้…เช่นนั้นก็…ต้องเผด็จศึก!’ สองมือของราชาอริยะที่หนึ่งพลันกลายเป็นปีกสีน้ำเงินในทันที เขากระพือปีกโปรยเงากลุ่มใหญ่อยู่กลางอากาศ
เงาซ้อนกันกลายเป็นปีกขนาดใหญ่กว่าเดิม
‘ในเมื่อเจาะทะลวงไม่ได้ อย่างนั้นก็มาดูกันว่าพลังของใครแข็งแกร่งกว่า!’
ด้านหลังราชาอริยะที่หนึ่งปรากฏวังวนสายน้ำที่ดำสนิทและลึกล้ำนับไม่ถ้วนขึ้นอย่างฉับพลัน วังวนสีดำหลากหลายขนาดจัดเรียงกันกลายเป็นสามเหลี่ยมขนาดมหึมา
…
อาณาจักรอัสนี
บนผืนดินสีดำเกรียมผืนใหญ่ ปราณมารทั่วร่างของลู่เซิ่งได้กลายเป็นไอน้ำสีขาวหมดแล้ว เขาพาลู่หนิงกับจ่างชิงจื่อพุ่งไปยังทะเลสาบขนาดยักษ์ตรงกลาง
“ลู่เซิ่ง”
อยู่ๆ ตรงกลางทะเลสาบไกลออกไปก็มีเงาคนผอมแห้งสีดำอมน้ำเงินค่อยๆ ลอยขึ้นมา
“ออกมาได้แล้วหรือ” ลู่เซิ่งดวงตาคมกริบขึ้น จ้องมองเงาคนพร้อมกับเลียรีมฝีปาก
“ในฐานะผู้อาวุโส สามกระบวนท่า” ราชาอริยะที่หนึ่งชูนิ้วสามนิ้ว “ต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า จากนั้นจะเป็นเวลาตายของเจ้า”
“โอหัง!” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างเดือดดาล
“เจ้าไม่เข้าใจเลยว่าพวกเราแตกต่างกันขนาดไหน” ราชาอริยะที่หนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา จากนั้นร่างก็ค่อยๆ หลอมละลายกลายเป็นสายน้ำพร้อมกับหยดลงไปในทะเลสาบ
“แตกต่างหรือ” ลู่เซิ่งส่ายหางยาวด้านหลังไปมาช้าๆ พลางแสยะยิ้ม “เช่นนั้นก็ให้ข้า…ได้ทดลองดูหน่อยว่าแตกต่างกันขนาดไหน!”
เสียงเพิ่งขาดลง เขาก็โผพุ่งออกไปทันที
กลืนสมุทร!
ประกายคลื่นของน้ำทะเลสีฟ้าไหลไปทั่วท้องนภา ก่อนจะกระแทกลง ถัดจากนั้นเงาร่างของลู่เซิ่งก็กดทับไปทางราชาอริยะ
“ขัดขืน!” ราชาอริยะกางแขน สายน้ำจำนวนมากรวมตัวกลายเป็นแขนมหึมาสองข้างกลางทะเลสาบ ก่อนจะชกใส่ท้องฟ้า
ตูม!
เกิดเสียงปะทะกันดังสนั่น น้ำทะเลนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น
ลู่เซิ่งใช้มือสี่ข้างถือดาบไว้แน่นพร้อมกับฟันใส่ร่างของราชาอริยะดุจสายฟ้าแลบ แค่วินาทีเดียวก็ฟันออกไปแล้วมากกว่าพันดาบ ทุกๆ ดาบมีไฟหยิน ปราณมาร แรงกดของน้ำทะเล และผลด้านลบนับไม่ถ้วนแทรกอยู่
ทั้งสองฝ่ายสู้กันด้วยความเร็วสูง พุ่งลงไปในน้ำอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ตูม!
ทันใดนั้นเสียงแหลมเสียดหูก็ระเบิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
ดาบมารสี่เล่มของลู่เซิ่งตัดเฉือนเยื่อบางสีฟ้าด้านหน้าราชาอริยะอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงทิ่มแทงแหลมคม
“จะให้เจ้าได้เห็นความแตกต่างระหว่างพวกเราเอง!” ราชาอริยะดวงตาสาดแสงน้ำเงิน หนวดสีน้ำเงินขนาดยักษ์สามเส้นโบกออกมาจากด้านหลังเขา แล้วฟาดไปยังข้างลำตัวของลู่เซิ่งอย่างหนักหน่วง
“ฟาดฟันสายพิณ!”
หนวดสามเส้นกลายเป็นแสงสายฟ้าสีน้ำเงินสามสายในทันที จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นประกายดาบสามสายกลางอากาศอีกรอบ ก่อนจะฟันใส่ลู่เซิ่งพร้อมกับเสียงดังสนั่นที่ทำให้สมองคนลั่นอึงอลจนคลื่นไส้อยู่ด้วย
เคร้ง!
ลู่เซิ่งซ้อนดาบสี่เล่มไว้ด้านหน้า แล้วฟันออกไปหลายพันดาบ ป้องกันชิ้นส่วนหลังจากประกายดาบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างแม่นยำ
“หยุดเวลา!” ราชาอริยะตะเบ็งเสียง แล้วโผล่ขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งเหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา
ทุกสิ่งหยุดลงในชั่วอึดใจ จากนั้นเขาก็ฟันดาบใส่คอของลู่เซิ่ง
“แตกต่างกับผายลม!”
ตูม!
หางใหญ่ที่ทรงพลังฟาดใส่ข้างเอวของเขา จนเขากระเด็นลงจากท้องฟ้าเหมือนกระสุนปืนใหญ่ แล้วกระแทกใส่ทะเลสาบ ทำให้เกิดเสาน้ำสูงหลายสิบหมี่พุ่งขึ้นมา
ลู่เซิ่งรวมสี่ดาบเป็นหนึ่ง มือจับดาบยาวเล่มหนึ่งไว้แน่น ใบหน้าครึ่งหนึ่งกลายเป็นหมาป่าน่ากลัว ใบหน้าอีกครึ่งยังคงเป็นมนุษย์
“จบแล้ว” เขาชูดาบดำขึ้นสูง เงาหมาป่ามารร้อยเศียรขนาดมหึมาซึ่งสูงหลายสิบหมี่ปรากฏขึ้นด้านหลัง
“แล้วข้าจะกลับมา” ราชาอริยะที่หนึ่งนอนหงายอยู่บนผิวทะเลสาบด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“ไร้ขอบเขต อานุภาพเทพ!”
ฟ้าดินพลันแยกออกจากกัน
เสาแสงสีดำสนิทต้นหนึ่งพุ่งลงมาจากด้านบน แล้วแยกอาณาจักรอัสนีปฐพีแผดเผาจากหนึ่งเป็นสอง
ลู่เซิ่งตะโกนและคำราม หมาป่ามารร้อยเศียรด้านหลังเงยหน้ากู่ร้อง พลังทั้งหมดรวมตัวอยู่ที่จุดเดียว ก่อนจะฟันลง
ตอนแรกฟ้าดินเงียบสงัด จากนั้นก็ระเบิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ปราณมารซึ่งเป็นแสงสีดำหลายสายพุ่งออกมาจากใต้ดิน แล้วทำลายทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่จนราบคาบ
……………………………………….