ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 568 ขยับขยาย (2)
บทที่ 568 ขยับขยาย (2)
“มารดาแห่งความเจ็บปวดปกครองดาวเคราะห์หลายดวงที่อยู่รอบๆ ในดาวปรภพมีดาวเคราะห์สามดวงที่เป็นของมารดาแห่งความเจ็บปวด ข้าสังกัดสำนักที่อยู่ใกล้ที่สุดในเขตดวงดาวใกล้ๆ นี้ ชื่อว่าสำนักนทีคราม
ข้าได้ตายอยู่ด้านนอกสำนักด้วยอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง จิตวิญญาณได้ออกจากร่างอย่างไร้ทิศทาง แล้วมาถึงต้าอินโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อจากนั้นก็เป็นส่วนที่เจ้าสำนักลู่รู้แล้ว” จ่างชิงจื่อถอนใจยาว “ข้าทิ้งร่องรอยและวิชาไว้ไม่น้อย ก็เพื่อล่อสิ่งมีชีวิตมาฝึกฝนวิชา จากนั้นก็หาตัวตนที่เหมาะกับการสิงร่างของตัวเอง”
“ดังนั้นท่านจึงใช้ตัวหวงเฟย จากนั้นจึงเป็นลูกชายข้าหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างเรียบเฉย
“เป็นเช่นที่ว่า” จ่างชิงจื่อพยักหน้า แล้วกล่าวอย่างละอายใจเล็กน้อยว่า “พูดตามจริง ข้าเคยมีความรู้สึกคล้ายๆ บนร่างของคนอื่น แต่ไม่ได้รุนแรงเท่าร่างของลู่หนิง การเลือกเขาเป็นผลลัพธ์ที่ข้าได้ตรึกตรองใคร่ครวญมานานแล้ว”
ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามอีก “ไม่ทราบว่าสำนักที่ท่านอยู่มีการแบ่งระดับคล้ายเจ้าแห่งอาวุธหรือไม่”
จ่างชิงจื่อพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ย่อมมี เพียงแต่พวกเราไม่ได้เรียกเจ้าแห่งอาวุธว่าเจ้าแห่งอาวุธ หากเรียกว่าชูศัสตรา เป็นระดับที่เหนือกว่าแปลงศัสตรา ระดับแปลงศัสตราตรงกับระดับเจ้าแห่งอาวุธของพวกท่าน”
“สำนักของพวกท่านมีระดับที่แข็งแกร่งกว่าชูศัสตราหรือไม่” ลู่เซิ่งถามคำถามสำคัญ
“ย่อมมี” จ่างชิงจื่อยืนยัน “สำนักนทีครามของข้ากับมารดาแห่งความเจ็บปวดอยู่ในระดับเดียวกัน เป็นราชาในเขตดวงดาวใกล้ๆ ย่อมไม่ได้อาศัยแค่ระดับชูศัสตรา แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงคือผู้เข้มแข็งระดับมายาพิศวงที่เหนือกว่า”
‘เป็นมายาพิศวงอย่างที่คิดไว้’ ลู่เซิ่งจิตใจสั่นไหว เรื่องนี้ตรงกับข้อมูลที่เขาได้รับ ผู้เข้มแข็งระดับมายาพิศวงเป็นระดับที่หายากที่สุดจริงๆ
“ตามที่ข้ารู้ เจ้าสำนักของสำนักนทีครามของข้าและมารดาแห่งความเจ็บปวดเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับมายาพิศวง
ผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้ได้ไปถึงขีดจำกัดของโลกใบนี้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวจะก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของคลื่นยักษ์ จึงไม่อาจขยับตัวได้ตลอดเวลา” จ่างชิงจื่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“แล้วถ้าหากข้าคิดจะออกจากดาวปรภพไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น ควรจะทำอย่างไรดี” ลู่เซิ่งถามต่อ
“หาค่ายกลส่งตัวให้เจอก็ออกไปได้แล้ว” จ่างชิงจื่อให้คำตอบ
ลู่เซิ่งถามสถานการณ์การจัดแบ่งภายในของสำนักนทีครามอย่างละเอียด หลังจากได้รู้ว่าสำนักนี้มีศิษย์ทั้งหมดหลายพันล้านคน เขาก็ตกตะลึงพึงเพริดถึงขีดสุด
ต้าอินมีประชากรได้ขนาดนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ต่อมาเขาก็บันทึกความรู้ทั่วไปอย่างเช่นจะเปิดค่ายกลส่งตัวอย่างไร และต้องใช้สิ่งใดเป็นเชื้อเพลิงไว้อย่างละเอียด
ครั้งนี้ลู่เซิ่งเปิดเผยพลังเอง แม้จะช่วยลูกเอาไว้ได้ แต่เขาก็อยู่ในจุดสุ่มเสี่ยง
ในฐานะเจ้าแห่งอาวุธที่เพิ่งเลื่อนระดับ การที่เขาก้าวเข้าสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธได้ในระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ จะต้องสร้างความสนใจให้แก่ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นแน่นอน
ก่อนจะส่งจ่างชิงจื่อไป ลู่เซิ่งอนุญาตให้เขาสอนลู่หนิงผู้เป็นบุตรชายต่อ วิชาของเขาไม่เหมาะให้คนอื่นๆ ฝึก ในเมื่อลู่หนิงมีวาสนาเป็นของตัวเอง เช่นนั้นก็ให้เขาจัดการเอาเองก็แล้วกัน
‘ตอนนี้ต้องแก้ไขขุมกำลังฝั่งสำนักไตรอริยะก่อน’ ราชาอริยะที่หนึ่งถูกเขาฆ่าร่างแยกทิ้ง ถือว่าผูกความแค้นกันแล้ว ตอนนี้มีทัพจำนวนมากตั้งอยู่ที่ชายแดน จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหากผู้คนเกิดความหวาดกลัว เกรงว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้น
ลู่เซิ่งลุกขึ้น ขณะกำลังจะออกจากสวนดอกไม้ด้านหลังเพื่อมุ่งหน้าไปตรวจสอบข้อมูลล่าสุดที่ตำหนักหลักนั่นเอง
อยู่ๆ บนตัวเขาก็มีของสิ่งหนึ่งสั่นไหวเบาๆ
ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลง หยิบรูปสลักอีกาสีดำสนิทที่มีรอยแตกตัวหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
เสียงที่คุ้นเคยค่อยๆ ดังจากอากาศรอบๆ แล้วมุดเข้าหูเขา
“ลู่เซิ่ง มุขนายกประจำเขตต้องการพบเจ้า ความขัดแย้งของเจ้ากับราชาอริยะที่หนึ่งถูกพบแล้ว เตรียมตัวสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ด้วย” เป็นเสียงแหบพร่าของสือจื้อซิงนั่นเอง
น้ำเสียงเอาจริงเอาจังมาก แสดงให้เห็นว่าสือจื้อซิงไม่ได้เห็นดีกับการเข้าพบมุขนายกของลู่เซิ่งในครั้งนี้
“ข้าจะช่วยพูดให้เจ้าเท่าที่จะทำได้ แต่อย่างไรก็ต้องเข้าพบ ในคืนจันทร์เต็มดวงอีกครึ่งเดือนให้หลัง มุขนายกประจำเขตจะกลับมาจากโลกด้านนอก เจ้าจะต้องรอคอยอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นตราประทับพันธนาการจะพันธนาการเจ้า เจ้าไม่มีวันหนีรอด” สือจื้อซิงอธิบาย
นี่คือน้ำใจ
ลู่เซิ่งไม่ได้ส่งเสียง เพียงแค่สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา การที่สือจื้อซิงยินยอมบอกข้อมูลก่อน และไม่เลือกจับตัวเขาไว้หลังจากเขาเข้าไปในโลกแห่งความเจ็บปวดครั้งต่อไป นี่คือการลงทุน
ถ้าไม่ใช่เพราะสือจื้อซิงขัดแย้งกับมุขนายกประจำเขตคนนั้น เขาก็คิดว่าตัวเองควรค่าให้ลงเดิมพัน
‘ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ติดค้างท่านสองครั้งแล้ว’ ลู่เซิ่งถอนใจยาว ตั้งแต่เลื่อนถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธและเปิดเผยพลังออกมา เขาก็ได้เตรียมใจต่อสถานการณ์แบบนี้ไว้แล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าทุกอย่างจะมาเร็วขนาดนี้ มิหนำซ้ำทางโลกแห่งความเจ็บปวดยังมาก่อนด้วย
‘อีกครึ่งเดือนให้หลัง…ดูเหมือนเวลาครึ่งเดือนต่อจากนี้เราต้องยกระดับตัวเองให้เร็วที่สุดแล้ว…ต่อจากเจ้าแห่งอาวุธจะเน้นหนักที่การยกระดับจิตวิญญาณ ตอนนี้เรามีพลังงานเหลือเฟือ แก่นหยางของวิชาไร้ขอบเขตก็สามารถเลียนแบบพลังงานและความสามารถส่วนใหญ่ได้ ดังนั้น เราต้องดำเนินการจุติสำเร็จเป็นจำนวนมากพอในเวลาที่สั้นที่สุด ทางที่ดีควรใช้จำนวนชดเชยคุณสมบัติ’
ลู่เซิ่งเข้าใจดี หลังจากจัดการวิญญาณร้ายแล้ว ยังไปหาเรื่องสำนักไตรอริยะเข้า ตอนนี้แม้แต่โลกแห่งความเจ็บปวดก็โผล่มาแล้ว บางทีศัตรูแฝงที่ดำรงอยู่อาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
‘เรื่องราวไม่อาจรอช้า อาศัยจังหวะที่พวกลู่หนิงกำลังพักฟื้น ไปดำเนินการจุติอีกครั้งให้สำเร็จได้พอดี ขอแค่พยายามเลือกโลกที่มีความแตกต่างทางเวลามากที่สุด ก็จะสั่งสมจิตวิญญาณและแก้ไขความปรารถนารวมถึงผลกรรมได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ถึงแม้การทำแบบนี้จะรวบรวมระบบกับสมบัติที่ดีกว่าเดิมไม่ได้ แต่การยกระดับจิตวิญญาณจะต้องเร็วที่สุดแน่นอน’
หลังตัดสินใจแล้ว ลู่เซิ่งก็กำชับบริวารว่าตนจะกักตนเป็นเวลาสั้นๆ ให้คนอื่นๆ ในตระกูลไม่ต้องกังวล
นอกจากนี้เขายังได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วมอบให้เจ้าสำนักประกายขั้วโลกแห่งสำนักพันอาทิตย์ เพื่ออธิบายต้นสายปลายเหตุและหยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่ายด้วย
เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกมีพลังเหี้ยมหาญ สำนักพันอาทิตย์มีเบื้องหลังล้ำลึก ถ้าหากว่าพวกเขาสนับสนุนสุดกำลัง ต่อให้การจุติยกระดับพลังไม่ได้มากเท่าไหร่ ลู่เซิ่งก็มีความมั่นใจในการรับมือโลกแห่งความเจ็บปวดกับสำนักไตรอริยะที่หนึ่งได้
จากนั้นก็เขียนจดหมายอีกฉบับให้หลี่ซุ่นซี
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็เหินร่างเข้าไปในตำหนักวิจัย ปิดประตูเข้าออก แล้วกระตุ้นการป้องกันของค่ายกลรอบๆ
…
วู้ม!
ลวดลายค่ายกลที่มีสีแดงเข้มเหมือนกับเลือดหลายสายสว่างขึ้นอย่างช้าๆ ผลึกหลายก้อนตรงกลางเปล่งแสงเจิดจ้าอย่างต่อเนื่อง
ประกายแสงสีแดงเลือดจำนวนมากไหลมารวมตัวกัน และหดกลายเป็นจุดเดียว ก่อนจะพุ่งขึ้นด้านบน แล้วหายไปเหนือค่ายกล
ฟ้าว!
อากาศถูกฉีกเป็นช่องสีเทาเหมือนกับผ้าที่ถูกฉีก เผยให้เห็นร่องแยกรูปดวงตาที่เหมือนม่านตาในแนวตั้ง
หลังจากลู่เซิ่งยืนยันว่าลวดลายค่ายกลรอบๆ ไม่มีข้อผิดพลาดแล้ว เขาก็จัดระเบียบอุปกรณ์มาตรฐานในการจุติที่พกติดตัว จากนั้นก็พุ่งไปด้านหน้า มุดเข้าไปในร่องแยกสีเทา แล้วหายไปในชั่วพริบตา
‘รอบนี้รีบจัดการให้จบเร็วๆ!’
…
เคร้ง!
เคร้ง!
เคร้ง!
“ฟื้นสิ! รีบฟื้นสิ!” แรงเขย่ากระชากลู่เซิ่งออกมาจากความสับสน
ลู่เซิ่งมองรอบด้านอย่างมึนงง ตนคล้ายอยู่ในโรงงานที่เหมือนกับโรงงานเหล็กแห่งหนึ่ง
ไม่ไกลออกไปมีค้อนเหล็กขนาดยักษ์กำลังทุบแผ่นโลหะสีแดงจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
สะเก็ดไฟสีแดงกระเด็นไปทั่ว
รอบๆ มีชายหญิงวัยเยาว์สวมเครื่องแบบที่มีลวดลายสีขาวอมฟ้าอยู่จำนวนไม่น้อย คล้ายจะเป็นเครื่องแบบของโรงเรียนสักแห่ง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ร่างกายอ่อนแอหรือว่าอะไร”
“เมื่อครู่เหมือนมีสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนเขาเข้า ฉันเห็น”
“งั้นเหรอ ครั้งนี้ศาสตราจารย์นำกลุ่ม การป้องกันในโรงเรียนก็ครอบคลุมดี ทำไมถึงปล่อยให้สะเก็ดไฟกระเด็นโดนนักเรียนได้”
“ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนระบบแม่แรงยกเกราะหนักจะเอียง อาจจะเป็นปัญหาด้านคนควบคุมก็ได้”
เสียงมากมายซึ่งใช้ภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมุดเข้าหูของลู่เซิ่ง
เขาแกล้งทำเป็นหลับตา แต่จิตวิญญาณกลับทำการหลอมรวมกับทุกอย่างของร่างกายนี้ด้วยความเร็วสูง
สหพันธรัฐอัลเลน?
โรงเรียนการทหารแพลตินัม?
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็เข้าใจระดับคร่าวๆ ของโลกใหม่ใบนี้ผ่านร่างกายที่ตนจุติลงมา
นี่เป็นโลกที่ใช้เกราะรบต่อสู้ เกราะรบเหมือนกับเกราะจักรกล ทุกๆ ประเทศดำเนินการแข่งขันทางการทหารอย่างบ้าคลั่งเพื่อวิจัยเกราะรบที่ใหม่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุด
เกราะรบของที่นี่เป็นอาวุธต่อสู้เพียงอย่างเดียว เป็นเพราะว่าพึ่งพาเกราะรบมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีวีรบุรุษที่แข็งแกร่งเกินไป แม้ระหว่างคนด้วยกันจะมีความแตกต่างทางทักษะ แต่พลังต่อสู้ในความเป็นจริงกลับไม่ต่างกันมาก
ทหารทั่วไปจะสวมเกราะรบตามที่ได้กำหนดไว้ ถ้าหากมีทักษะการต่อสู้แข็งแกร่ง ก็มีโอกาสเอาชนะนายพลที่สวมเกราะรบที่มีทักษะใหม่ล่าสุดได้
ทหารทุกคนของที่นี่ได้แต่อาศัยเกราะรบในการต่อสู้ หากมีเกราะรบของตัวเองเมื่อไหร่ ต่อให้ตัวทหารจะอ่อนแอไม่เอาอ่าว แต่ก็จะได้รับการป้องกันตามธรรมชาติเป็นหนึ่งในสิบส่วนจากการป้องกันของเกราะรบทันที
‘เป็นโลกที่ประหลาดจริงๆ…โลกที่อาศัยแต่วัตถุภายนอกหรือ โลกที่นอกจากทักษะการต่อสู้แล้ว ก็ไม่ได้มีการฝึกฝนเพื่อยกระดับตัวเองอีก มิน่าการไหลของเวลาถึงแตกต่างกันถึงสี่สิบเท่า…’
ลู่เซิ่งหลับตาจัดระเบียบทุกอย่างในสมอง
ความแตกต่างทางเวลาสี่สิบเท่าคือ สี่สิบวันของที่นี่เท่ากับหนึ่งวันของต้าอิน มากพอให้เขาสะสางผลกรรมของที่นี่ จากนั้นก็ดูดซับจิตวิญญาณแล้วจากไปได้อย่างรวดเร็ว
‘มิน่า เกราะรบของที่นี่ไม่ว่าจะยกระดับ เพิ่มความแข็งแกร่ง หรือปรับปรุงอย่างไร ก็ง่ายดายกว่าการฝึกฝนตัวเองมาก
คนธรรมดาคนหนึ่งขอแค่รับการฝึกทางทหารเป็นเวลาครึ่งปี เมื่อใส่เกราะรบแล้ว ก็จะได้รับพลังทำลายล้างในระดับปฐพีกำเนิดทันที มิน่าถึงไม่มีใครเสียเวลาฝึกฝนกายเนื้อ’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ขณะเดียวกันก็ลืมตาขึ้นโดยแสร้งทำเป็นอ่อนแรง
“ในที่สุดก็ฟื้นแล้วเหรอจัวหลิน!” หญิงสาวที่ไว้ผมหางม้าสีแดงและมีรูปร่างสะโอดสะองคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างดีใจ
ลู่เซิ่งจึงค่อยพบว่าตนกำลังนอนอยู่บนตักของหญิงสาวคนนี้
เธอสวมเครื่องแบบโรงเรียนที่มีลวดลายสีฟ้าพื้นขาว เพียงแต่เธอใส่ถุงน่องและกระโปรงยาวถึงเข่าตามมาตรฐาน
“เธอคือ…อวี๋ชาหรือ” ลู่เซิ่งทำท่ามึนงง ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น พร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ไม่ใช่ว่าหัวโดนอะไรกระแทกเข้าจนมีปัญหามั้ง” หญิงสาวกล่าวอย่างค่อนข้างเป็นห่วง “อาทิตย์หน้าจะเป็นการสอบใหญ่ของโรงเรียนแล้วนะ ระวังตัวหน่อยสิ” เธอยื่นแขนมานวดจุดสองจุดตรงท้ายทอยของลู่เซิ่ง เพื่อช่วยให้เขาได้สติมากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งทำตาสลึมสลือ ไม่นานก็จัดระเบียบสถานะและสถานการณ์ของร่างกายร่างนี้เสร็จ
จัวหลิน ชาย อายุสิบเก้า เด็กกำพร้า สอบติดโรงเรียนทหารแพลตินัมตอนอายุสิบแปด ต่อมาผลงานอยู่ในระดับกลาง ไม่ดีไม่แย่ เป็นนักเรียนชั้นปีที่สองสาขายานเกราะของโรงเรียน
อวี๋ชาเป็นแฟนสาวที่เขาคบหามาหนึ่งปี ทั้งสองใกล้ชิดกันมาก นอกจากขั้นสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็ทำมาหมด ได้ตกลงกันแล้วว่าหลังจากจัวหลินเรียนจบจะจดทะเบียนแต่งงานด้วยกัน
‘ครั้งนี้ดีจริงแม้แต่เมียก็ไม่ต้องหาแล้ว…’ ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ อวี๋ชาในความทรงจำไม่ได้ดีต่อจัวหลินธรรมดาๆ เท่านั้น
จั่วหลินหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายสูงชะลูด เพียงแต่มีนิสัยเย็นชา ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นๆ
ทางอวี๋ชาพอนับได้ว่าเป็นคนสวย รูปร่างค่อนข้างดี แต่เพราะหัวสมองไม่ดี เลยหยุดเรียนและออกไปทำงาน เงินเดือนทุกเดือนใช้เป็นทุนการศึกษาให้แก่จัวหลิน เรียกได้ว่าอุทิศทั้งใจให้แก่จัวหลิน
……………………………………….