ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 570 พลังผสาน (2)
บทที่ 570 พลังผสาน (2)
ติ๊ง
เกิดหนึ่งดังขึ้น เกราะรบพลันแยกออก เผยให้เห็นช่องว่างด้านในที่พอให้คนคนหนึ่งเดินเข้าไปได้พอดี
เกราะรบสูงหนึ่งจุดเก้าเมตร ร่างกายร่างนี้ของลู่เซิ่งสูงหนึ่งจุดเจ็ดเมตรกว่าๆ เขาเดินถอยหลังเข้าไปด้านในเกราะรบ
แกร๊ก
ไหล่ของเกราะทั้งสองข้างลดลงแล้วเกาะเข้ากับบ่าของเขา
จากนั้นก็เป็นอก เอว ขา สุดท้ายค่อยเป็นส่วนคอ รวมถึงส่วนหัวที่สำคัญที่สุด
หลังจากใส่เรียบร้อย ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ทันทีว่าเกราะรบชุดนี้เกิดการเชื่อมต่อพิเศษบางอย่างกับร่างกายของตัวเอง
‘นี่คือพลังผสานเหรอ’
ในความรู้และความทรงจำของจัวหลิน โลกใบนี้เรียกพลังงานชนิดนี้ว่าพลังผสาน
ในวัสดุของเกราะรบมีวัสดุที่ลึกลับและพิเศษถึงขีดสุดอยู่ชนิดหนึ่งที่ทำให้เกราะรบเกิดการผสานกับร่างกายของมนุษย์ได้เป็นการชั่วคราว
พลังผสานทำให้พวกผู้สวมใส่ควบคุมและขับเคลื่อนความสามารถทั้งหมดบนเกราะรบได้ตามใจนึก
นี่ได้มาแทนที่ของเล่นอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เชิงแสง หรือปัญญาประดิษฐ์ไปแล้ว สามารถทำให้ควบคุมเกราะรบได้เหมือนแขนขา สะดวกสบายถึงขีดสุด
‘ยิ่งพลังผสานแข็งแกร่งเท่าไหร่ รูปแบบของเกราะรบที่ใส่ได้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ค่อยมีผลอะไรมากนัก’ ลู่เซิ่งสัมผัสความรู้สึกของการใส่เกราะรบต่อ ขณะเดียวกันก็ยืนยันความทรงจำในสมองของจัวหลินทีละเรื่องๆ ด้วย
ผ่านไปไม่เกินสิบกว่านาที เขาก็ทำความเข้าใจเกราะรบรุ่นเบาบางชุดนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เกราะรบชุดนี้มีผลป้องกันที่อ่อนด้อยต่อร่างกายมนุษย์ เทียบเท่ากับสวมเกราะเหล็กชั้นเดียว สามารป้องกันปืนลำกล้องเล็กทั่วไปได้
ส่วนขามีอุปกรณ์ระเบิดในระยะสั้นๆ ที่เหลือไม่มีความสามารถอะไรอีกแล้ว
‘ตอนนี้ควรศึกษาสักทีว่าเราจะยกระดับพลังและแก้ไขผลกรรมให้เร็วที่สุดยังไง’ ลู่เซิ่งเก็บเกราะ แล้วนอนหงายลงบนเตียง ก่อนจะเริ่มใคร่ครวญว่าครั้งนี้ควรเดินบนเส้นทางไหน
‘วิธีที่สะดวกสบายที่สุดก็คือรอให้เวลาผ่านไปสักหนึ่งถึงสองเดือน เพื่อให้ร่างหลักฟื้นฟูความสามารถเดิมมาส่วนหนึ่งก่อน จากนั้นก็หาตัวฆาตกร แล้วบุกไปฆ่าทิ้ง จากนั้นต่อให้ถูกบังคับให้ย้อนกลับ ก็นับว่าสะสางผลกรรม ทำให้การจุติครั้งนี้สำเร็จได้แล้ว แต่แบบนี้อย่าว่าแต่ช้าเกินไป การตรวจสอบยังมีโอกาสเกิดอันตรายมากที่สุดด้วย เสี่ยงมากเกินไป ร่างนี้ไม่ได้มีพลังของตัวเอง เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะมีอันตราย ดังนั้นพยายามยกระดับพลังของกายเนื้อร่างนี้ให้เร็วที่สุดดีกว่า ‘ตามบันทึกจากระบบของเกราะรบ เกราะรบที่รับรองการผสานแล้วจะมอบความสามารถด้านการป้องกันของเกราะรบหนึ่งในสิบส่วนให้แก่ผู้ควบคุม ความสามารถป้องกันที่ว่านี้ทำให้ผู้ควบคุมมีพลังป้องกันตัวในระดับหนึ่งในตอนที่เกราะรบไม่อยู่ข้างๆ ตัว ไม่ถึงกับตายก่อนวัยอันควร บางทีอาจจะเริ่มจากจุดนี้ได้…’
ลู่เซิ่งลูบคาง
‘พลังผสานของเกราะรบสามารถรับประกันได้ว่าทำให้ควบคุมได้อย่างใจนึก แต่สิ่งที่จำกัดอานุภาพในการสวมเกราะของพวกผู้ควบคุมคืออานุภาพของตัวเกราะรบเอง’
ลู่เซิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง
เกราะรบระดับสูงอยู่ในมือของกองกำลังใหญ่ๆ เกราะรบที่เขาสัมผัสได้ในตอนนี้มีแค่เกราะทหารธรรมดา หรือก็คือเกราะรบที่ทหารสวมใส่เท่านั้น
เกราะรบชนิดนี้ไม่มีระบบช่วยเคลื่อนไหว ได้แต่อาศัยพลังกายและความอดทนของตัวทหารแบกรับน้ำหนักทั้งหมดของเกราะรบเท่านั้น ดังนั้นปกติแล้วจึงเคลื่อนย้ายได้ง่าย
‘พลังของตัวเองถูกจำกัดไว้…โลกใบนี้ยุ่งยากมากจริงๆ…’ ลู่เซิ่งถอนใจ แล้วกลับมาคิดหาทางอย่างละเอียดอีกรอบ
‘ดูเหมือนได้แต่เดินบนเส้นทางเกราะรบอย่างเดียวแล้ว’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ไม่นานก็ให้ความสนใจพลังผสานซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดระหว่างเกราะรบและผู้ควบคุม
พลังผสานเป็นสิ่งที่จะตัดสินว่าเกราะรบกับผู้ควบคุมเข้ากันได้หรือไม่ แทนที่จะบอกว่าพลังผสานเป็นพลังชนิดหนึ่งควรบอกว่าเป็นขอบเขตการควบคุมอย่างหนึ่งมากกว่า
หลังจากพลังผสานของนักเรียนธรรมดาถูกกระตุ้น อย่างมากสุดจะควบคุมเกราะรบที่หนาถึงสิบเซนติเมตรได้ ส่วนน้ำหนักตัวนักเรียนจะเป็นคนแบกเอง
แต่ว่านักเรียนที่มีพลังผสานโดดเด่นไม่เพียงควบคุมเกราะรบที่มีความหนามากกว่าได้เท่านั้น มิหนำซ้ำยังลดน้ำหนักของเกราะรบได้ในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกันยังเพิ่มดัชนีอื่น อย่างความคล่องตัวและความเร็วของเกราะรบได้อีกด้วย
‘ดีปบลู’
ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
‘ดูเหมือนครั้งนี้จะมามัวประหยัดไม่ได้แล้ว มีพลังอาวรณ์อยู่หนึ่งแสนเก้าหมื่นหน่วย รีบแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดดีกว่า’
เขามองไปยังกรอบบนอินเตอร์เฟซของดีปบลูทันที
เป็นอย่างที่คาดไว้ กรอบใหม่ไม่ทราบว่าโผล่มาด้านล่างกรอบของวิชาไร้ขอบเขตตั้งแต่เมื่อไหร่
[พลังผสานเกราะรบ: ระดับอ่อนแอ ขั้น 2 (คุณสมบัติพิเศษ: ควบคุมเกราะรบอยู่ห่างตัวสิบเอ็ดเซนติเมตร)]
ลู่เซิ่งค้นหาปุ่มเรียนรู้ปรับเปลี่ยน แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ รอบๆ ไม่มีปุ่มเรียนรู้โผล่มา หลังกดปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างเครื่องมือปรับเปลี่ยน เขาก็ทดลองปรับเปลี่ยนพลังผสานดู แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา
เขาทบทวนดู ในหัวสมองขาวโพลน ความทรงจำของจัวหลินบอกว่า เพิ่งจะมีการส่งเกราะรบให้นักเรียนใช้เท่านั้น ห้องเรียนสอนพลังผสานยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ พวกเขาเพียงแค่เพิ่งกระตุ้นพลังผสานขึ้นได้เท่านั้น
‘ดูเหมือนจะขาดข้อมูลด้านการยกระดับพลังผสานไป ขอลองนึกดูก่อน…ว่าหาข้อมูลแบบนี้จากที่ไหนได้บ้าง ห้องสมุดต้องมีแน่…แต่ตอนนี้คงจะยังไม่มีสิทธิ์เข้าไป
จากนั้นก็คือห้องเรียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งสื่อการสอนจะบอกวิธีการยกระดับพลังผสานไปทีละขั้นๆ นี่ไม่ใช่ทักษะวิชาลับ สิ่งที่ทุกคนใช้คือวิธีเดียวกัน สิ่งที่ใช้ตัดสินความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังผสานอยู่ที่คุณสมบัติเพียงอย่างเดียว’
ลู่เซิ่งทำความคุ้นเคยสถานการณ์ดู แล้วก็พบทางตันทันที
‘สื่อการสอนๆ…’ เขารีบวิ่งไปยังห้องหนังสือเพื่อหาสื่อการสอนที่เกี่ยวข้องกับพลังผสาน แต่ว่าในห้องหนังสือไม่มีสื่อการสอนใดๆ หนังสือทั้งหมดไม่ได้ถูกนำกลับมาจากตึกเรียน
‘ยุ่งยากจริง!’
ลู่เซิ่งรีบสวมเสื้อนอก แล้วผลักประตูออกเพื่อไปเอาสื่อการสอนที่ตึกเรียนมายกระดับ
แอ๊ด
เพิ่งจะเปิดประตู เขาก็เห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งพิงประตูอยู่ กำลังคุยกับหญิงงามที่มีเค้าหน้าหมดจดคนหนึ่งเบาๆ
ชายฉกรรจ์คนนี้มีชื่อว่าเถียถ่า เป็นนักเรียนชั้นปีที่สามที่อยู่ห้องตรงข้ามกับจัวหลิน ปกติไม่ได้สุงสิงอะไรกับเขานักเพราะนิสัยรักสันโดษของชายหนุ่ม
เทอร์ราครูประจำชั้นเรียนของเถียถ่ายืนอยู่ด้านข้างเขา
เทอร์ราสวมชุดครูผู้สอน เผยสองขาเรียบเนียนเรียวยาว ถือสมุดข้อมูลนักเรียนในหอพักชุดใหม่ล่าสุด
ครั้งนี้เธอมาเพราะต้องการคุยกับเถียถ่า ในฐานะนักเรียนหัวกะทิที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสี่ของชั้นเรียน เถียถ่ามีพลังผสานที่โดนเด่นในระดับกลางขั้นสี่ รวมถึงทักษะการต่อสู้ที่ไม่เลว และพละกำลังกับความอดทนที่ดีเยี่ยม
ทั้งยังได้รับการจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของชั้นปีด้วย
ตอนแรกเธอฝากความหวังไว้ที่ตัวเถียถ่า หวังว่าเขาจะสำเร็จทักษะทางจิตของโรงเรียน ต่อให้ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ถ้าหากไปถึงระดับทองแดงได้ ในอนาคตก็จะกลายเป็นบัณฑิตที่โดดเด่น
แต่กลับนึกไม่ถึงว่า เถียถ่าจะได้รับการประเมินทักษะทางจิตเพียงระดับเหล็กดำเท่านั้น
นี่ทำให้เทอร์ราเสียดายอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงมาทำความเข้าใจกับเถียถ่า เพื่อหาต้นตอของปัญหา
ในสหพันธรัฐอัลเลน หรือในโลกของผู้ควบคุมเกราะรบ การควบคุมทักษะทางจิตเป็นส่วนหลักที่ล้ำค่าที่สุด
สหพันธรัฐอัลเลนมีโรงเรียนสามแห่งที่ถ่ายทอดทักษะทางจิตได้ หนึ่งในนี้ก็คือโรงเรียนแพลตินัม
ระดับตัวทำละลายทักษะทางจิตแพลตตินัมของโรงเรียนแพลตินัมทำให้แสดงพลังของเกราะรบออกมาได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ระดับเหล็กดำ สำริดคราม เงินขาว ทองเหลือง จนกระทั่งถึงระดับแพลตนัมซึ่งเป็นระดับสูงสุด
ทุกๆ ระดับจะทำให้ผู้ควบคุมแสดงพลังของเกราะรบออกมาได้อย่างใหญ่หลวง
เกราะรบชุดหนึ่ง หากให้นักเรียนธรรมดาควบคุมจะแสดงพละกำลังได้หนึ่งพันกรัม อย่างนั้นนักเรียนที่ฝึกจนได้ทักษะทางจิตระดับเหล็กดำจะสามารถแสดงพละกำลังได้หนึ่งพันห้าร้อยกรัม
นี่ไม่ใช่พละกำลังที่ตัวนักเรียนจะยกระดับได้เลย หากเป็นศักยภาพทางวัสดุที่ตัวเกราะรบมีอยู่แล้ว
เพียงแต่นักเรียนทั่วไปไม่อาจใช้ได้เท่านั้น
“เถียถ่า เธอต้องเข้าใจนะว่านักเรียนธรรมดาอย่างมากสุดได้แค่ใช้พละกำลังสามสิบเปอร์เซ็นต์ของเกราะรบเท่านั้น ส่วนนักเรียนที่มีทักษะทางจิตสูงส่งกว่าสามารถใช้ได้ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านี้เสียอีก นี่เป็นความแตกต่างเกือบเท่าตัวเชียวนะ! ถ้าหากการประเมินทักษะทางจิตของเธอต่ำไปล่ะก็…”
“ผมรู้ครับ” เถียถ่าผุดสีหน้าที่ค่อนข้างจนปัญญา “แต่ทักษะทางจิตนั่นต้องเกาะติดกับเกราะรบอย่างละเอียดอ่อน และการฟังเสียงหัวใจของวัสดุอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง! จะให้ทำยังไงล่ะครับ!”
ลู่เซิ่งได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองพอดีในตอนที่ออกมา
ตัวทำละลายทักษะทางจิตแพลตตินัมเป็นหัวใจหลักของโรงเรียนแพลตินัม เรื่องนี้เขาได้ทราบจากความทรงจำของจัวหลินแล้ว
แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ
ความจริงทักษะทางจิตของที่นี่เป็นการทำความเข้าใจเกราะรบ จากนั้นก็ปรับปรุงตัวเอง เพื่อแสดงพละกำลังในระดับที่คนธรรมดาไม่อาจไปถึงได้ออกมา
ความจริงไม่ต่างจากระดับจันทราในน้ำในนิยายกำลังภายในเท่าไหร่ โดยผลของมันคือการขุดค้นศักยภาพและอานุภาพของเกราะรบออกมาในระดับสูงสุด
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งคิดจะใช้มันเป็นจุดทะลวง แต่ภายหลังกลับตัดทิ้งไป
ลู่เซิ่งเดินผ่านคนทั้งสอง เนื่องจากยังเดินห่างออกมาไม่ไกล เขาเลยได้ยินคำพูดกระท่อนกระแท่นของเถียถ่าที่อยู่ด้านหลัง
“…ผมชอบทักษะทางจิตแบบปักษาโบยบินลื่นไหลของโรงเรียนกราวน์โอเวอร์มากกว่า…พ่อผมเป็นทหารโล่ ตาของผมเป็นทหารโล่ มาถึงรุ่นผม ผมไม่อยากจะเป็นทหารโล่อีกแล้ว…”
“แต่เธอคือสายทหารโล่ตั้งแต่เกิดนะ!”
ลู่เซิ่งเดินออกจากหอพักอย่างระอา ไม่ฟังต่ออีก
เดินไปทางซ้ายมือของหอพัก ตัดทะลุสระน้ำแห่งหนึ่งและลานกว้างขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ด้านหน้าคือร้านขายหนังสือที่ขายสื่อการสอนเพิ่มเติมในโรงเรียน
ร้านขายหนังสือตั้งอยู่ใต้ร่มไม้แน่นขนัด บางครั้งก็มีนักเรียนออกมาจากด้านใน โดยถือสื่อการสอนที่เป็นหนังสือเล่มหนาไว้ด้วย
“จัวหลินใช่ไหม บังเอิญจริงเชียว นายก็มาเตรียมหนังสือไว้ก่อนเหมือนกันเหรอ”
อยู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงที่กระจ่างใสลอยมาจากด้านข้าง
ลู่เซิ่งกำลังจะเดินเข้าร้านหนังสือ พอได้ยินเสียงก็ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างจนปัญญา
นักเรียนหญิงสองคนที่ถือไอศกรีมไว้ในมือ กำลังเดินทอดน่องมาบนเส้นทางใต้ร่มไม้ทางซ้ายมือ
คนหนึ่งในนี้มีร่างสูงชะลูด ผมยาวสีม่วงระไหล่ ดวงตาคู่โตเหมือนกับยิ้มตลอดเวลา แค่ดวงตาคู่นี้ก็ทำให้คนมองข้ามใบหน้าที่ธรรมดาสามัญ และผิวพรรณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักของเธอไปโดยไม่รู้ตัว
“เซี่ยเฉิงหรือ บังเอิญจริง เธอมาหาหนังสืออ่านเหมือนกันเหรอ” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปทักทายอย่างคุ้นเคยโดยเลียนแบบน้ำเสียงของจัวหลิน
ในห้องเรียนมีคนทั้งหมดห้าสิบคน คนที่สนิทกับเขาเพียงคนเดียวก็มีแต่เซี่ยเฉิง หญิงสาวที่ดูเหมือนยิ้มอยู่ตลอดเวลาคนนี้
“เครื่องแบบฉันล่ะ นายยืมไปให้แฟนใส่นี่ อย่าลืมเอามาคืนด้วยล่ะ ฉันมีแค่สามชุด สลับกันซักอีกสองวันก็ไม่พอแล้ว” เซี่ยเฉิงเตือน
“ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้จะซักมาคืนให้เธอเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หือ…นายยิ้มเป็นกับเขาด้วยนี่…” เซี่ยเฉิงเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย “เท่าที่จำได้นายยิ้มน้อยมาก ดูเหมือนเมื่อวานจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นสินะ”
“จะว่างั้นก็ได้”
“มีปัญหาจริงๆ…ความอ่อนโยนจากความรักหรือไง ไม่เลวจริงๆ! แต่พอดูดีๆ แล้ว เวลานายยิ้มนี่หล่อเอาเรื่องเลยนะ” เซี่ยเฉิงอดแซวไม่ได้
จำเป็นต้องบอกจริงๆ ว่าจัวหลินมีเงื่อนไขภายนอกไม่เลวมาก แม้ว่าการเรียนจะธรรมดา แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งทั้งวัน และมีนิสัยรักสันโดษ เกรงว่าสาวๆ ในห้องคงจะมาติดตรึม
“งั้นเหรอ” ลู่เซิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ จากมุมมองของเขา ตัวเขามองออกว่าผู้หญิงคนนี้คล้ายจะสนใจในตัวเขานิดหน่อย
แต่ในเมื่อจัวหลินมีอวี๋ซาแล้ว เธอก็ไม่ได้ดึงดันอีก
“จริงสิ นายยังคิดจะสมัครเป็นทหารโล่อยู่อีกไหม” เซี่ยเฉิงถามอย่างกะทันหัน
“ทหารโล่เหรอ” ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็นึกถึงความปรารถนาในใจจัวหลิน ปกป้อง
ความจริงเกราะรบที่ทหารโล่สวมใส่มีความสามารปกป้องเป็นหลัก ไม่มีความสามารถระยะไกล
“ใช่แล้ว…ทหารโล่…เป็นความฝันของฉันมาโดยตลอด” เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มขึ้น
ทหารโล่…อยู่ๆ เขาก็นึกวิธีดีๆ ออกแล้ว
……………………………………….