ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 579 วางแผน (1)
บทที่ 579 วางแผน (1)
“เห็นหรือยัง” ลู่เซิ่งยกมือขึ้นป้องแสง สถานีตำรวจที่อยู่อีกฝั่งมีรถไม่น้อยขับมาถึง ยังมีไฟฉายมากมายกวาดไปมาจนลายตาอยู่บ้าง
“กระบวนการไม่สำคัญ ผลลัพธ์ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ”
ซาเจี๋ยไม่กล้าพูด
“ไปเถอะ ควรไปที่ต่อไปได้แล้ว” ในแผนการของลู่เซิ่ง สถานีตำรวจแห่งเดียวไม่ใช่จุดจบ
สองชั่วโมงต่อมา เขาพาซาเจี๋ยกับอวี๋ชาไปยังหน่วยงานสำคัญๆ เช่น ศาล สำนักงานอัยการ และกระทรวงกลาโหมแห่งสหพันธรัฐ และให้โคเฮนแห่งม่านเหล็กที่กำลังหลบหนีเพราะถูกผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ‘ไล่ล่า’ เผยโฉมออกมา ตลอดการบุกหน่วยงานต่างๆ ทำให้เศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมเสียหายจนประเมินค่าไม่ได้
พอเก็บงานในตอนเย็นเสร็จ ลู่เซิ่งก็มุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของตระกูลเจี๋ย ในเมืองแพลตินัมเต็มไปด้วยเสียงแตรที่หนวกหู
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูคฤหาสน์มองซาเจี๋ยควักกุญแจออกมาเปิดประตู
รถที่มีไฟไซเรนกำลังกะพริบอยู่ขับผ่านด้านหลังพวกเขาไป
“คืนนี้พวกเขาต้องยุ่งกันหน่อยล่ะ” ลู่เซิ่งกวาดตามองไฟรถ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซาเจี๋ยไม่กล้าพูดต่อ
คฤหาสน์สีขาวมีสิ่งก่อสร้างทั้งหมดสามหลัง ตึกหลักหนึ่งหลัง ตึกรองสองหลัง ตกแต่งเหมือนกับตึกภายในราชวัง
“คุณชายกลับมาแล้วเหรอคะ คงจะหิวแน่เลย สั่งอาหารเลยดีไหมคะ” หญิงวัยกลางคนไว้ผมยาวและสวมชุดหญิงรับใช้คนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังประตู ก่อนจะค้อมตัวพร้อมกับถามไถ่
“ยัง เตรียมเสื้อผ้าให้เพื่อนฉันเปลี่ยนก่อน เดี๋ยวพวกเราจะลงไปกินกันเอง” ซาเจี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นปกติ
“ค่ะคุณชาย นอกจากนี้ ฝ่ายวิชาการของโรงเรียนแพลตินัมได้โทรศัพท์มาหาด้วยค่ะ เหมือนจะมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างต้องการถามคุณชาย” หญิงรับใช้เตือน
“เข้าใจล่ะ” ซาเจี๋ยคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่หน่วยปฏิบัติการณ์ของม่านเหล็กตายในห้องของเขา แต่ต่อให้เรื่องราวจะเกี่ยวพันกับเขา แต่การหยุดเรื่องนี้ไว้ไม่นับว่ายากเท่าไหร่
เพียงแต่พอเขาหันไปมองลู่เซิ่งที่ด้านหลัง ลู่เซิ่งเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างกับอวี๋ชาเบาๆ อยู่ และเหมือนสัมผัสสายตาของเขาได้แล้ว
“เข้าห้องก่อนค่อยพูดกัน”
“ได้” ซาเจี๋ยพยักหน้า เขาไม่รู้ว่าจัวหลินอยากจะทำอะไรกันแน่ แต่ดูจากเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นในวันนี้ จัวหลินไม่เพียงครอบครองพลังที่แข็งแกร่งเท่านั้น แถมยังบ้าระห่ำชนิดที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลยด้วย
หลังจากทั้งสามเปลี่ยนเสื้อผ้า ลู่เซิ่งก็หาข้ออ้างให้หญิงรับใช้พาอวี๋ชาออกไปพักผ่อนในห้องอื่นๆ ของคฤหาสน์ ส่วนเขากับซาเจี๋ยเข้าไปในบาร์
ตุบ
ประตูบาร์ถูกปิดและล็อกกลอน
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่จัวหลิน!” ซาเจี๋ยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่หัวใจเต้นกระหน่ำ เขากลัวแล้ว
ภายในวันเดียวกลับสร้างเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขากลัวว่าถ้าตนอยู่กับคนคนนี้ต่อไป วันหน้าอาจจะทำให้เจี๋ยกรุ๊ปโดนลูกหลงไปด้วย
“ไม่รู้สิ” ลู่เซิ่งยิ้ม “นายนี่รวยน่าดูนะซาเจี๋ย”
“นั่นมันเงินพ่อฉัน ไม่ใช่ของฉัน” ซาเจี๋ยอธิบาย
“ให้ฉันเจอพ่อนายหน่อยสิ” ลู่เซิ่งพูดต่อ
“ไม่ได้!”
“ถ้างั้นตอนนี้ฉันจะโทรหาพ่อนาย ให้เขารู้ว่านายอยู่ในกำมือฉัน นายว่าจะเป็นยังไง” ลู่เซิ่งถาม
“เขาก็ไม่มาเหมือนเดิมนั่นแหละ ถ้าฉันไม่มีศักยภาพระดับนักเรียนหัวกะทิของโรงเรียนแพลตินัม เขาคงไม่ให้ห้องนี้กับฉันด้วยซ้ำ” ซาเจี๋ยพูดเสียงเย็น
“ดูน่าสงสารมากเลยนะ” ครั้งนี้ลู่เซิ่งประหลาดใจบ้างแล้ว
“เขาให้ความสำคัญกับพี่ของฉันมากกว่า ตัวฉันน่ะจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้”ซาเจี๋ยเยาะเย้ยตัวเอง
“งั้นร่วมมือกับฉันดีไหม” ลู่เซิ่งโพล่งขึ้น “นายมีเงิน ส่วนฉันมีพลัง พวกเราร่วมมือกัน อาศัยช่องทางของเจี๋ยกรุ๊ป สามารถเติบโตได้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วย”
ซาเจี๋ยพลันหุบปาก เขาไม่ใช่คนโง่ ถ้าหากว่าติดกับง่ายขนาดนี้ เขาคงเป็นหัวหน้าห้องในโรงเรียนแพลตินัมไม่ได้
“อะไรกัน ไม่ยอมเหรอ” ลู่เซิ่งนั่งลงบนม้านั่งข้างบาร์ แล้วหมุนม้านั่งรอบหนึ่ง “ความจริงนายไม่มีตัวเลือกไม่ใช่เหรอไง ฉันให้นายอยู่กับฉันตั้งนาน แถมยังให้โคเฮนเผยโฉมไปทั่วอีก เครือข่ายข่าวสารของม่านเหล็กเป็นคนโง่หรือไง”
ใบหน้าของซาเจี๋ยพลันเหยเกกว่าเดิม
“เพราะงั้นถึงสหพันธรัฐจะไม่เอาเรื่องนาย แต่ม่านเหล็กไม่เหมือนกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นายรับประกันความปลอดภัยของฉันได้เหรอ” ซาเจี๋ยหัวใจเต้นกระหน่ำเล็กน้อย
“ตอนนี้นายได้แต่เลือกเชื่อฉันแล้วล่ะ” ลู่เซิ่งยักไหล่ ไม่ได้ตอบคำถาม
สักพักใหญ่ๆ ซาเจี๋ยก็รินเหล้าสีเขียวอ่อนให้พวกตัวเขาเองคนละแก้ว
“ก็ได้ ฉันจะจัดการทางโรงเรียนเอง ต่อจากนี้นายคิดจะทำอะไร” เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย เกิดว่าตนเองปฏิเสธ พรุ่งนี้เช้าจะเดินออกจากห้องนี้ได้ไหมยังเป็นปริศนา
“ฉันต้องการเงิน เงินเยอะๆ ต้องการวัสดุและชิ้นส่วนของเกราะ ต้องการทุกอย่างที่เกี่ยวกับชุดเกราะ” ลู่เซิ่งแบมือสองข้างและกล่าวอย่างจริงจัง “แล้วก็ขอเร็วที่สุดด้วยล่ะ”
ซาเจี๋ยทำหน้าเหยเกอยู่บ้าง
“ฉันไม่ได้มีอำนาจในบริษัทเท่าไหร่”
“งั้นก็ขยายอำนาจของนายซะ อยากจะกลายเป็นผู้รับสืบทอดที่แท้จริงของบริษัทเพียงคนเดียวไหมล่ะ” ลู่เซิ่งล่อลวง
ซาเจี๋ยเงียบงัน กลืนน้ำลาย ไม่ได้พูดอะไร
ครู่ต่อมา เขาจึงค่อยพูดเบาๆ ว่า
“ขอแบบถูกกฎหมายล่ะ!”
…
คืนนั้นพวกเขาพักผ่อนเต็มที่ ซาเจี๋ยลาโรงเรียนให้ลู่เซิ่ง จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ของเจี๋ยกรุ๊ปซึ่งตั้งอยู่ในชั้นสิบห้าใจกลางตึกระฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองแพลตินัมโดยไม่สนใจการสอบใหญ่
ทั้งสองยืนอยู่ในลิฟท์ ไม่พูดอะไรกันอยู่ชั่วขณะ
ลู่เซิ่งเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อยืดพิมพ์ลายกับกางเกงขายาวสีเทาธรรมดาๆ ซึ่งเป็นชุดลำลองที่ดูเป็นผู้ใหญ่เล็กน้อย แตกต่างจากชุดทางการที่ดูเป็นผู้ใหญ่ของซาเจี๋ยโดยสิ้นเชิง
ติ๊ง
ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก ชั้นที่สิบห้ามีพนักงานชายหญิงเดินไปเดินมาอย่างเร่งรีบ
ระเบียงปูด้วยพรมลายตารางสีขาวดำผืนหนา แทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า
ซาเจี๋ยพาลู่เซิ่งเดินเข้าไปด้านใน ตัดผ่านระเบียง แล้วอ้อมผ่านห้องประชุมที่เหมือนกับโถงจัดคอนเสิร์ต ไม่นานก็มาถึงด้านหน้าประตูไม้สีแดงบานหนึ่ง
ด้านหน้าประตูมีชายวัยกลางคนสวมหมวกทรงกลมสีแดงเฝ้าอยู่ เขาเหน็บซองปืนไว้ที่เอว สวมเสื้อกั๊กหนังสีน้ำตาลแนบเนื้อ กำลังพิงประตูพร้อมกับสูบบุหรี่อย่างเกียจคร้าน
“สวัสดีครับอาหัว” ซาเจี๋ยส่งเสียงอย่างว่าง่าย
“เสี่ยวเจี๋ยนี่เอง พ่อเธอเพิ่งประชุมเสร็จ เลยเหนื่อยนิดหน่อย ระวังน้ำเสียงด้วยล่ะ อ้อ แล้วเพื่อนเธอเข้าไปไม่ได้นะ” ชายวัยกลางคนกวาดตามองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง
ซาเจี๋ยหันกลับไปมองลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ฉันจะรอนายตรงระเบียง”
“ได้ ฉันจะเข้าไปก่อน แล้วจะรีบออกมา” ซาเจี๋ยพยักหน้าแล้วยื่นมือไปผลักประตู
ผัวะ
อยู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ เขาหันไปมอง อาหัวพิงอยู่บนกำแพงด้านข้าง หมวกหย่อนลงมาปิดตา ไม่ขยับเขยื้อนคล้ายกับหลับไปแล้ว
‘เขาคงจะเหนื่อยเกินไป เลยยืนหลับตาทำสมาธิ’ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ถ้าซาเจี๋ยไม่เห็นมือของลู่เซิ่งที่เพิ่งชักกลับมาจากท้ายทอยของลุงหัว เขาคงจะต้องคิดแบบนี้แน่
“ไม่ได้ฆ่าเขาหรอก ไปเถอะ” ลู่เซิ่งยิ้มให้กับเขา
ซาเจี๋ยพยักหน้า ในใจกริ่งเกรงลู่เซิ่งยิ่งกว่าเดิม เขารู้จักพลังของอาหัวดี อาหัวคือมือดีขั้นสุดยอดที่เคยได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ดในการแข่งต่อสู้จากทั่วทั้งสหพันธรัฐ
นึกไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจัวหลิน ยังไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกจัดการเสียแล้ว
ทั้งสองทยอยเดินเข้าประตูไม้
หลังประตูคือห้องทำงานที่ติดกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่
บนเก้าอี้หนังหน้าโต๊ะทำงานไม่มีใคร แต่บนโซฟาทรงกลมที่อยู่ด้านข้างกลับมีชายชราหน้าตาเคร่งขรึมและมีผมหงอกคนหนึ่งนั่งอยู่
ชายชราได้ยินเสียง กำลังจะเก็บนิ้วที่ใช้นวดขมับเบาๆ ลง
“เสี่ยวเจี๋ย แกมาหาฉันมีธุระอะไร บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ผ่านสอบใหญ่ก่อนค่อยมาสำนักงาน”
ซาเจี๋ยไม่ได้ตอบ หากมองไปยังลู่เซิ่ง
“ซาลัวน่าใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งเดินเข้าไป ค่อยๆ เข้าใกล้ทีละน้อย
“เธอเป็นใคร?!” ชายชราผุดลุกขึ้น หันไปมองลู่เซิ่ง ดวงตาคมกริบเหมือนเหยี่ยวที่กำลังหาอาหาร
“เรียกผมว่าเซิ่งก็ได้” ลู่เซิ่งตั้งชื่อมั่วๆ
“เจ้าหนุ่ม เธอมีเป้าหมายอะไร” ซาลัวน่าสมกับเป็นยอดคนแห่งยุค และเป็นคนที่ปีนป่ายขึ้นมาจากสงครามการค้านับไม่ถ้วนได้ พริบตาเดียวก็วิเคราะห์สถานการณ์ออก อีกฝ่ายสามารถผ่านเข้ามาภายใต้การคุ้มกันของอาหัวซึ่งเป็นบอดี้การ์ดผู้มีประสิทธิภาพที่เขาภาคภูมิใจได้ เห็นได้ว่ามีพลังที่ไม่อาจดูแคลน
“ผมต้องการเงิน เงินจำนวนมาก และต้องการทรัพยากร ทรัพยากรด้านชุดเกราะ” ลู่เซิ่งบอกตามตรง “ตอนแรกผมคิดจะร่วมมือกับลูกชายคุณ แต่แวบแรกที่เห็นคุณ ผมก็รู้ทันทีว่าคุณอาจเป็นผู้ร่วมมือที่เหมาะสมกว่า” คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของซาเจี๋ยที่อยู่ด้านหลังเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นาๆ ทันที
ลู่เซิ่งกลับไม่สนใจว่าเขาจะมีสีหน้าแบบไหน เขาเพียงต้องการแค่ประสิทธิภาพเท่านั้น
“เธอจะเอาอะไรให้ฉันล่ะ” ซาลัวน่าสมกับเป็นยอดคน ในสถานการณ์จนตรอกแบบนี้ยังถามถึงผลประโยชน์ของตนโดยไม่ยอมถอยได้อีก
“ขอบอกก่อนนะว่าตระกูลซามีบริษัทรักษาความปลอดภัยกับทีมมืออาชีพเป็นของตัวเอง และมีเส้นสายมากมายกับกองทัพ ครั้งนี้ฉันแค่ประมาทไป แต่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลซาของฉันจะอ่อนแอ” ซาลัวน่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมต้องรู้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มาร่วมมือกับคุณซาหรอก” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ส่วนที่ว่าคุณจะได้อะไร มันขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไร”
“อ้อ?” ซาลัวน่าดวงตาคมกริบมากขึ้น
ทั้งสองคุยกันในห้องทำงานอยู่นาน หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซาเจี๋ยก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นคนส่งข่าวระหว่างลู่เซิ่งกับซากรุ๊ป ส่วนทางลู่เซิ่งกับซาลัวน่าบรรลุข้อตกลงปากเปล่ากันแล้ว
ตอนแรกซาลัวน่ายืนหยัดในเงื่อนไขทางผลประโยชน์ของตัวเองหัวชนฝา ทว่าหลังจากลู่เซิ่งมอบข้อเสนอที่เขาปฏิเสธไม่ได้ให้ ในที่สุดเขาก็ทนการเย้ายวนไม่ไหว ตัดสินใจทำข้อตกลงทันที
ไม่ใช่แค่ซาลัวน่าเท่านั้น แม้แต่ซาเจี๋ย หลังจากทราบถึงเงื่อนไขที่ลู่เซิ่งเสนอให้ ก็อดหวั่นไหวไม่ได้เช่นเดียวกัน
ทั้งสองเปลี่ยนจากถูกบีบบังคับในตอนแรกเป็นยินยอมพร้อมใจในภายหลัง ความเปลี่ยนแปลงชัดเจนเสียจนทำให้คนจินตนาการไม่ออก
สิบโมงยี่สิบนาที ลู่เซิ่งออกจากสำนักงานใหญ่ของซากรุ๊ป ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอีกเขตของเมืองแพลตินัม
เมืองแพลตินัมเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหพันธรัฐ คนส่วนใหญ่ลืมชื่อเดิมของมันไปแล้ว เพราะใช้โรงเรียนแพลตินัมที่โด่งดังไปทั่วโลกเป็นสัญลักษณ์ จึงเรียกมันว่าเมืองแพลตินัม
เมืองทั้งเมืองแบ่งออกเป็นห้าเขตใหญ่ เขตที่โรงเรียนแพลตินัมอยู่เป็นย่านที่เจริญที่สุด ส่วนเขตเชอร์รี่เป็นย่านโสมมที่วุ่นวายที่สุดของเมืองแพลตินัม มีมาเฟียคุมถิ่น และเห็นการค้าประเวณี การพนัน และยาเสพติดได้ทั่วไป
ลู่เซิ่งก้าวเข้าเส้นแบ่งถนนที่เป็นสัญลักษณ์ของเขตเชอร์รี่ตามลำพัง ข้างทางมีป้ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ป้ายหนึ่งซึ่งวาดรูปเชอร์รี่สีแดงสดขนาดใหญ่ไว้พวงหนึ่ง ด้านล่างคือคำด่าหยาบคาย มีสัญลักษณ์แสดงท่าทางลามกอนาจารอีกมากมาย
ลู่เซิ่งเดินเข้าเขตถนน เห็นแอ่งน้ำสกปรกแอ่งเล็กๆ กับรอยเลือดสีดำที่แห้งกรังได้ทั่วพื้น
หมาจรจัดส่งเสียงเห่าอยู่รอบๆ ถังขยะ
ร้านค้าที่สกปรกบางแห่งเปิดอยู่ มีอยู่ไม่น้อยที่มีร่องรอยถูกทุบทำลาย
ลู่เซิ่งมองหาแก๊งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแพลตินัมที่มีชื่อว่ากำปั้นเหล็กตามความทรงจำของจัวหลิน
ขุมกำลังของกำปั้นเหล็กไม่ได้อยู่ที่เมืองแพลตินัมเท่านั้น สิบกว่าเมืองรอบๆ ล้วนเป็นถิ่นของพวกเขา แก๊งอื่นๆ ได้แต่ฝืนต่อลมหายใจภายใต้การสะกดของพวกเขาเท่านั้น
คิดจะหาสมาชิกของกำปั้นเหล็กให้เจอนั้นง่ายดายมาก สมาชิกหลักแทบทั้งหมดของพวกเขาต่างก็เพิ่มกล้ามแขนเพื่อสักสัญลักษณ์รูปกำปั้นที่กำแน่นไว้
……………………………………….