ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 581 รุ่งอรุณ (1)
บทที่ 581 รุ่งอรุณ (1)
“จนกระทั่งถึงปี 1133 แห่งสหพันธรัฐ คุณได้ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ดปีกับอีกหกเดือน ตอนนี้คุณเข้าคุกมาได้เกือบครึ่งศตวรรษแล้ว”
ลู่เซิ่งท่องประวัติในอดีตออกมาหน้าห้องขัง
บั๊คเงยหน้าขึ้นอย่างเฉยชา ดวงตาที่มืดครึ้มจ้องมองลู่เซิ่งอย่างสงบนิ่งเป็นพิเศษ
“เจ้าหนุ่ม ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ฉันแก่แล้ว ตอนนี้…เป็นแค่คนแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับดีดนิ้วเบาๆ
เป๊าะ
พัศดีสองคนที่อยู่ด้านหน้าเขาหยิบพวงกุญแจห้องขังขึ้นมาจากเอวทันที
เพียงแค่วิชาสะกดจิตง่ายๆ สำหรับจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ไพศาลของลู่เซิ่งแล้ว ต่อให้ไม่พึ่งพาดีปบลูและไม่ถอดวิญญาณออกจากร่าง ก็สามารถสะกดจิตคนธรรมดาผ่านท่วงท่าและคำพูดได้อย่างง่ายดายอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ใช้วิชาจิตบำบัดเพิ่มเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ดุร้ายขนาดไหน หรือเป็นคนที่มีจิตใจดีสักเพียงใด ล้วนเป็นคนป่วยค ขอแค่เป็นคนป่วย เขาก็โน้มนำได้ทั้งนั้น
“นี่คือวิชาสะกดจิตงั้นหรือ?!” บั๊คที่อยู่ในห้องขังพลันลืมตา เขาเป็นยอดฝีมือด้านสะกดจิตเช่นกัน เพียงแต่วิชาสะกดจิตที่น่ากลัวของลู่เซิ่งกลับอยู่เหนือจินตนาการของเขา
ไม่มีการเคลื่อนไหวที่จงใจใดๆ ไม่มีสัญลักษณ์การสะกดจิต เสียงเองก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่นกัน มีแค่เสียงดีดนิ้วเท่านั้น…
“ก็อย่างที่คุณเห็น นี่เป็นวิธีการบำบัดอย่างหนึ่ง เป้าหมายก็เพื่อโน้มนำให้ทุกคนปรับตัวเข้ากับตัวเองได้” ลู่เซิ่งแนะนำง่ายๆ
บั๊คมุมปากกระตุก ทักษะสังหารที่น่ากลัวแบบนี้ กลับถูกแนะนำเหมือนไม่สำคัญขนาดนี้
“เจ้าหนุ่ม เธอมาหาฉัน อยากจะทำอะไร ฉันเป็นคนใกล้ตาย ไม่คุ้มพอจะให้เธอเสี่ยงอันตรายมาถึงที่นี่หรอก” เขาถามตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม
“ผมต้องมีเป้าหมายอยู่แล้ว” ลู่เซิ่งยิ้ม “บั๊ค เฮนรี่ อยากจะออกจากคุกไหม”
ถึงบั๊คพอจะคาดเดาออกอยู่แล้ว แต่พอได้ยินประโยคนี้จริงๆ หัวใจเขาก็ยังเต้นกระหน่ำอยู่ดี
…
โอ้ว!
เสียงโห่ร้องโวยวายดังกระหึ่ม
แขนมากมายโบกไปมาเป็นกลุ่มๆ เหมือนกับต้นไม้ ทุกคนต่างกำลังตะโกนชื่อชื่อหนึ่ง
“กาเนอสัน! กาเนอสัน! กาเนอสัน!”
ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงมุมมืดของประตูห้องประชุม มองดูคนอ้วนตัวใหญ่ที่กำลังระดมหมัดใส่คู่ต่อสู้อยู่บนเวทีมวย
คู่ต่อสู้เป็นชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนที่สูงถึงสองเมตร หนักอย่างน้อยมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัม แต่ว่าหมัดนี้กลับส่งร่างของชายฉกรรจ์ให้ลอยขึ้น ก่อนจะล้มลงบนเวทีมวยและหมดลมหายใจไป
“ฉัน! กาเนอสัน! แข็งแกร่งที่สุด!” ผู้ชนะสวมหน้ากากเสือ ใส่เพียงแค่กางเกงขาสั้น ไขมันที่กว้างเกือบสองเมตรซ้อนทับเบียดอัดกันเหมือนกับคลื่นทะเลสีขาว เขาเหมือนกับภูเขาเนื้อยามยืนอยู่บนเวทีมวย
‘กาเนอสัน ภูเขาเนื้อแห่งความตาย แชมป์เปี้ยนสิบสามสมัยซ้อนของเวทีมวยใต้ดิน น่าเสียดาย…ที่ตอนนี้กำลังเผชิญกับโรคหัวใจร้ายแรง’
ลู่เซิ่งรอจนการแข่งขันจบลง จึงค่อยลุกขึ้นเดินไปด้านหลังเวทีมวยโดยไม่สนใจใคร
เขายืนรออยู่ที่หลังเวทีสักพัก จึงค่อยเดินไปยังห้องพักผ่อนของผู้เข้าแข่งขันในระเบียง
กาเนอสันที่เพิ่งแสดงศักดาเมื่อครู่ ตอนนี้หน้าซีดขาว ถูกคนเจ็ดแปดคนประคองพิงกับกำแพงในห้อง
“รีบกินยาเร็วเข้า!”
“เอาน้ำมา! เร็วๆ หน่อย!”
“สวรรค์ หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้นอีกแล้ว! พวกเราต้องรีบส่งเขาไปโรงพยาบาล!”
“ไม่ทันแล้ว! ระหว่างทางเขาทนไม่ไหวแน่!”
คนกลุ่มหนึ่งล้อมกาเนอสันที่เหมือนกับภูเขาลูกย่อมไว้ พร้อมกับเดินพล่านไปมา
ลู่เซิ่งมองดูกลุ่มคนที่ต้องการช่วยชีวิตกาเนอสันแต่กลับทำอะไรไม่ได้อย่างสงบ
เป๊าะ
เสียงดีดนิ้วดังขึ้น
การเคลื่อนไหวของทุกคนที่อยู่หลังเวทีหยุดนิ่งลงชั่วขณะ
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปมองดูกาเนอสันที่หน้าเขียวคล้ำและใกล้จะพูดอะไรไม่ออก
“อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไหม”
กาเนอสันลืมตาโตจ้องมองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้าเขม็ง ดวงตาฉายความปรารถนาต่อชีวิตออกมา
“ช่วย…ด้วย…!” เขาดิ้นรนพลางพูดออกมาสองคำ
“แน่นอน แต่มีเงื่อนไขนะ” ลู่เซิ่งยิ้ม
…
ในโถงใหญ่สีทองที่หรูหรา ตอนนี้พรมที่ตอนแรกงดงามเกลื่อนไปด้วยเลือดเนื้อ แขนขา และเศษกระดูก
สาวสวยที่แต่งหน้าอย่างงดงามคนหนึ่งถือเลื่อยไฟฟ้าไว้ในมือ เลื่อยยังคงปั่นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับส่งเสียงเสียดสีที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า
ศพสิบกว่าศพนอนระเกะระกะอยู่ด้านหน้าเธอ
การหั่นคนและเพลิดเพลินกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด รวมถึงความหวาดกลัวสารพัดรูปแบบยามเมื่อเผชิญความตายของพวกเขา เป็นงานอดิเรกที่มิสซิสเบเลย์โปรดปรานที่สุด
น่าเสียดายที่ตอนนี้งานอดิเรกที่เธอโปรดปรานที่สุดกลับถูกลูกชายสุดที่รักของเธอทำให้จบลงแล้ว
มิสซิสเบเลย์ก้มหน้าลงมองมีดสั้นที่แทงทะลุอกตนเองอย่างงุนงง คมมีดทะลวงผ่านชุดเกราะ แทงเข้าไปในหัวใจ เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายอันงดงามของตัวเองกำลังสูญเสียพลังชีวิตด้วยความเร็วสูง
“คุณแม่…ผม…จะไม่ยอมให้แม่ทำร้ายคนอื่นอีกแล้ว!” ด้านหลังมีเสียงร้องที่ดิ้นรนและเจ็บปวดของซีโร่ผู้เป็นลูกชายดังมา
“กลายเป็นเด็กดื้อไปซะแล้วเหรอ…ลูกแม่” มิสซิสเบเลย์สีหน้าสงบนิ่ง
“เมื่อก่อนลูกเป็นเหมือนแกะตัวน้อย เป็นดอกไม้ตูมที่ไม่มีพิษมีภัย…แต่ตอนนี้…ลูกกลับไม่เชื่อฟังแล้ว…”
“ผมโตแล้ว!” สวบ!
คมมีดถูกถอนออก ร่างกายอันงดงามของมิสซิสเบเลย์ค่อยๆ ล้มลงกับพื้นไปพร้อมชายกระโปรงสีแดง เลือดสดๆ ไหลไปตามร่างเธอก่อนตกลงพื้น
“ซีโร่รีบไปเร็ว! ที่นี่ใกล้จะระเบิดแล้ว!”
ขณะที่สติเลือนราง มิสซิสเบเลย์ได้ยินเสียงเด็กสาวที่นุ่มนวลเหมือนนกขมิ้นตะโกนขึ้น
เธอปกครองโลกใต้ดินของจังหวัดแองจีสมาหลายปี มาถึงวันนี้ ในที่สุดก็เดินมาถึงปลายทางแล้ว
ส่วนผู้ชนะกลับเป็นลูกชายของเธอเหมือนตลกร้าย
“คุณยอมแพ้แล้วหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเธอ
“ไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว” มิสซิสเบเลย์ตอบอย่างสงบ
“ผมให้ชีวิตใหม่คุณได้นะ อยากได้รึเปล่า” เสียงนั้นเอ่ยต่อ
“ค่าตอบแทนล่ะ” มิสซิสเบเลย์ถือว่าเสียงนี้เป็นเสียงพึมพำของมารร้าย ในใจจึงสงบกว่าเดิม
เธอไม่กลัวความตาย ไม่ว่าจะเป็นของคนอื่นหรือของตนเอง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมตายแบบนี้ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เหมือนกับคนหลายพันคนที่เธอฆ่าเป็นงานอดิเรกมาหลายปี พวกเขาแต่ละคนล้วนมีความปรารถนาที่อยากจะบรรลุให้ได้
ต่างกันตรงที่ความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังทำให้ระดับที่ความปรารถนาจะกลายเป็นจริงได้มีไม่เท่ากัน
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้ามิสซิสเบเลย์ สุดยอดผู้แข็งแกร่งที่ปกครองจังหวัดแองจีสมาสิบกว่าปี คนนี้เป็นปรมาจารย์ด้านชุดเกราะดับรอยจันทราที่ซึ่งสหพันธรัฐยอมรับและในประวัติศาสตร์มีแค่สิบสามคนเท่านั้น
แล้วก็เป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดด้วย
ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะได้ข่าวมาจากคนอ้วนกาเนอสัน เขาคงจะวางแผนการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ไม่ได้จริงๆ
การที่รับมิสซิสเบเลย์เข้าเป็นพวกสำเร็จในตอนสุดท้ายได้ ความจริงมีปัจจัยทางโชคในระดับหนึ่ง
‘แต่ยังดีที่ผลลัพธ์สมบูรณ์แบบ’ ลู่เซิ่งยิ้มพร้อมกับยื่นมือไปวางลงบนท้องน้อยที่อ่อนนุ่มและเซ็กซี่ของมิสซิสเบเลย์ แล้วส่งแก่นหยางเข้าไปเพื่อเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บบนร่างเธอ
…
ในเวลาหนึ่งเดือน ลู่เซิ่งโดยสารเครื่องบินไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ในสหพันธรัฐ และได้ตัวคนแข็งแกร่งที่จะช่วยให้เขาสะสางผลกรรมได้ดีที่สุดมาเจ็ดคนสำเร็จ
มิสซิสเบเลย์เป็นแค่หนึ่งในนี้เท่านั้น
ในหมู่พวกเขามีคนโรคจิตชอบฆ่าคน มีคนบ้าเป็นโรคประสาท มีหัวหน้าทหารรับจ้างที่เหี้ยมโหด แต่ที่มีเยอะที่สุดคือพวกผู้ร้ายประกาศจับระดับประเทศซึ่งทั้งดุร้ายและเหี้ยมเกรียม พวกผู้ร้ายที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เพราะสร้างคดีสะเทือนขวัญมามากมายเหล่านี้ ไม่ว่าโผล่ที่ไหน ก็กลายเป็นเรื่องสำคัญที่สั่นสะเทือนสหพันธรัฐได้ทั้งนั้น
แต่ว่าภายใต้วิชาสะกดจิตของลู่เซิ่ง พวกเขากลับกลายเป็นคนใต้อาณัตโดยไม่มีข้อยกเว้น
และขุมกำลังใหญ่ๆ เบื้องหลังพวกเขาก็กลายเป็นขุมกำลังที่ลู่เซิ่งใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน
พวกเขาเหล่านี้มีเป้าหมายแตกต่างกันไป แต่ว่าพวกเขาต่างมีความปรารถนาร่วมกัน นั่นก็คือสิ่งที่จะได้รับจากลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งได้รับรายละเอียดข้อมูลส่วนหนึ่งเกี่ยวกับม่านเหล็กจากในมือของพวกเขา
องค์กรมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดของสหพันธรัฐ ในที่สุดก็เผยมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งออกมาจากบันทึกร่องรอยต่างๆ แล้ว
จากนั้นลู่เซิ่งก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่า ฐานสำคัญของม่านเหล็กที่อยู่ใกล้ที่สุดย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ย้อนกลับไปยังด้านในโรงเรียนแพลตินัมของเมืองแพลตินัม
ที่นั่นคล้ายกับมีการแข่งขันในที่ลับที่ไม่อาจจินตนาการและไม่อาจบรรยายดำเนินอยู่
ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังของตระกูลไป๋ ขุมกำลังของรัฐบาล ขุมกำลังของโรงเรียน หรือม่านเหล็ก ต่างก็กำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความลับที่สร้างความงุนงงให้แก่ผู้คนอยู่
มือดีของตระกูลไป๋และม่านเหล็กรวมตัวที่โรงเรียนเพื่อเข่นฆ่าแก่งแย่งกันแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ ลู่เซิ่งตัดสินใจรวบรวมขุมกำลังทั้งหมดเพื่อกำจัดม่านเหล็กและสะสางผลกรรมให้เร็วที่สุด
…
เมืองแพลตินัม
‘โลกใบนี้ ควรปิดฉากได้สักที’ ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนแพลตินัม เขาเปลี่ยนมาสวมใส่เครื่องแบบนักเรียนแล้ว
อวี๋ชาที่อยู่ด้านข้างเป็นห่วงและหวาดกลัวอยู่บ้าง ในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เธอติดตามลู่เซิ่งเดินทางไปยังสถานที่หลายแห่ง แต่คนที่ได้พบแต่ละคนเหมือนจะไม่ใช่คนดี
“หลินหลิน พวกเราครั้งนี้กลับมาแล้ว ไม่ต้องไปไหนอีกแล้วจะได้ไหม” เธอวิงวอนเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานก็จะเรียบร้อยแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มพลางปลอบเธอ “สิ่งที่ควรเตรียมได้เตรียมไว้หมดแล้ว”
“ฉันสังหรณ์ใจไม่ดีเลย” อวี๋ชาก้มหน้าและเอ่ยเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงน่า มีฉันทั้งคน” ลู่เซิ่งจับมือของเธอแน่นพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าโรงเรียน
ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม บัตรนักเรียนของเขาสามารถพาญาติคนหนึ่งมาด้วยได้ หลังจากลงทะเบียนเสร็จ อวี๋ชาก็ตามเขาเข้าโรงเรียน
ทั้งสองคนเดินไปยังหอพัก
ไม่ได้กลับโรงเรียนมาหนึ่งเดือน ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศในโรงเรียนมีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่เป็นไร เป้าหมายของเขาคือการจัดการม่านเหล็ก ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรล้วนไม่สำคัญ
ม่านเหล็กเป็นปมที่ใหญ่ที่สุดในใจของจัวหลิน
ทั้งสองเดินเข้าหอพัก แล้วเจอนักเรียนหญิงที่สวมเสื้อโค้ทสีเทาคนหนึ่งพอดี
“เฮ้” อีกฝ่ายเข้ามาทักทายลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งก็ยิ้มให้แก่อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรเช่นกัน
เขาจำนักเรียนหญิงคนนี้ได้ เฉวียนสือฮุย นักเรียนหญิงที่ได้เจอในลิฟท์ของคืนนั้น เป็นนักเรียนที่ลึกลับและแข็งแกร่งมาก
“แฟนของนายเหรอ” เฉวียนสือฮุยดูเหมือนพูดอย่างเป็นมิตร แต่พอดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอมองไปยังอวี๋ชา กลับทำให้อวี๋ชาจิตใจเย็นเยียบอย่างบรรยายไม่ถูก จนต้องเข้าใกล้ลู่เซิ่งมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
“ใช่แล้ว ฉันชอบเธอมาก เธอก็รักฉันมากเหมือนกัน” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างอ่อนโยน
“ดีจริงๆ” เฉวียนสือฮุยเลิกคิ้วก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าครั้งหน้าจะได้เจอกันอีกนะ” เธอเดินเฉียดผ่านเข้าไปในลิฟท์ มือล้วงกระเป๋าเสื้อและเงยหน้าพิงผนังเหมือนกับที่เจอในครั้งก่อน
ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลง จากนั้นระเบียงอีกด้านก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาทันที
เถียถ่ากับชายสวมแว่นอีกคนเดินลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าซีดขาว
……………………………………….