ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 582 รุ่งอรุณ (2)
บทที่ 582 รุ่งอรุณ (2)
เถียถ่าจำลู่เซิ่งได้ทันที ดวงตาฉายแววไม่เข้าใจ จากนั้นความกระวนกระวายก็เข้ามาแทนที่
แต่เขายังไม่ทันเอ่ยปาก ชายสวมแว่นอีกคนที่อยู่ด้านข้างกลับชิงถามอย่างรีบร้อนขึ้นก่อน
“พวกคุณเห็นผู้หญิงอายุน้อยที่สวมเสื้อโค้ทสีเทาไหม”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“เห็น เธอเข้าไปในลิฟท์แล้ว”
“บ้าเอ้ย! รีบตามไปเถอะ!” ชายสวมแว่นฉุดดึงเถียถ่าพุ่งเข้าลิฟท์
“พอเถอะอิสตัน นายตามไปแล้วจะทำอะไรได้” เถียถ่ารั้งตัวชายสวมแว่นไว้พลางกล่าวเสียงดัง “พวกเราไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นคนทำ! โรงเรียนไม่มีทางสนใจหรอก”
“ฉันรู้อยู่แล้ว แค่…” อิสตันกุมหัวด้วยดวงตาโกรธแค้น คล้ายกับโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
“นังนั่นเป็นคนของม่านเหล็ก! ต่อให้พวกเราไล่ตามไป ถึงจะลงมือจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเธอ!” เถียถ่าเกลี้ยกล่อมเสียงดัง
“แต่ไน่ลี่ตายไปแล้วนะ!” อิสตันอดร้องเสียงแหลมไม่ได้
เถียถ่าพลันเงียบเสียง
ลู่เซิ่งไม่สนใจละครสุดรันทดของพวกเขา หากแต่พาอวี๋ชาไปกดลิฟท์อย่างไม่ยี่หระ ลิฟท์หยุดที่ชั้นหนึ่งใต้ดินสักพัก ก่อนจะขึ้นกลับมายังชั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว
ประตูค่อยๆ เปิดออกมา จากนั้นลู่เซิ่งก็พาอวี๋ชาเดินเข้าไป ช่วงปิดเทอมในหอพักแทบจะไม่มีคน การที่เจอคนสามคนได้เมื่อครู่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ลู่เซิ่งพาอวี๋ชากลับห้องตัวเอง ก่อนจะใช้เครื่องแจ้งข่าวในห้องส่งข้อมูลไปด้านนอก
ในช่วงปิดทอม โรงเรียนไม่มีการเรียนการสอน ลู่เซิ่งกับอวี๋ชาพักผ่อนในห้องและดื่มชาจนกระทั่งถึงพลบค่ำ จึงค่อยเริ่มแผนการที่แท้จริงของการกลับมาในครั้งนี้อย่างเป็นทางการ
“รอฉันอยู่ที่นี่นะ” ลู่เซิ่งลูบผมยาวของอวี๋ชาพลางเอ่ยเบาๆ “ฉันจะออกไปทำธุระ สักพักก็กลับมาแล้ว อย่าเพ่นพ่านล่ะ ที่นี่เป็นโรงเรียน ถือว่าปลอดภัยกว่าด้านนอก”
อวี๋ชาพยักหน้า “ฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน”
ลู่เซิ่งชอบเด็กสาวที่เชื่อฟังแบบนี้ อีกฝ่ายรักจัวหลินจากใจจริง ทำให้เขานึกถึงความผูกพันอันเรียบง่ายในอดีตตอนอยู่กับเฉินอวิ๋นซี
หลังจากหาที่อยู่ให้อวี๋ชาเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็ออกจากหอพักตามลำพัง
เขาใช้การอำพรางในยามพลบคล่ำมาถึงตึกทดลองที่อยู่ด้านข้างหอพัก และเจอโถงประชุมใหญ่ที่โล่งกว้างบนชั้นสามของตึก
แกร๊ก
ลู่เซิ่งผลักประตูโถงประชุมพลางหาที่นั่งเพื่อนั่งลง จากนั้นก็หยิบเครื่องมือส่งข่าวขนาดเท่ากล่องไม้ขีดไฟออกมาจากในกระเป๋ากางเกง
เขากดปุ่มเครื่องส่งข่าว ไฟสีแดงบนตัวเครื่องที่กะพริบอยู่พลันสว่างขึ้น
เขาโยนเครื่องส่งข่าวไปบนโต๊ะกระจกตัวยาว ก่อนจะนอนหงายลงบนเก้าอี้หนังพร้อมกับรอคอยอย่างสงบ
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ ประตูของโถงประชุมค่อยๆ ถูกผลักเปิด ชายฉกรรจ์หัวล้านที่สักสัญลักษณ์สีเขียวปริศนาไว้บนหน้าก้มศีรษะเดินเข้ามาในโถงประชุม
“มันโด จัดการเรียบร้อยหรือยัง” ลู่เซิ่งส่งเสียงถามทันที
“ทั้งหมดเจ็ดสิบหกคน เกราะขุนพลสี่ชุด ฉันถลกหนังพวกมันเรียบร้อยแล้ว มีวัสดุสำหรับทำโคมไฟแล้วด้วย อยากจะดูไหม” ชายฉกรรจ์มองลู่เซิ่งแวบหนึ่งพลางตอบเสียงแหบ
“คุณจัดการเองเถอะ ผมไม่สนใจเรื่องนี้” ลู่เซิ่งตอบอย่างไม่นำพา
“ตกลง”
มันโดหาที่นั่งเพื่อนั่งลงเอง จากนั้นก็หลับตาทำสมาธิ
ไม่นานนัก ผู้ชายที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกเผาจนเสียหาย และเหน็บมีดบินสีหม่นไว้บนตัวหลายแถว ก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในโถง
“แกนี่เอง! ฮาล์ฟเฟซ!?”
แวบแรกที่เห็นคนคนนี้ มันโดก็ขนลุกขนพองไปทั้งร่าง เกือบจะทะลึ่งลุกขึ้นจากที่นั่ง
“มันโด ไม่เจอกันนาน เพื่อนเก่าจากกัน นายทำกับเพื่อนสนิทในอดีตแบบนี้เหรอ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ…” ฮาล์ฟเฟซเอ่ยเสียงแหบ สายตาจ้องมองมันโดที่มีร่างสูงใหญ่เช่นกัน
“แก..กินน้องชายฉันไป ยังกล้ามาเสนอหน้าต่อหน้าฉันอีก!” มันโดจับด้ามมีดด้านหลัง เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนด้วยความเร็วสูง
“น้องชายแกมันขวางทางแกอยู่เรื่อย ฉันก็แค่ช่วยแกแก้ปัญหาเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ แกควรจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ ถึงเนื้อของมันจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหรก็เถอะ” ฮาล์ฟเฟซตอบสัพยอก
“รอหลังจากจบเรื่อง ฉันจะหักแขนหักขาแก แล้วค่อยๆ ถลกหนังแกไปแขวนไว้บนจุดสูงสุดของที่นี่!” มันโดทำหน้าเหี้ยมและเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุร้ายขณะจ้องมองฮาล์ฟเฟซ
อีกฝ่ายไม่สนใจแม้แต่น้อย
ขณะที่ทั้งสองคุมเชิงกันอยู่ ก็มีคนอีกคนเดินมาถึงด้านหลังฮาล์ฟเฟซ
“พ่อหนุ่ม ขวางทางไม่ให้คนเข้าออกไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไหร่นะ” เสียงของผู้มาราบเรียบและแก่ชรา ฟังดูเหมือนกับศาสตราจารย์ที่กำลังเดินเล่นอย่างเอ้อระเหย
แต่พริบตาที่ฮาล์ฟเฟซได้ยินเสียง เขากลับหยีสองตา ก่อนจะเข้าไปในห้องโถงเพื่อหลีกทางให้พร้อมกับหันไปมอง
คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นชายชราผมขาวที่ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่สิ่งทำให้คนขนลุกก็คือ ศีรษะกับตัวของชายชราเหมือนกับมีความบิดเบี้ยวไม่สมดุลอยู่ด้วย
เหมือนกับร่างกายนี้ไม่ใช่ของตัวเอง ฮาล์ฟเฟซยืนยันจุดนี้ได้จากผิวที่เนียนละเอียดและเต่งตึงจากร่างกายของอีกฝ่าย
“เคลเลอร์ ฟาน…นึกไมถึงว่าคุณจะมาด้วยเหมือนกัน…” เขาข่มความกริ่งเกรงในใจไว้ แล้วรีบเปิดทางเพื่อไม่ให้ขวางทางของอีกฝ่าย
“ร่างกายนี้เพิ่งจะเปลี่ยนมาไม่นาน เลยไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ เป็นคนหนุ่มมีกำลังวังชาที่ได้เจอระหว่างทางโดยบังเอิญน่ะ พอดีอดใจไม่ไหว ช่างขายหน้าจริงๆ” ชายชราเอ่ยเสียงทุ้ม
“พอเห็นร่างกายที่หนุ่มแน่นของพวกเธอ ฉันก็มักจะคิดว่า ถ้าหากสวรรค์ให้เวลากับฉันสักยี่สิบปีจะดีขนาดไหนนะ ส่วนตอนนี้ โอกาสได้มาวางอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว…”
เขาพูดพลางเดินเข้าโถงประชุม ดูเหมือนกับชายชราอ่อนโยนธรรมดาทั่วไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นฮาล์ฟเฟซหรือมันโด ต่างก็ระวังคนผู้นี้ถึงขีดสุด
“ยินดีต้อนรับด็อกเตอร์เคลเลอร์ ทักษะการผ่าตัดเส้นประสาทที่แสนจะแม่นยำของคุณทำให้ผมได้เปิดโลกทีเดียว สมกับเป็นปรมาจารย์ด้านประสาทที่เก่งที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมาของสหพันธรัฐ” ลู่เซิ่งที่นั่งบนที่นั่งเอ่ยปาก
ชายชรายิ้มและโค้งตัวให้ลู่เซิ่งเพื่อทำความเคารพ ก่อนจะหาที่นั่งเพื่อนั่งลงเหมือนกัน
“ทุกคนรอสักครู่ ยังมีสมาชิกอีกหลายคนที่ยังมาไม่ถึง การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการพบปะกันอย่างเรียบง่ายเป็นครั้งแรกของพวกเราทุกคน ต้องให้สมาชิกทุกคนมาถึงให้ครบก่อน” ลู่เซิ่งปลอบทั้งสามคนด้วยรอยยิ้ม
…
ด้านนอกประตูโรงเรียนแพลตินัม
นักท่องราตรีผู้มีผมสีทองและสีหน้าอ่อนล้ากำลังนวดหนังตา
‘ในที่สุดก็กลับมาสักที! ไอ้เด็กนั้นไม่อยู่โรงเรียนมาตั้งหนึ่งเดือน ก็เลยทำภารกิจไม่ได้’
หลังจากเขารับภารกิจลอบสังหารมา ก็รออยู่ใกล้ๆ เพื่อหาโอกาสสังหารลู่เซิ่งโดยไม่ให้เหลือร่องรอยเอาไว้มาโดยตลอด
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ ลู่เซิ่งหายตัวไปก่อนการสอบใหญ่ หายตัวไปจากโรงเรียนโดยสมบูรณ์
เพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ เขาได้รอคอยอย่างยากลำบากอยู่นอกโรงเรียนมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ เพื่อรอให้ลู่เซิ่งกลับมาใหม่
และตอนนี้ สายตาของเขากำลังบอกตัวเองว่า ในที่สุดอีกฝ่ายก็กลับมาแล้ว
‘หลังจากทำภารกิจนี้เสร็จ ฉันจะกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด มินนี่รอฉันมานานแล้ว’ นักท่องราตรีบีบปืนยิงเข็มพิษที่เหน็บไว้ที่เอวด้านหลังเบาๆ
“จงอย่าประมาท” เสียงทรงพลังดังขึ้นด้านหลังเขา “รางวัลของภารกิจนี้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน อธิบายได้ว่าเป้าหมายของนายฆ่ายาก”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับท่านที่ปรึกษา ไม่ว่าคนคนนี้จะเป็นอย่างไร ความจริงเขามีจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิตมาโดยตลอด” นักท่องราตรีโคลงศีรษะและกล่าวอย่างเกียจคร้าน
“โคเฮนแห่งม่านเหล็กเหรอ เหอะๆ” ดวงตาเขาฉายแววเยาะเย้ย
“ไปเถอะ อย่าประมาท พวกเรายันให้นายได้แค่สิบนาทีเท่านั้น นานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว” เสียงทรงพลังกล่าวอย่างเรียบง่าย ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เข้าใจแล้ว”
…
เพล้ง!
หน้าต่างแตกอย่างกะทันหัน เงาร่างล่ำสันสายหนึ่งพุ่งเข้ามากลางระเบียงอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น
“ที่นี่นี่เอง” หลังตรวจสอบตำแหน่ง นักท่องราตรีก็ค่อยๆ มาถึงหน้าหอพักนักเรียนแห่งหนึ่ง หอพักที่ว่างเปล่าทำให้งานของเขาง่าย
“มาอีกคนหนึ่งแล้ว” ขณะที่เขาเตรียมลงมือ เสียงที่ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเท่าไหร่ก็ดังมาจากด้านข้าง
นักท่องราตรีตกใจ หันไปดู มีเงาคนสวมเสื้อคลุมสีเทาสองสายยืนอยู่ในเงามืดที่อยู่ไกลออกไป
สัญลักษณ์บนตัวพวกเขาทำให้เขาไม่อาจมองข้ามการดำรงอยู่ของคนทั้งสองได้ง่ายๆ
“คนของม่านเหล็ก…”
“สมาคมนักฆ่าหรือ” ต่างฝ่ายต่างจำกันได้
“ยังมีอีก”
อีกด้านหนึ่งมีหญิงวัยกลางคนร่างกำยำที่สวมโค้ทหนังสีดำค่อยๆ เดินขึ้นมาจากชั้นล่าง เธอควงมีดคมกริบที่เป็นประกายสีเงินในมือเล่น
“ทูตสวรรค์ทมิฬ…แม้แต่คนของพวกคุณก็มากันแล้ว…” คนของม่านเหล็กกับนักท่องราตรีจิตใจเย็นเยียบ ทูตสวรรค์ทมิฬเป็นองค์กรลึกลับที่ไม่ขึ้นกับใครในสมาคมนักฆ่า
สมาชิกแทบทุกคนเป็นสุดยอดนักฆ่าในระดับเกราะขุนพล หรือก็คือระดับที่ปรึกษาในสมาคมนักฆ่า
“นี่ไม่ใช่คำถามที่พวกคุณควรถาม สิ่งสำคัญก็คือ คนที่อยู่ด้านในเป็นของใคร” หญิงสาวจากทูตสวรรค์ทมิฬเอ่ยเสียงทุ้ม
“ของใครหรือ ใครมีความสามารถคนนั้นก็ได้ไป” ทูตสวรรค์ทมิฬพุ่งไปทางประตูหอพัก
ตัวดาบสาดแสงสีเงิน ตัดกลอนประตูได้อย่างง่ายดาย
สองฝ่ายที่เหลือไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ บนร่างปรากฏแสงจากชุดเกราะ ก่อนจะพุ่งใส่ทูตสวรรค์ทมิฬพร้อมกัน
ซู่ว…
ท่ามกลางความมืดมิดด้านในห้อง ร่างมหึมาของกาเนอสันแทบจะยึดครองพื้นที่มากกว่าครึ่งของห้องไว้ทั้งหมด
เขาที่สวมเกราะสีดำหัวกระทิงนั่งอยู่หน้าประตูอย่างสงบ
หลังจากกลอนประตูถูกฟันเป็นช่อง แสงไฟที่สาดเข้ามาจากระเบียงด้านนอกก็ส่องสว่างชุดเกราะสีดำสนิทของพวกเขา
ประกายเลือดสองสายค่อยๆ สว่างขึ้นบนหมวกเกราะของเขา
…
โถงประชุม
ทุกคนที่อยู่รอบๆ เป็นฆาตกรที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หากเอาจำนวนคนที่พวกเขาฆ่ามารวมกันจะเยอะยิ่งกว่านักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้เสียอีก
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมในครั้งนี้ ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ครอบครองเกราะจักรพรรดิ
เกราะทหาร เกราะขุนพล เกราะจักรพรรดิ ในฐานะตัวตนระดับสูงสุด เกราะจักรพรรดิทุกชิ้นแทบเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำซ้ำได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เกราะจักรพรรดิทุกชุดซ่อมแซมตัวเองได้
แน่นอนว่าการที่พวกเขาอาละวาดในสหพันธรัฐมาหลายปีได้ ความมั่นใจที่แท้จริงไม่ใช่แค่พึ่งเกราะจักรพรรดิเท่านั้น กระทั่งชุดเกราะของพวกเขาก็เป็นชุดเกราะที่โดดเด่นท่ามกลางเกราะจักรพรรดิด้วยเช่นกัน
“หัวข้อหลักของการประชุมครั้งนี้คืออะไร บอกกันก่อนได้ไหม” ดอกเตอร์เคลเลอร์เอ่ยถาม
ลู่เซิ่งยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ง่ายดายมาก โรงเรียนที่อยู่ข้างใต้ของพวกเราจะเป็นเครื่องสังเวยให้กับวันแรกของการก่อตั้งองค์กรอย่างเป็นทางการของพวกเรา เพื่อแสดงการดำรงอยู่ของพวกเราให้โลกได้เห็น”
“ทำลายโรงเรียนแพลตินัมหรือ” ต่อให้เป็นพวกเคลเลอร์ ตอนนี้ก็อดงุนงงเพราะความกล้าหาญเทียมฟ้าของลู่เซิ่งไม่ได้
“ไม่ เมืองแพลตินัมทั้งเมืองต่างหากล่ะ” ลู่เซิ่งแก้คำพูด “ตอนที่ออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ผมต้องการให้เมืองเมืองนี้เหลือแค่เสียงเดียวเท่านั้น”
เขาวางมือลงบนผิวโต๊ะอย่างช้าๆ และใช้สายตาแหลมคมกวาดมองทุกคน
“เกราะจักรพรรดิทั้งเจ็ดร่วมมือ พวกเราจะสร้างยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยที่เป็นของพวกเราเท่านั้น!”
“ไม่มีใครขวางพวกเราได้ เหมือนกับไม่มีใครขวางไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นได้”
……………………………………….