ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 588 ผลลัพธ์ (2)
บทที่ 588 ผลลัพธ์ (2)
ทว่าก็ไร้ประโยชน์ แนวปิดกั้นถูกเจาะในวันที่สองทันที พลโทเอเกนลิต้าที่รับผิดชอบการปิดกั้นถูกสังหาร ขณะเดียวกันคนมากกว่าสองพันคนที่อยู่รอบๆ ก็บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนเหมือนกัน
จากนั้นสหพันธรัฐ ก็ได้สั่งการให้กองพลยานเกราะมุ่งหน้าไปยังเมืองแพลตินัมทันที
แต่ไม่รอให้พวกเขาเข้าใกล้ ก็ถูกทีมพิเศษที่องค์กรเซเว่นลีฟส่งออกมาโจมตีจนแตกพ่ายเช่นกัน
แต่ละทีมล้วนมีเกราะจักรพรรดิเป็นผู้นำ จึงมีพลังแข็งแกร่งเหี้ยมหาญ กระสุนปืนใหญ่ของรถหุ้มเกราะที่เทอะทะไม่สามารถตามความเร็วของพวกเขาทัน
หลังจากที่เกิดการสู้รบขนาดต่างๆ เป็นเวลาสิบกว่าวัน สหพันธรัฐ ก็สูญเสียกองพลไปทั้งหมดห้ากองพล กำลังทหารที่ใกล้เคียงกับกองทัพกองหนึ่งเสียคนไปมากกว่าสองหมื่นคน
เนื่องจากสูญเสียอำนาจของชาติอย่างเจ็บปวด ในที่สุดสหพันธรัฐอัลเลนก็ยอมรับความจริงและส่งทูตไปเจรจากับลู่เซิ่ง จนบรรลุข้อตกลงสามสิบเก้าข้อที่น่าเหลือเชื่อที่สุดตั้งแต่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
โดยบรรลุข้อตกลงพิเศษที่เมืองแพลตินัมจะตั้งตัวเป็นประเทศ และเฉือนแบ่งนครระดับจังหวัดสามแห่งรวมถึงเมืองระดับมณฑลเก้าแห่งที่อยู่รอบๆ ขณะเดียวกันยังมีการแลกเปลี่ยนสิทธิ์การลงมือที่มีจำนวนจำกัดขององค์กรเซเว่นลีฟแบบมีเงื่อนไขด้วย
โดยเซเว่นลีฟจะออกศึกแทนสหพันธรัฐ ได้สามครั้งภายใต้เงื่อนไขที่ถูกตั้งขึ้นเป็นพิเศษ
สิ่งตอบแทนก็คือ สหพันธรัฐ จะยอมรับตำแหน่งพิเศษของเมืองแพลตินัม และปลดการปิดกั้นทางเศรษฐกิจ รวมถึงชดเชยค่าปฏิกรรมสงครามสิบล้านเทอคอยน์ให้แก่เมืองแพลตินัม
ลู่เซิ่งมีพลังส่วนตัวน่าตื่นตระหนกเกินไป เขาได้แอบเข้าไปยังโถงประชุมสูงสุดของสหพันธรัฐ หลายครั้งในระหว่างช่วงเจรจา ประธานที่ประชุมกับสมาชิผู้แทนคนอื่นๆ ที่เป็นคนธรรมดาไม่อาจต้านทานวิชาจิตบำบัดของเขาได้โดยสิ้นเชิง
ดังนั้นบทสรุปที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์จึงปรากฏขึ้นภายใต้ความตั้งใจของเขา
คือการที่สหพันธรัฐ พ่ายแพ้ในการทำศึกกับเมืองเมืองเดียว มิหนำซ้ำยังยอมจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามอีก
หลังจากลู่เซิ่งจัดการการตั้งตัวเป็นอิสระของเมืองแพลตินัมเสร็จ ก็ได้ใช้เวลาครึ่งเดือนก่อตั้งที่นี่เป็นเมืองหลวงของอาชญากร หรือสวรรค์แห่งความชั่วร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทว่าอาชญากรที่มาที่นี่จะต้องรักษากฎที่เขากำหนดขึ้นทุกคน ผู้ฝ่าฝืน ขอแค่สถานการณ์มีความรุนแรงเล็กน้อย ก็จะถูกสังหารทันที
องค์กรเซเว่นลีฟสร้างหน่วยคุมกฎขึ้น แล้วให้บั๊ครับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่คุมกฎด้วยตัวเอง ผู้ที่ไม่ยอมทำตามจะโดนจับมัดและถูกส่งไปยังโต๊ะอาหารของเขา
หากฝ่าฝืนกฎหนึ่งครั้ง จะถูกบั๊คกับพวกมารร้ายภายใต้สังกัดของเขาเลือกส่วนหนึ่งของร่างกายมากิน
พอกฎที่โหดเหี้ยมจนน่ากลัวนี้ถูกประกาศออกไป ก็สร้างความโกลาหลปั่นป่วนทันที ถึงแม้จะไม่มีหลักมนุษยธรรม แต่กลับได้ผลไม่เลว
อัตราการก่ออาชญากรรมในเมืองแพลตินัมลดลงถึงเกณฑ์ที่น่ากลัว
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย และเซเว่นลีฟสามารถดำเนินการทุกอย่างนี้ได้ด้วยตัวเอง ลู่เซิ่งจึงค่อยมีเวลาเริ่มจัดการเรื่องของอวี๋ชา
…
เมืองแพลตินัม
ลู่เซิ่งยืนอยู่ใต้เงาขนาดมหึมาของราชาแห่งความโศกศัลย์ เงยหน้ามองชุดเกราะยักษ์ที่เขาใช้ความพยายามไม่น้อยสร้างขึ้น
อวี่ชายืนอยู่ไม่ไกลออกไป สีหน้าหม่นหมองและจนปัญญาอยู่บ้าง
“ชาชา เธอรู้ไหมว่าฉันเรียกเธอมาทำไม” ลู่เซิ่งเบือนสายตากลับมามองอวี๋ชาที่อยู่ไม่ไกลออกไป
“…เธอจะไล่ฉันไปใช่ไหม” อวี๋ชากล่าวอย่างยากลำบากอยู่บ้าง
เธอรู้ว่าด้วยตำแหน่งและสถานะของจัวหลินในตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางต้องตาเด็กสาวธรรมดาๆ อย่างตนอีก
เพียงแต่เธอยังไม่ยอมแพ้ ยังอยากลองดูอีกสักหน่อย
“ฉันจะมอบทรัพย์สินที่มากพอให้เธอใช้จ่ายได้ครึ่งชีวิต” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “เธอหาสถานที่สักแห่งแล้วจากไปอย่างไม่ต้องกังวลเถอะ ฉันไม่อยากให้ข่าวในวันพรุ่งนี้ลงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
อวี๋ชาหลับตา ถึงจะนึกถึงความเป็นไปได้นี้ไว้แล้ว แต่ตอนที่เกิดขึ้นจริงๆ เธอก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี
เธอมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ข้างใต้ชุดเกราะยักษ์ แล้วน้ำตาก็หลั่งออกมาโดยที่อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
“ชาชา…มองตาฉัน…” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็เอ่ยเบาๆ
อวี๋ชาถูกเสียงของเขาดึงดูดอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะค้นพบอย่างงุนงงว่าดวงตาของเขาดึงดูดดวงตาของเธอจนไม่อาจถอนสายตากลับมาได้ดุจแม่เหล็ก
ความทรงจำปลอมมากมายผสมเข้ากับความทรงจำจริงในห้วงสมองของเธอ การดำรงอยู่ของจัวหลินค่อยๆ ถูกลบเลือน สิ่งที่มาแทนที่คือ อวี๋ชาไม่ได้ทำงานใกล้ๆ โรงเรียนแพลตินัมเพื่อคนอื่น แต่เธออยากจะเข้าเรียนเอง ก็เลยเลือกอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เธอชื่นชม
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยอยู่ร่วมกับจัวหลินสลายไปเพราะถูกจิตใจโน้มนำอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปเกือบสิบนาที ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ หลับตา
ตึง
อวี๋ชาล้มลงบนพื้น แต่ก็ถูกหนวดจักรกลอีกเส้นหนึ่งประคองเอาไว้ทันที
เธอหลับตาแน่น ลู่เซิ่งได้ใช้วิชาจิตบำบัดฝังความทรงจำปลอมเข้าไปในตัวเธอแล้ว
ภาพของจัวหลินค่อยๆ จางหายไป เธอจะฉวยโอกาสจากไปในตอนที่ยังไม่มีการประกาศใหญ่
การอยู่ร่วมกับหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่น่ากลัวแบบเขาไม่ใช่เรื่องดีสำหรับอวี๋ชา
“พาเธอไปซะ” ลู่เซิ่งสั่ง
ผู้หญิงสวมสูทดำสองคนที่อยู่ไม่ไกลเข้ามาประคองอวี๋ชาออกไป
สำหรับอวี๋ชา เธอจะปิดบังตัวตนและไปยังประเทศอื่นในฐานะผู้หญิงที่ถูกลู่เซิ่งทิ้ง
การทำเช่นนี้จะเป็นการกระจายข่าวต่อโลกภายนอกว่า อวี๋ชาไม่ได้ยึดครองตำแหน่งสำคัญส่วนหนึ่งในใจจัวหลินอีกแล้ว
นี่เป็นการปกป้องเธออย่างหนึ่ง
ลู่เซิ่งใช้สายตาส่งอวี๋ชาจากไป แล้วออกคำสั่งติดต่อกัน ต่อจากนี้คนของประเทศแพลตินัมจะคอยดูแลเธอทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
‘ต่อจากนี้ควรจะจัดการที่พักพิงในอนาคตของเซเว่นลีฟได้แล้ว’ ลู่เซิ่งหยิบโทรศัพท์ออกมา ของสิ่งนี้เพิ่งถูกคิดค้นขึ้นบนโลกใบนี้ เพียงแต่มีราคาแพงหูฉี่ แต่ก็ทำให้คนส่วนหนึ่งได้บอกลายุคสมัยของโทรศัพท์มีสายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
“ให้สมาชิกทุกคนมาพบฉัน”
ก่อนจะไป ลู่เซิ่งจะต้องรับประกันว่าขุมกำลังที่ตนสร้างขึ้นจะไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะการจากไปของเขา
สำหรับเมืองแพลตินัม ปัจจัยสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในการรักษาราชาแห่งความโศกศัลย์ก็คือพลังผสานที่น่ากลัวถึงขีดสุดของเขา
พลังผสานทำให้เมืองแพลตินัมไม่มีวันพ่าย
แต่ถ้าเขาจากไปเมื่อไหร่ พื้นฐานของทุกอย่างนี้ก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
เพียงแต่เป้าหมายของเขาเป็นเพียงการรักษาสักสิบยี่สิบปี รูปแบบของเมืองแพลตินัมไม่อาจคงอยู่ตลอดกาล ขอแค่รักษาไปจนถึงตอนที่เขาจากไปก็พอ
จัวหลินไม่มีความตั้งใจด้านนี้ในผลกรรม นี่เป็นแค่ความยึดติดของลู่เซิ่งต่อองค์กรที่เขาได้ใช้ความพยายามมากมายสร้างขึ้นมาเท่านั้น
‘ใช้การสะกดจิตก็แล้วกัน…ถึงจะไม่รู้ว่าทนได้นานขนาดไหน แต่ได้เท่าไหร่ก็ต้องเอาเท่านั้นแล้ว’
เมืองแพลตินัมในปัจจุบันได้ดึงดูดอาชญากรผู้ก่อการร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วโลกเข้ามาหา ในนี้มีหัวหน้าขุนศึก เจ้าพ่อยาเสพติด และแก๊งมาเฟียที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ด้วย
ถ้าหากรวมขุมกำลังพวกนี้เป็นหนึ่ง ต่อให้เป็นสหพันธรัฐอัลเลนก็ไม่อาจมองข้ามกองกำลังอันน่าสะพรึงที่จะกระจายไปทั่วโลกชนิดนี้ได้
การเลือกขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดมาปกครองเมืองแพลตินัมร่วมกับเซเว่นลีฟ อาจจะเป็นวิธีที่ดีก็ได้
ส่วนปัญหาที่ว่าจะแก้ไขความภักดีของขุมกำลังเหล่านี้อย่างไร
ลู่เซิ่งคิดจะแก้ไขในโถงประชุมเซเว่นลีฟต่อจากนี้ การสะกดจิตมีทักษะหนึ่งชื่อว่าบอกใบ้ ถ้าหากเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่การบอกใบ้ซ้ำๆ ประสิทธิผลของมันจะคงอยู่ได้หลายปีมาก
นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดทำต่อจากนี้
…
ต้าอิน วังมารสำนักมารกำเนิด
ฟ้าว!
ลู่เซิ่งพุ่งออกมาจากในรอยแตกสีเทา แล้วทิ้งตัวลงบนพื้นค่ายกล เพิ่งจะตั้งหลักได้ ก็มีเสียงสลายตัวดังพรึ่บๆ มาจากด้านหลัง
รอยแตกสีเทาสสลายไปในทันทีที่เขาพุ่งออกมา
ลู่เซิ่งคลุมร่างด้วยเกราะเกล็ดสีดำสนิท เสื้อผ้าบนร่างหลักสูญสลายไปเพราะกระบวนการข้ามมิติ
‘นึกไม่ถึงว่าจะเจอสายธารเวลาเข้า…กายเนื้อของจัวหลินสลายไปซะแล้ว น่าเสียดาย…แต่การหลอมรวมจิตวิญญาณสำเร็จด้วยดี ครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว’
ลู่เซิ่งสะบัดหางยาวที่เป็นหนามแหลมเหมือนกับเลื่อย พร้อมกับเหยียบย่ำลวดลายค่ายกลไปถึงมุมกำแพง ก่อนจะเปิดช่องลับและหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาสวมใส่
เขาดูอุปกรณ์บอกเวลาในช่องลับ นี่เป็นอุปกรณ์บอกเวลาอย่างง่ายที่เขาสร้างและปรับปรุงขึ้นมาจากหลักการของนาฬิกาทราย เป็นเพราะสิ่งที่ใช้คือปราณมารกับลวดลายค่ายกล ดังนั้นระดับความแม่นยำจึงใกล้เคียงกับนาฬิกาดิจิตอลในโลกใบเดิม
‘อย่างที่คิดไว้เลย ใช้เวลาไปแค่หนึ่งวันเท่านั้น’ ลู่เซิ่งปิดช่องลับ คืนกลับร่างมนุษย์ แล้วเดินออกจากตำหนักวิจัย
ครืนๆ…
ประตูศิลาที่หนักอึ้งค่อยๆ เคลื่อนออก ศิษย์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบคุกเข่าแสดงความเคารพ
“คารวะเจ้าสำนัก!”
“ตอนข้ากักตนมีใครมาหาหรือไม่”
“ฮูหยินมาครั้งหนึ่งขอรับ นอกจากนั้นตัวแทนเจ้าสำนักคุณหนูตวนมู่หว่านก็มาด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องใหญ่อะไร” ศิษย์เฝ้ายามคนนี้เป็นคนใกล้ชิดของตวนมู่หว่าน ความจริงประโยชน์หลักๆ ไม่ใช่การปกป้องตำหนักวิจัย หากรับหน้าที่เป็นคนฝากคำพูดซึ่งคอยเก็บข้อมูลหลังจากคนอื่นๆ มาถึง จากนั้นค่อยดำเนินการรายงาน
ลู่เซิ่งพยักหน้า แล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักประชุมเพื่อตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่ส่งมาในหนึ่งวัน
อีกครึ่งเดือน มุขนายกประจำเขตของโลกแห่งความเจ็บปวดจะเรียกพบเขา มุขนายกประจำเขตมีพลังขนาดไหนกันแน่ เขาไม่อาจทราบได้
หากแยกแยะจากพลังของสือจื้อซิงเพียงอย่างเดียว ตัวสือจื้อซิงคือระดับเจ้าแห่งอาวุธ มุขนายกประจำเขตอยู่เหนือกว่าเขา และเป็นระดับบนที่เขาสังกัด
ตามกฎเกณฑ์ในโลกแห่งความเจ็บปวดหรือพันธมิตรทมิฬ ผู้อยู่ตำแหน่งสูงๆ มักจะมีพลังในระดับเดียวกันด้วย
ดังนั้นมุขนายกประจำเขตจะต้องมีพลังเหนือกว่าสือจื้อซิงแน่
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานของตำหนักประชุม เริ่มวิเคราะห์พลังหลังจากเลื่อนระดับเป็นเจ้าแห่งอาวุธอย่างละเอียด
‘สมมติว่ากำหนดให้การเลื่อนระดับแบบปกติของเจ้าแห่งอาวุธใช้เวลาพันปี เจ้าแห่งอาวุธที่ตอนนี้มีอายุขัยมากกว่าสองพันปีดูเหมือนจะมีแค่ไม่กี่คน เจ้าแห่งอาวุธของต้าอินดูเหมือนจะมีแค่เจ้าแห่งอาวุธหยินสุดขั้วเท่านั้นที่มีบันทึกการเลื่อนระดับมากกว่าพันปี’
เขาไล้นิ้วบนที่ทับกระดาษหยกสีดำสนิทที่วางอยู่บนโต๊ะ
‘ถ้าการจุติไปยังโลกสักโลกหนึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบปีถึงจะสำเร็จ เมื่อลองคำนวณการไหลของเวลาดู เจ้าแห่งอาวุธคนหนึ่งจะต้องมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยปีอย่างปลอดภัยหลังเลื่อนระดับถึงจะมีโอกาสเจอโลกหนึ่งถึงสามใบได้ ถ้าคำนวณแบบนี้ ก็จะคำนวณขีดจำกัดด้านพลังจิตวิญญาณของเจ้าแห่งอาวุธจำนวนไม่น้อยได้อย่างคร่าวๆ เช่นเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกของสำนักพันอาทิตย์เพิ่งรับตำแหน่งหลังเลื่อนระดับได้ไม่เกินสี่ร้อยปีเท่านั้น เวลาสี่ร้อยปีอย่างมากสุดก็ไปในโลกต่างๆ ได้ไม่เกินสิบสองใบ ผสานตัวตนได้ไม่เกินสิบสองตัวตน’
‘แต่โลกบางโลกอย่างโลกหมาป่าราตรีเหมันต์ หากคิดจะฝึกฝนถึงระดับกึ่งเทพ ถ้าไม่ใช้เวลาหลายร้อยปีก็อย่าคิดฝันถึง และถ้าเกิดพบกับตัวตนที่ผลกรรมเยอะจนน่ากลัว คิดจะสะสางให้สำเร็จจะต้องเสียเวลาไม่น้อย เวลาหนึ่งร้อยปีจะสะสางได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่…’
ลู่เซิ่งเปรียบเทียบกับตัวเองดู หากยึดตามจำนวนของโลกที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียว แม้จะเทียบกับประกายขั้วโลกที่เป็นเจ้าแห่งอาวุธที่หนุ่มที่สุด เขากับอีกฝ่ายก็ยังแตกต่างกันมากอยู่ดี
แต่หากดูจากพลังร่างแยกของราชาอริยะที่หนึ่ง พลังในหมู่เจ้าแห่งอาวุธของเขาก็ถือว่าไม่เลวแล้วเช่นกัน ไม่ถือว่าอ่อนแอ
‘ดีปบลูลดระยะเวลาฟื้นฟูพลังหลังจากการจุติของเราได้อย่างใหญ่หลวง นอกจากนี้อัตราสำเร็จก็ยังเพิ่มขึ้นมากด้วย มิหนำซ้ำพวกเขาเองก็ไม่สามารถทุ่มเทกับการจุติได้โดยสมบูรณ์เพราะต้องดูแลภารกิจต่างๆ ในต้าอินอีก แถมการจุติไปยังโลกแต่ละใบของพวกเขายังไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถสะสางผลกรรมได้โดยสมบูรณ์ด้วย แต่เราแตกต่างออกไป โลกทุกใบของเราแทบจะรับประกันอัตราความสำเร็จได้เต็มร้อย พอดีเลย ตอนนี้มาดูผลลัพธ์หลังจากการจุติครั้งนี้หน่อยดีกว่า’
เขาฉุกใจได้ จึงอ้าปากและค่อยๆ แลบลิ้นเรียวแหลมออกมา ก่อนจะค่อยๆ แผ่ลิ้นออก ด้านในม้วนพันชิ้นส่วนสีทองขาวชิ้นหนึ่งเอาไว้
……………………………………….