ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 59 หมู่บ้านตระกูลซ่ง (3)
ก่อนหน้านี้ ถูกประตูครึ่งหนึ่งบังไว้ ลู่เซิ่งไม่เห็นว่ามีคนอยู่ ตอนนี้รถม้าเคลื่อนที่ มองจากมุมมองนี้ เห็นภาพอีกมุมในลานหลัก
บัณฑิตบนสะพานหินผู้นั้นเป็นอีกมุมของภาพในลานหลัก
บัณฑิตยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน เพียงจ้องมองรถม้าเคลื่อนผ่าน
ลู่เซิ่งพิจารณาบัณฑิตผู้นั้น เสื้อที่คนผู้นั้นสวมใส่ขาดวิ่น เก่าและสกปรกยิ่ง เหมือนกับไม่ได้ซักหลายวันแล้ว ยังมีรูโหว่ ผมเผ้ารกรุงรัง ยืนเหมือนเสาต้นหนึ่งบนสะพาน ไม่ขยับตัว
“หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีคนเข้าออกนานแล้ว สมควรไม่มีคนอยู่ อย่างไรก็ไม่มีคนเข้าออก ถ้ามีคนอยู่ด้านในพวกเขากินอะไร” ในมุมของต้วนเหมิ่งอันไม่เห็นบัณฑิตผู้นั้น เพียงอธิบายโดยไม่สนใจ
“แต่ก็มีคนจริงๆ นั่นไม่ใช่หรอกหรือ” ลู่เซิ่งพยักเพยิดไปทางหมู่บ้าน
ต้วนเหมิ่งอันรีบมองตาม
สิ่งที่ประหลาดก็คือ ตอนที่เขามองไป บัณฑิตผู้นั้นพริบตาเดียวก็หายไปแล้ว
ลู่เซิ่งหยีตา เขาแค่เหม่อ พูดกับต้วนเหมิ่งอันสองสามคำ แบ่งแยกสมาธิเล็กน้อย ถึงกับไม่เห็นว่าบัณฑิตผู้นั้นหายไปตอนไหน
“มีคนตรงอยู่ตรงไหนหรือ คุณชายท่านอย่าขู่ข้า” ต้วนเหมิ่งอันขนลุกอยู่บ้าง มองเข้าไปข้างในจากร่องประตู กลับไม่เห็นผู้คน
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิครู่หนึ่ง
“ไม่มีอะไร อาจเป็นข้าตาลาย”
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนห่าง ระหว่างทางลู่เซิ่งหวนนึกถึงท่าทางของบัณฑิตผู้นั้น คิดว่าคนผู้นั้นคล้ายไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
ไม่ทันไร ขบวนรถก็มาถึงหมู่บ้านแร่เหล็ก
หมู่บ้านเย็นเยียบเงียบสงัด ประตูบ้านไม้หลายหลังบ้างเปิดบ้างปิด ประตูไม้ส่วนหนึ่งสั่นตามสายลมส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
ขบวนรถเคลื่อนไประหว่างบ้านไม้ ชายฉกรรจ์อกสามศอกสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา รู้สึกบรรยากาศแปลกประหลาดอยู่บ้าง
ฟ้าค่อยๆ มืด ลู่เซิ่งกับต้วนเหมิ่งอันลงจากรถ หาบ้านไม้ที่ยังนับว่าสมบูรณ์อยู่หลายหลัง เข้าไปพักผ่อน
บ้านไม้เหล่านี้หลังคาโหว่ ถ้าฝนตกยากจะกำบังคนได้
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งแยกกันหาบ้านไม้เพื่อพักผ่อน ตอนกินดื่มก็ใช้ถุงน้ำกับเนื้อแห้งร่วมกัน
บ้านไม้ที่ลู่เซิ่งอยู่ค่อนข้างใหญ่ เขาให้คนย้ายกระโจมผ้าห่มลงมาจากรถม้า หลังจากก่อกองไฟในบ้าน ก็ใช้น้ำจากลำธารเล็กใกล้ๆ ต้มน้ำหม้อหนึ่ง โยนเนื้อแห้งกับเห็ดแห้งลงไป ต้มสักพักก็กลายเป็นน้ำแกงเนื้อเห็ดที่โอชะ
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเบียดเสียด มีน้ำแกงเนื้อเห็ดคนละชาม ใส่ธัญพืชแห้งลงไป กลับนับว่าน่าพอใจ
ลู่เซิ่งกลับไม่มีความคิดร่วมวงกินกับชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ ออกจากบ้านไม้ มองไปยังหมู่บ้านเมื่อตอนกลางวัน
แสงจันทร์สาดส่องลงดุจผ้าโปร่งสีขาวเทา หมู่บ้านแห่งนั้นอยู่ในแอ่งกระทะที่ค่อนข้างห่างจากบ้านไม้ กำแพงสีขาวใต้แสงจันทร์เห็นเป็นเงาตะคุ่มกลุ่มหนึ่ง
ลู่เซิ่งกระชับเสื้อคลุม มองหมู่บ้านนั้นมุ่นคิ้วเล็กน้อย
ต้วนเหมิ่งอันเดินออกมาพร้อมกับกลิ่นสุรา
“คุณชาย เหตุใดไม่เข้าไปดื่มสุรากับเหล่าพี่น้อง”
ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ “รอบๆ จัดการพี่น้องเฝ้ายามแล้วหรือไม่”
“ไม่ต้องห่วงคุณชาย จัดการไว้แต่แรกแล้ว สามคนแบ่งกันเฝ้าสามทิศ อีกเดี่ยวพอกินเสร็จพวกเราค่อยไปผลัดเวร” ต้วนเหมิ่งอันอย่างไรก็เป็นขุนพลสมุนของอู๋ซาน คุ้นเคยสิ่งเหล่านี้ดี
“พรุ่งนี้ไปดูเหมือง หลังจากนั้นค่อยไปหมู่บ้านนั้น” ลู่เซิ่งค่อยๆ ละสายตา กล่าวอย่างสงบ
“ขอรับ เหมืองอยู่ด้านบน ถ้าไม่ใช่ตอนนี้หาคนงานเหมืองมาไม่ได้ คงขุดแร่เหล็กได้ทุกวัน” ต้วนเหมิ่งอันพูดไปก็เสียดายอยู่บ้าง
“จริงด้วย ที่เจ้าฝึกในพรรคเป็นความสามารถอะไร” ลู่เซิ่งถาม
“เป็นหัตถ์หมีขยุ้ม ในศาลาประกาศยุทธเป็นคัมภีร์ลับระดับสาม…” ต้วนเหมิ่งอันหัวเราะแหะๆ
“หัตถ์หมีขยุ้มหรือ ฟังเหมือนเดินในแนวทางพละกำลังใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งค่อนข้างสนใจวรยุทธ์
“ถูกต้อง ข้าเหล่าต้วนไม่มีจุดเด่นใด มีแรงเยอะกว่าคนทั่วไปตั้งแต่เกิด เลยเลือกวิชานี้เป็นการฝึกฝนหลัก”
ลู่เซิ่งอยู่ว่างไร้เรื่องราว ถามต้วนเหมิ่งอันถึงเรื่องอื่นๆ ต่างเกี่ยวกับวรยุทธ์
ต้วนเหมิ่งอันเป็นคนเก่าแก่ในพรรค คิดไม่ถึงว่าหัวข้อนี้กลับทำให้ลู่เซิ่งยินดี จากปากของต้วนเหมิ่งอัน เขามีเค้าโครงความทรงจำคร่าวๆ ต่อความสามารถของคนระดับสูงสองสามคนในพรรค
ความสามารถที่เหลือต่างอยู่ในการคาดการณ์ของลู่เซิ่ง ฟังอานุภาพที่บรรยาย ยังไม่สู้การกระตุ้นวิชาโลหิตพิฆาตของตน
แต่มีเพียงประมุขพรรคกับรองประมุขพรรค ได้ยินต้วนเหมิ่งอันพูดถึงว่า สามคนนี้ทุกๆ ครั้งที่ลงมือ มีผลค้อนเดียวกำหนดทำนอง จัดการปัญหาได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นไม่เคยมีใครเห็นพวกเขาลงมืออย่างสุดกำลัง
“ตอนนี้คุณชายมีคุณสมบัติไปอ่านคัมภีร์ลับ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่งที่ศาลาประกาศยุทธแล้ว หัตถ์หมีขยุ้มของข้าน้อยในระดับพลังปลอดโปร่งไม่นับว่าดีนัก เพียงแต่เหมาะกับข้าเป็นพิเศษเท่านั้น” ต้วนเหมิ่งอันพูดยิ้มๆ
“เจ้ากลับฉลาด ทราบว่าสิ่งที่เหมาะกับตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” ลู่เซิ่งยิ้ม “หัตถ์หมีขยุ้มเป็นคัมภีร์ลับไม่มีค่าใช้จ่ายในพรรค แต่ข้าไม่เคยเห็นความสามารถนี้ เป็นวิชาแข็งกร้าวกระมัง”
“ใช่แล้ว เป็นวิชาแข็งกร้าวที่ใช้ฝึกพละกำลังโดยเฉพาะ หนำซ้ำไม่จำเป็นต้องอาบยา ง่ายดายยิ่ง” ต้วนเหมิ่งอันเกาศีรษะ
“อ้อ แสดงให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย เขาคิดฝึกวิชาแข็งกร้าวแต่แรก แต่วิชาแข็งกร้าวแทบทุกวิชาต่างจำเป็นต้องอาบยา ดังนั้นจึงไม่สำเร็จมาโดยตลอด คิดไม่ถึงต้วนเหมิ่งอันผู้นี้ถึงกับฝึกวิชาแข็งกร้าวที่ไม่ต้องอาบยา
ต้วนเหมิ่งอันไม่นำพาแม้แต่น้อย เดิมทีความสามารถนี้ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับพลพรรค บวกกับคนถามเป็นลูกพี่ตัวเองที่ความสามารถเหนือกว่า เขาจึงไปหาต้นไม้แห้งต้นหนึ่ง แสดงเคล็ดลับและวิชาฝึกฝนของหัตถ์หมีขยุ้ม
ลู่เซิ่งถามรายละเอียดทีละข้อๆ ไม่ทันไรก็ฝึกหัตถ์หมีขยุ้มจนคล่อง
หัตถ์หมีขยุ้มมีแค่ระดับเดียว การฝึกก็ง่ายดาย แค่จำเป็นต้องท่องเคล็ดวิชาเดินลมปราณ ปรับท่วงท่าลมหายใจ จากนั้นตรึกตรองว่าตัวเองเป็นหมีตัวหนึ่งกระแทกใส่ต้นไม้ตามจังหวะและลำดับ
การฝึกง่ายดายยิ่ง ลู่เซิ่งทดลองด้วยตัวเอง ไม่ใช้ปราณภายใน ไม่ใช้แรงมากเกินไป เพียงเป็นการกระแทกธรรมดา ถึงขั้นที่ผิวเจ็บก็หยุด
หลังฝึกตามเคล็ดวิชาอยู่พักหนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ว่าผิวชา คัน และเจ็บ
“คุณชายร้ายกาจอย่างแท้จริง ตอนนั้นข้าน้อยเรียนหลายวันจึงจับเคล็ดได้ คุณชายฝึกครู่เดียวก็เป็นแล้ว” ต้วนเหมิ่งอันยิ้มพลางกล่าวอย่างเลื่อมใส
“ความสามารถนี้ง่ายดายจริงๆ ประสิทธิผลก็ไม่เลว ความยากเพียงข้อเดียวคือความพยายาม คิดจะสำเร็จ อย่างน้อยต้องใช้เวลายี่สิบปีฝึกฝนวิชา” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าวิชาแข็งกร้าวนี้เป็นส่วนหนึ่งที่แปรสภาพจากวิชาแข็งกร้าวอื่นๆ ไม่ได้สมบูรณ์ เป็นเพียงการฝึกฝนพละกำลังและความอดทนของเนื้อหนังอย่างเดียว
“แต่ว่ามีสองสามจุด ตามวิชาเดินลมปราณ เจ้าสมควรทำแบบนี้…”
เขาฝึกฝนความสามารถหลากหลายจนมีความสำเร็จใหญ่หลวง ขอบเขตสายตาย่อมสุดที่ต้วนเหมิ่งอันจะเทียบได้ ไม่ทันไรก็มองแก่นแท้ออก เริ่มแก้ไขจุดที่ต้วนเหมิ่งอันฝึกผิดส่วนหนึ่ง ครู่เดียวก็ชี้แนะจนต้วนเหมิ่งอันกระจ่างแจ้ง ทั้งยินดีทั้งนับถือ
จากนั้นเขาก็ทดลองใช้แรงและฝึกฝนตามที่ลู่เซิ่งชี้แนะแก้ไข ประสิทธิผลดีกว่าปกติไม่น้อยจริงๆ พลันเคารพลู่เซิ่งกว่าเดิม
ทั้งสองคนฝึกฝนชี้แนะความสามารถอยู่ด้านนอก ดึงดูดชายฉกรรจ์ซึ่งกินอาหารแล้วพักผ่อนอยู่ด้านในที่เหลือเข้ามา พวกเขาเหล่านี้ฝึกฝนวิชาดาบวาฬแดงที่พลพรรคทั่วไปในพรรคฝึกได้
วิชาดาบวาฬแดงเป็นวิชาดาบที่เป็นพื้นฐานที่สุดของพรรควาฬแดง ปรับปรุงเพิ่มเติมกระบวนท่าที่เหมาะแก่การฆ่าฟันบนวิชาดาบพื้นฐาน อานุภาพไม่เลว
ลู่เซิ่งหลังจากเรียนวิชาดาบวาฬแดงรอบหนึ่ง กลับชี้แนะเคล็ดสำคัญให้ทุกคน
หลังจากชี้แนะติดๆ กันพอประมาณแล้ว ทุกคนก็ไปนอนหลับพักผ่อน
ลู่เซิ่งยังคงยืนอยู่นอกบ้านไม้ มองดูลูกน้องที่ลาดตระเวนเฝ้ายามหลังผลัดเวร แสงโคมจากโคมม้าวิ่งที่ถืออยู่ส่ายไปมา
เขาค่อยๆ ปรับปราณภายในและลมหายใจในร่าง
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรากฏขึ้นมา กรอบเล็กๆ ด้านในจัดเรียงวิทยายุทธ์ทั้งหมดในปัจจุบันที่เขาฝึกฝน
[วิชาดาบพยัคฆ์ดำ: ระดับสี่]
[วิชาโลหิตพิฆาต: ระดับสี่ ผลพิเศษ: พิษอัคคี จุดไฟ]
[วิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยก: ระดับสาม ผลพิเศษ: หยุดเลือดได้อย่างรวดเร็ว ฟื้นฟูพลังกาย พยัคฆ์คำรามกระเรียนร้อง]
[โน้มนำหยินหยาง: ระดับสาม]
[เก้าเก้าแปดสิบสี่ดาบนางแอ่นถลาลม: ระดับสาม]
[ท่าเท้าแปดสมบัติ: ระดับสาม]
[ดาบสองปลาย: ระดับสาม]
[ฝ่ามือทำลายใจ: ระดับสาม]
วรยุทธ์แต่ละชนิดแสดงสิ่งที่ลู่เซิ่งร่ำเรียนอย่างสมบูรณ์ วิชาทั้งหมดต่างเป็นระดับสูงสุด
ตอนนี้ ด้านล่างสุดของวรยุทธ์เหล่านี้มีความสามารถสองอย่างเพิ่มขึ้นมา
[หัตถ์หมีขยุ้ม: เบื้องต้น]
[วิชาดาบวาฬแดง: เบื้องต้น]
ลู่เซิ่งใช้สำนึกกดปุ่มปรับเปลี่ยนบนเครื่องมือเงียบๆ จากนั้นเพ่งความสนใจบนตัวเลือกหัตถ์หมีขยุ้ม
‘เพิ่มระดับหัตถ์หมีขยุ้มถึงระดับสำเร็จ’
กรอบหัตถ์หมีขยุ้มบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนพร่ามัวเล็กน้อย จากนั้นก็ชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เวลาแค่กะพริบตา หัตถ์หมีขยุ้มเปลี่ยนจากเบื้องต้นเป็นสำเร็จ
ลู่เซิ่งรู้สึกอย่างชัดเจนว่าปราณภายในวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกในร่างตัวเองเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการลดลงนี้ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง
‘ทั้งๆ ที่เป็นแค่วิชาแข็งกร้าวระดับต่ำสุด ไม่ต่างจากดาบนางแอ่นถลาลมมาก เหตุใดจึงสิ้นเปลืองมากขนาดนี้’ เขารู้สึกว่าปราณภายในถูกร่างดูดอย่างรวดเร็ว จากปราณภายในสิบส่วนสมบูรณ์ แค่ไม่กี่ลมหายใจก็หายไปแล้วห้าส่วน จากนั้นเป็นสามส่วน สองส่วน หนึ่งส่วน
ขณะเดียวกันผิวหนังเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้น กล้ามเนื้อแขนกับส่วนเอวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ชัดเจนมากพอว่าร่างกายตัวเองกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนถึงขีดสุดด้านพละกำลัง
‘เป็นแค่วิชาแข็งกร้าวเท่านั้น…’ เขาประหลาดใจอยู่บ้าง ยืนอยู่กับที่รอให้การเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์ เวลาเกือบหนึ่งก้านธูปเขาค่อยถอนใจ
‘ดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงของวิชาแข็งกร้าวต่อร่างกายจะเหนือกว่าความสามารถอื่น อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้การสิ้นเปลืองที่จำเป็นมีมากกว่าความสามารถอื่นๆ’
เขายื่นมือออกกำหมัด รู้สึกว่าร่างกายเกิดความรู้สึกโป่งพองจากภายใน เหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเป่าพอง ถึงขั้นอวัยวะภายในร้อนเล็กน้อย
หลับตาสัมผัสดู ลู่เซิ่งเห็นปราณภายในของวิชาโน้มนำหยินหยางเริ่มถูกใช้ด้วยความเร็วสูง ขณะเดียวกันปราณภายในวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกที่สิ้นเปลืองก่อนหน้าก็เริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเหมือนลูกโป่ง
จากหนึ่งส่วน หายใจไม่กี่ครั้งก็ฟื้นกลับมาสิบส่วนซึ่งเป็นขอบเขตสูงสุด ยามนี้ปราณภายในของวิชาโน้มนำหยินหยางเสียไปแค่ราวครึ่งหนึ่ง
‘ที่แท้นี่เป็นประโยชน์สูงสุดของวิชาโน้มนำหยินหยาง’ ลู่เซิ่งแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ยินดีทันที
‘พละกำลังดูท่าเพิ่มขึ้นสองส่วน ผิวหนังเองก็แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย’
เขาชักดาบยาวออกจากด้านหลัง กรีดบนหลังมือตัวเอง แรงที่ใช้ไม่มาก ใกล้เคียงกับแรงที่คนปกติใช้หั่นเนื้อ
ครืด
บนผิวหนังเป็นรอยแดงเส้นหนึ่ง แต่ไม่บาดผิว
‘นี่แค่วิชาแข็งกร้าววิชาเดียวก็มีผลใหญ่หลวงขนาดนี้แล้ว ดาบนี้เป็นของใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยน’ ลู่เซิ่งพึงพอใจ ‘รอเรื่องทางนี้จบ ไปหาดูที่ศาลาประกาศยุทธ อาจจะเจอวรยุทธ์ไม่มีค่าใช้จ่ายที่มีประโยชน์กับเราไม่น้อย’ เขาคาดหวังกับาศาลาประกาศยุทธของพรรควาฬแดงมากกว่าเดิม
เงยหน้าขึ้นมองหมู่บ้านอีกครั้ง สัมผัสได้ว่าด้านในหมู่บ้านคล้ายซุกซ่อนอะไรเอาไว้
เขาตัดสินใจอยู่ที่นี่ตรวจสอบทำความเข้าใจอย่างละเอียดอีกสองสามวัน
………………………………………….