ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 590 อนธการสาดแสง (2)
บทที่ 590 อนธการสาดแสง (2)
“มารดาแห่งความเจ็บปวดมีสันตะปาปาสามองค์อยู่ใต้อาณัติ พวกเขาแบ่งกันปกครองระบบนิกายสามระบบ พวกเราอยู่ในขอบเขตการดูแลของสันตะปาปาแห่งความมืดมน พระองค์เป็นสันตะปาปาที่เคลื่อนไหวมากที่สุดตลอดเวลาหลายหมื่นปี เป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับมายาพิศวง และเป็นตัวตนที่ทำลายดาวเคราะห์ได้” เฮยจินเอ่ยอย่างเย็นชาโดยจงใจทำเป็นเรียบเฉย
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าน้ำเสียงที่เธอใช้ตอนพูดถึงผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มีการสั่นไหวของอารมณ์ที่รุนแรงมาก แตกต่างจากคนอื่นๆ
“ยังเหลือเวลาอีกสิบกว่าวัน เจ้ากลับไปคิดให้ดีก่อนค่อยมาหาข้าก็ได้ ไม่ต้องไปหาสือจื้อซิงแล้ว เขาจงใจจากไปโดยไม่แจ้งเจ้าก็เพื่อหนีปัญหา ขุมกำลังเบื้องหลังเขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้” เฮยจินบอกเป็นครั้งสุดท้าย “เอาล่ะ กลับไปเถอะ หากคิดได้แล้วจงมาที่นี่อีกรอบ”
“เข้าใจแล้วขอรับ…” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ถึงแม้จะสัมผัสไม่ได้อย่างชัดเจนนัก แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ารอบๆ มีสายตากำลังจับจ้องเขาอยู่
หลังออกจากอารามใบไม้ไหว เขาหันกลับไปมองอารามที่ล้ำลึกมืดมัวอีกรอบหนึ่ง จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ หลุดออกจากโลกแห่งความเจ็บปวด
‘โลกแห่งความเจ็บปวดมีพลังแข็งแกร่งเกินไป แค่มุขนายกประจำเขตก็มีพลังเหนือกว่าเจ้าแห่งอาวุธแล้ว ขนาดนั้นแล้วยังมีผู้เข้มแข็งคนอื่นๆ ที่อยู่สูงกว่าอีก แค่มายาพิศวงก็มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งคนแล้ว…อาศัยพลังโดยพื้นผิวของต้าอินกับพิภพมาร ไม่สามารถต้านทานได้โดยสิ้นเชิง’
‘หมายความว่า…พวกเขาเพียงแค่กำลัง…รอคอยให้โลกเบื้องล่างเติบโตขึ้นเหมือนกับปล่อยให้สัตว์เล็มหญ้า จากนั้นหลังผ่านไปสักระยะหนึ่งจึงค่อยมาเก็บเกี่ยวหรือ’ ลู่เซิ่งมีการคาดเดาในใจแล้ว
ชายชราจากสำนักนทีครามได้บอกเขาให้รู้ว่า เขตดวงดาวแถบนี้อยู่ในการปกครองของมารดาแห่งความเจ็บปวด
หรือหมายความว่า การป้องกันการรุกรานจากโลกแห่งความเจ็บปวดของเจ้าแห่งอาวุธกับจักรพรรดิมารเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น…
‘โหดเหี้ยมจริงๆ…’
เขาหลุดออกจากโลกแห่งความเจ็บปวด ตอนที่ได้สติกลับมา ก็กลับมาถึงในวังมารของตนแล้ว
ลู่เซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในวังใคร่ครวญอย่างต่อเนื่องว่าจะหนีจากสภาพจนตรอกในตอนนี้อย่างไรดี
ผู้เข้มแข็งระดับลวงตา แค่ระดับก็เหนือกว่าเจ้าแห่งอาวุธแล้ว เขาถึงขั้นไม่อาจสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับใด
‘ต้องรีบปรึกษากับเจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกให้เร็วที่สุดเสียแล้ว ข้อความของเราคงจะส่งถึงมือประกายขั้วโลกแล้วล่ะมั้ง จากนี้รอดูว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร’
สำนักมารกำเนิดขัดแย้งกับสำนักอริยะที่หนึ่ง สุดท้ายก็จบลงด้วยการได้รับชัยชนะในพื้นที่เล็กๆ ของสำนักมารกำเนิด เรื่องนี้อยู่เหนือจินตนาการของคนทุกคน
ภาพลักษณ์ของลู่เซิ่งพุ่งทยานเป็นเส้นตรงจากอริยะเจ้าถึงระดับเดียวกับพวกเจ้าแห่งอาวุธบรรพบุรุษของสามสำนักและสามตระกูลอย่างรวดเร็ว
แต่กลับไม่มีใครรู้ว่า ลู่เซิ่งที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้กำลังเผชิญกับความเป็นความตายที่ยุ่งยากถึงขีดสุดอยู่
เวลาไม่คอยคน ลู่เซิ่งไปสำนักพันอาทิตย์อีกรอบ โดยไม่ได้รอคำตอบของประกายขั้วโลก จากนั้นก็ได้แต่กลับตำหนักวิจัยแล้วเตรียมการจุติครั้งต่อไปเพื่อไม่ให้เวลาเสียไปอย่างสูญเปล่า
เขาจะต้องจุติเพื่อเพิ่มพลังให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาเกรงว่าจะกลายเป็นเป้า จนยากตัดสินความเป็นความตาย
ลู่เซิ่งไม่คิดว่าเฮยจินกำลังขู่เขาอยู่
‘หากคิดจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณของเราจนถึงขีดสูงสุดโดยยึดตามระดับการเพิ่มพลังแบบนี้ เกรงว่าจะต้องใช้การจุติอย่างน้อยอีกสามครั้ง’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงขีดจำกัดในการเพิ่มจิตวิญญาณของตนหลังจุติ
กายเนื้อและจิตวิญญาณส่งเสริมและดำรงอยู่ร่วมกัน กายเนื้อของเขาเป็นตัวตัดสินว่าขีดจำกัดที่จิตวิญญาณจะไปถึงได้มีมากขนาดไหน
‘หมายความว่า ขีดจำกัดของเจ้าแห่งอาวุธทั่วไปตัดสินจากกายเนื้อ ทำให้เห็นได้ว่า การที่ร่างแยกของราชาอริยะที่หนึ่งสู้เราไม่ได้เป็นเรื่องที่ปกติมาก
ก่อนที่จะเลื่อนเป็นอริยะเจ้ากับเจ้าแห่งอาวุธ กายเนื้อของเราก็เหนือกว่าคนที่อยู่ระดับเดียวกันไปไกลโขแล้ว พอเลื่อนระดับ ขีดจำกัดในระดับเจ้าแห่งอาวุธของเราควรจะอยู่เหนือระดับเดียวกันเช่นกัน…พูดอีกอย่างก็คือ ถึงการเลื่อนระดับจะยากลำบากไปหน่อย แต่เรากลับแข็งแกร่งกว่าเจ้าแห่งอาวุธทั่วไปที่อยู่ในระดับเดียวกันมาก”
ถึงจะไม่มีการเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัด กระนั้นลู่เซิ่งที่ใช้การคาดเดาอนุมานก็เข้าใจอย่างคร่าวๆ แล้วว่าพลังของตนอยู่ตรงจุดไหน
‘จริงสิ ก่อนจะจุติ ยังติดต่อกับคนคนนั้นได้อยู่นี่นา บางทีอาจจะหาข้อมูลที่มีประโยชน์จากเขาได้…’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงจวงจิ้วที่ได้เจอในโลกหมาป่ามารร้อยเศียรเมื่อก่อนหน้า
ราชามารสวรรค์อันดับห้าของโลกสรรพวิญญาณ ฉายานี้แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ที่มีพลังและตำแหน่งสูงสุดขีดในโลกใบนั้น
กอปรกับพลังที่จวงจิ้วแสดงออกมาให้เห็น อยู่เหนือกว่าจินตนาการของตน ลู่เซิ่งจึงรู้สึกว่าอาจเดินบนเส้นทางเส้นนี้ได้
ตอนนั้นจวงจิ้วฝากให้เขาสะสางผลกรรมแทน จึงติดค้างน้ำใจเขา ครั้งนี้อาจจะใช้ประโยชน์ได้พอดี
ครั้นลู่เซิ่งนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ออกจากตำหนักวิจัยมาถึงในตำหนักเล็กอีกแห่งอย่างรวดเร็ว หลังจากสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนรบกวนแล้ว เขาก็เริ่มติดตั้งค่ายกลส่งข่าวที่จวงจิ้วถ่ายทอดให้ในตอนนั้นทันที
ค่ายกลที่ติดตั้งไม่แตกต่างจากค่ายกลจุติเท่าไหร่ เพียงแต่สิ่งที่จำเป็นต้องจุติไปไม่ใช่ร่างหลักของเขา หากเป็นข้อความส่วนหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความถี่ของคลื่นจิตวิญญาณชนิดหนึ่งส่งไป
ลู่เซิ่งใช้เวลามากกว่าครึ่งวัน ค่อยติดตั้งค่ายกลทั้งหมดเรียบร้อย
ค่ายกลเหมือนกับดวงตาข้างหนึ่งที่กำลังเปิดอยู่ เส้นสายสีม่วงปรากฏเป็นลักษณะรังสีอยู่รอบๆ คล้ายกับมีของเหลวลึกลับบางชนิดไหลเข้าไปในม่านตาใจกลางดวงตา
“อากู่หม่า…ซีเอินหลี่…เหลยถ่าย่าซือ…อันจิ้วลี่”
ลู่เซิ่งค่อยๆ ท่องคาถาเปิดใช้ พร้อมกับเติมจิตวิญญาณเข้าไปในลวดลายบนพื้นอย่างช้าๆ
แสงสีม่วงหลายสายสว่างและเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ มีเส้นสายสีม่วงบนพื้นบางเส้นพากันลอยหลุดออกจากค่ายกล แล้วกลายเป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนกับผ้าไหมสีม่วงนับไม่ถ้วน หมุนวนและรัดพันรอบดวงตาที่อยู่ตรงกลาง
ขณะที่คาถาทำงานอย่างต่อเนื่อง รอยแตกสีเทาเล็กๆ หลายสายก็เริ่มปรากฏเหนือค่ายกล
“จงมา จงมาที่นี่…”
เสียงทุ้มต่ำที่ทั้งมีเสน่ห์และความล่อลวงดังมาจากในช่องแตก
จิตวิญญาณของลู่เซิ่งสั่นไหว เขารีบประคับประคองร่างแล้วท่องคาถาต่อไป
นี่คือเสียงกระซิบของวิญญาณที่มีเฉพาะในโลกสรรพวิญญาณ ไม่ใช่ว่ามีตัวตนบางอย่างที่จับต้องได้กำลังพูดคุยกับเขาอยู่
เป็นเพราะโลกสรรพวิญญาณต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น จึงล่อลวงตัวตนที่ผ่านไปผ่านมารอบๆ ตัวมันเข้าไปด้านในโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็ทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง เพื่อจะได้สร้างคุณูปการรวมถึงเสริมพลังให้แก่มัน
นี่เหมือนกับกลิ่นหอมและตัวเหนี่ยวนำที่พืชกินแมลงหลั่งออกมาเพื่อล่อแมลง
ดีที่ลู่เซิ่งมีจิตวิญญาณแข็งแกร่งมากพอ หลังทนอยู่สิบกว่าวินาที เสียงจึงค่อยๆ เบาลง
ในช่องแตกค่อยๆ มีแสงสีม่วงหลายสายกระจายออกมาในขณะที่คาถากำลังทำงาน
“ยินดีต้อนรับ สหายของข้า” ในที่สุดเสียงของจวงจิ้วก็ดังมาจากในช่องแตก
“สวัสดี ฝ่าบาทราชามารสวรรค์ลำดับที่ห้า ท่านเรียกข้าว่าราชาหมาป่าก็ได้” ลู่เซิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะตั้งฉายาเพื่อบอกอีกฝ่าย
“ตกลง ราชาหมาป่า ในที่สุดท่านก็ติดต่อข้าสักที ครั้งก่อนในโลกเทพอุดร ข้าติดค้างน้ำใจท่าน ท่านอยากแลกเปลี่ยนอะไรรึเปล่า” จวงจิ้วเอ่ย
“ข้าอยากจะรู้ว่าการฝึกฝนต่อจากระดับเจ้าแห่งอาวุธควรดำเนินการอย่างไร” ลู่เซิ่งถามตรงๆ “ขอไม่ปิดบัง ตอนนี้ข้ากำลังเผชิญการคุกคามความเป็นตายจากตัวตนกล้าแข็งอยู่ ข้าจึงอยากจะหาโอกาสในการเลื่อนไปยังระดับต่อไปให้เจอ บางทีอาจมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้”
“เลื่อนระดับหรือ ต้องการให้ข้าส่งคนจุติลงไปช่วยเหลือไหมสหายราชาหมาป่า” จวงจิ้วกล่าวอย่างเรียบง่าย “ต่อจากระดับเจ้าแห่งอาวุธ ท่านหมายถึงต่อจากระดับชูศัสตราใช่หรือไม่ ต่อจากนั้นคือระดับลวงตาและมายาพิศวง ขออภัยที่ข้ากล่าวตามตรง สำหรับตัวตนระดับพวกเราแล้ว คัมภีร์การฝึกฝนไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่นัก สิ่งที่ท่านต้องการคือแนวคิด ทิศทาง และเส้นทางอย่างคร่าวๆ เส้นทางที่ผู้เข้มแข็งทุกคนที่ไปถึงระดับชูศัสตราเดิน ไม่แน่ว่าจะเป็นเส้นทางเดียวกัน”
“อ้อ? วาจานี้หมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินคำพูดนี้เป็นครั้งแรก
“หลังจากไปถึงชูศัสตราแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำคือการศึกษาเทวลักษณ์เพื่อปรับปรุงโลกรูปจิตของท่านอย่างต่อเนื่อง โลกรูปจิตของมารสวรรค์ทุกคนล้วนเน้นในด้านที่แตกต่างกัน นี่ตัดสินจากตัวตนของท่าน ตัวตนของท่านเป็นอย่างไร โลกรูปจิตก็จะเอนเอียงไปทางรูปแบบนั้น ข้าขอมอบผลึกแก้วบางส่วนให้ท่านเพื่อใช้ส่งข้อมูลรายละเอียดและความเข้าใจของเทวลักษณ์ชนิดต่างๆ พวกเราเรียกผลึกแก้วชนิดนี้รวมๆ ว่าผลึกแก้วลี้ลับ ผลึกแก้วลี้ลับก้อนหนึ่งทำให้ท่านเข้าใจวิธีการใช้งานพื้นฐานของเทวลักษณ์ชนิดนั้นๆ ได้ แน่นอนว่าเป็นแค่ระดับพื้นฐานเท่านั้น กระบวนการชูศัสตรา อย่างน้อยต้องหลอมสกัดและทำความเข้าใจเทวลักษณ์เก้าชนิดไปจนถึงระดับหนึ่ง ข้าเองก็สามารถส่งบริวารไปช่วยท่านแก้ไขสภาพคับขันได้นะ ราชาหมาป่า ท่านเลือกวิธีการแก้ไขสองวิธีนี้ได้”
“ดังนั้นท่านเลยไปยังโลกใบนั้น โลกใบนั้นมีเทวลักษณ์หลงเหลืออยู่มากมาย ข้าถึงขั้นเจอข้อมูลเทวลักษณ์ที่หลงเหลืออยู่จากเผ่าพันธุ์ล้าหลังส่วนหนึ่งเสียด้วย”
“เป็นเช่นนั้น การทำความเข้าใจเทวลักษณ์เป็นวิธีการฝึกฝนที่ใช้จนถึงระดับมายาพิศวง ท่านควรทำความเข้าใจเทวลักษณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน เนื่องจากจะมีส่วนช่วยอย่างมหาศาลต่อรูปแบบโลกรูปจิตของตัวท่าน” จวงจิ้วอธิบายอย่างใจเย็น
“ข้าอยากถามอีกสักคำถาม” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอีก
“จงถามเถอะ ความจริงเรื่องเหล่านี้เป็นแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น เพียงแต่ท่านดูเหมือนไม่ได้รับการถ่ายทอด จึงได้แต่คลำทางเอง” จวงจิ้วพูดจาดีมาก
“โลกรูปจิตมีประโยชน์อะไรกันแน่ หากพวกเราขยายและปรับปรุงมันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจะกลายเป็นแบบไหน” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
“สุดท้ายหรือ ระดับที่ผู้เข้มแข็งมายาพิศวงไปถึงคือการเปลี่ยนลวงเป็นจริง โดยใช้โลกรูปจิตปกคลุมความจริงและบิดเบือนทุกสิ่ง ความจริงสามารถเปลี่ยนเป็นความลวงได้ และความลวงก็จะกลายเป็นความจริงได้เช่นกัน…ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างไร ก็ล้วนสมเหตุสมผลในจิตได้ทั้งนั้น”
“เปลี่ยนลวงเป็นจริง…” ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย
“แค่บรรยาย ท่านอาจจะไม่เข้าใจ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน” จวงจิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย
“ในโลกนับหมื่นพันและมิติจักรวาลนับไม่ถ้วนมีของอย่างหนึ่งอยู่เต็มไปหมด ซึ่งมีชื่อว่าธาตุมืด ธาตุมืดเป็นพลังงานรากฐานที่กำหนดว่าวัตุอย่างหนึ่งจะดำรงอยู่หรือไม่ มันไม่มีเงาไม่มีรูปร่าง แต่กลับดำรงอยู่จริงๆ”
“ธาตุมืดหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา รู้สึกคาดหวังขึ้นเล็กน้อย
“ใช่แล้ว…เหมือน…แบบนี้…”
ฟ้าว!
ทันใดนั้นมีแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากช่องแตก แล้วหายเข้าไปในศีรษะของลู่เซิ่งในพริบตาเดียว
ตูม!
เกิดเสียงกระหึ่มดังขึ้นด้านหน้าเขา ภาพทั้งหมดระเบิดกลายเป็นอนุภาคสีม่วงแล้วกระจายออกไปในชั่วอึดใจ
“เห็นหรือยัง”
พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลู่เซิ่งก็ค้นพบอย่างตื่นตระหนกว่าตนเองกำลังลอยอยู่กลางความว่างเปล่าที่มีก้อนผลึกสีม่วงกองสุมกันอยู่แห่งหนึ่ง
ผืนดินด้านล่างเกิดจากผลึกสีม่วงนับไม่ถ้วน
ก้อนผลึกที่แตกสลายจำนวนมากกระจายอยู่กลางอากาศพร้อมกับเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
“ที่นี่คือที่ไหนกัน” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว พลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบเงยหน้าขึ้น
ท้องฟ้ามืดลงอย่างฉับพลัน
เป็นดาบเล่มหนึ่ง
เป็นดาบยักษ์น่ากลัวสีดำที่เก่าแก่และมีอักขระเทวลักษณ์นับไม่ถ้วนติดอยู่บนคมดาบ กำลังฟันใส่ผืนดินแห่งนี้จากท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ม่านตาของลู่เซิ่งหดตัวลงในทันใด ก่อนจะมองไล่จากด้านซ้ายไปด้านขวาเพื่อตามหาขีดจำกัดความกว้างของคมดาบ
ทว่าดาบดำกลับวางขวางท้องฟ้า แบ่งท้องฟ้าจากหนึ่งเป็นสอง มองไม่เห็นขอบโดยสิ้นเชิง
กลางท้องฟ้ามีเสียงเพลงเก่าแก่ที่เศร้าโศกและทอดยาวดังมาอย่างต่อเนื่อง ลมร้อนลวกล่องลอยตามมา
‘ท้องฟ้าเอย…เหตุใดจึงลงโทษเผ่าพันธุ์เราขนาดนี้…ภูเขาผลึกสีม่วงช่างศักดิ์สิทธิ์และงดงามถึงเพียงนี้ แต่ทุกสิ่งที่สวยงามล้วนต้องถูกฝังกลบด้วยดาบคมที่แบ่งแยกฟ้าดินนี้’
ลู่เซิ่งมองดูคมดาบสีดำค่อยๆ ลดต่ำลง ผ่าชั้นเมฆ และกดทับภูเขาผลึกสีม่วงที่อยู่บนจุดสูงสุด ก่อนจะกดลงไปยังฟ้าดินทีละนิดๆ ท่ามกลางเสียงเพลงอย่างงุนงง
……………………………………….