ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 592 ทางถอย (2)
บทที่ 592 ทางถอย (2)
“ความยุติธรรมอันเด็ดขาดกับคุณธรรมอันเด็ดขาด” ลู่เซิ่งงุนงง นี่เป็นเงื่อนไขอะไรกัน
“คนของทางนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกบูชาหลักการการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม คุณธรรมอันเด็ดขาดที่ว่าก็คือคำสอนที่ค่อนข้างทื่อด้าน ถ้าหากท่านเป็นคนประเภทใดประเภทหนึ่งในสองประเภทนี้ ก็สามารถเลือกเข้าร่วมได้”
ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่จริงๆ
“เลือกสำนักนทีครามก็แล้วกัน จะออกเดินทางตอนไหนหรือ”
“อีกห้าวัน หลังจากข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจะส่งคนมารับท่านเอง คนคนนั้นจะแสดงรอยตราของข้า ท่านจงระวังอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นศัตรู” จวงจิ้วเอ่ยอย่างรวบรัด
“ตกลง”
พอการสื่อสารจบลง ช่องแตกสีเทาก็พลันสลายไป
หินผลึกบนค่ายกลส่วนใหญ่แตกระเบิด เหลือแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่ไม่ถูกใช้งาน
‘การสื่อสารกับจวงจิ้วในครั้งนี้สามารถแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ที่เราเผชิญในตอนนี้ได้แล้ว ถ้าหากราบรื่น สถานการณ์คับขันจะถูกแก้ไขได้เอง’
ลู่เซิ่งโบกมือโปรยปราณมารออกมาเพื่อลบร่องรอยหลงเหลือบนค่ายกล
เขากวาดตามองพลังอาวรณ์ที่เหลืออยู่ของตัวเอง ยังมีอีกหนึ่งแสนเก้าหมื่นกว่าๆ ในโลกใบก่อนใช้ไปส่วนหนึ่ง แต่ภายหลังได้มาเติมอีกบางส่วน จึงพอจะนับได้ว่ารายรับรายจ่ายสมดุล
‘ความเร็วการยกระดับถือว่าเพียงพอแล้ว พลังอาวรณ์พวกนี้ยังไม่ต้องใช้ รอถึงสำนักนทีครามค่อยเอามาใช้กับวิชาที่จะฝึกฝนดีกว่า’
จนถึงตอนนี้เขาค้นพบแล้วว่าวิธีของเครื่องมือปรับเปลี่ยนมีปัญหา
ครั้งนี้ดึงดูดความสนใจมากเกินไป ทำให้พลังการฝึกฝนที่ผิดปกติของเขาถูกเปิดเผยจนเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย
ความจริงยิ่งไปถึงช่วงหลังๆ เท่าไหร่ พลังอาวรณ์ที่จำเป็นสำหรับใช้ยกระดับในเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูก็ยิ่งมากเท่านั้น ประโยชน์ของเครื่องมือปรับเปลี่ยนนี้น่าจะสะท้อนออกมาในตอนที่ใช้เพื่อฝ่าด่านเป็นหลักมากกว่า
โดยใช้พลังอาวรณ์ที่สะสมในเวลาปกติมายกระดับและปรับปรุงพื้นฐานในตอนที่ฝ่าด่าน แล้วทะลวงถึงระดับที่สูงกว่าในครั้งเดียว
ถึงอย่างไร สำหรับตัวเครื่องมือปรับเปลี่ยนเอง ขอแค่ทำเงื่อนไขการพัฒนาทั้งหมดได้ครบ จากนั้นเพียงกดปุ่มก็เพียงพอแล้ว
วิชาไร้ขอบเขตในตอนนี้ใช้พลังอาวรณ์มากเกินไปเพราะเงื่อนไขที่ต้องทำให้สำเร็จในแต่ละระดับค่อนข้างซับซ้อน จึงไม่อาจแสดงความสามารถของเครื่องมือปรับเปลี่ยนได้อย่างเต็มที่
ทว่าถ้าหากมีวิชาที่เป็นระบบไว้ใช้ฝึกฝน ก็จะประหยัดพลังอาวรณ์ในเวลาปกติ แล้วเอามาใช้ในช่วงเวลาสำคัญๆ ได้ นี่เป็นการรับประกันว่าตนจะเหนือกว่าคนร่วมเส้นทางทั่วไปได้
พอนึกได้ดังนี้ ลู่เซิ่งก็เดินออกจากตำหนักเล็ก เวลาห้าวันเพียงพอจะให้เขาจัดการเรื่องราวต่างๆ ในคฤหาสน์ลู่และสำนักมารกำเนิดแล้ว
คนไหนยินยอมจะติดตามเขาไปบ้าง และจะพาคนไปได้มากเท่าไหร่ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา
…
สองสามวันต่อมา ลู่เซิ่งจัดการรวบรวมกำลังคนไปทั่ว หลังจากพิจารณาอย่างละเอียด ก็ตัดสินใจว่าการจากไปในครั้งนี้ นอกจากลูกชายกับเฉินอวิ๋นซีแล้ว เขาจะไม่พาใครไปอีก
ขอแค่ตั้งหลักในสำนักได้สำเร็จ ต่อให้ที่ต้าอินมีปัญหาความขัดแย้งอะไร การใหญ่ก็ไม่มีทางเกิดปัญหา
ทว่าก่อนจะไป ยังต้องจัดการคู่แค้นบางส่วนและเตรียมการส่วนหนึ่งก่อน
ลู่เซิ่งติดต่อกับหลี่ซุ่นซีอีกรอบ ครั้งนี้เจอตัวชายหนุ่มที่เพิ่งออกมาจากการกักตนแล้ว เขาคล้ายจะผ่านความทรมานมาไม่น้อย จึงดูอิดโรยอย่างมาก
พอได้ยินคำไหว้วานของลู่เซิ่ง เขาก็ตอบรับอย่างเต็มใจว่า จะดูแลคนของคฤหาสน์ลู่และสำนักมารกำเนิดให้หลังจากเขาไป
เขาได้ยินเรื่องของราชาอริยะที่หนึ่งมาแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรราชาอริยะที่หนึ่งก็ไม่ถูกกับอาจารย์ของเขาอยู่แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ราชาอริยะที่หนึ่งได้รับบาดเจ็บในตอนนี้ การขอร้องให้อาจารย์ปกป้องคฤหาสน์ลู่และสำนักมารกำเนิดไม่นับเป็นอะไร
ความจริงที่ลู่เซิ่งตามหาตัวเขาเป็นเพียงการรับประกันไว้ก่อนเท่านั้น ที่พึ่งที่แท้จริงของเขาไม่ใช่หลี่ซุ่นซี
เวลาห้าวันผ่านไปในพริบตา ลู่เซิ่งจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้บอกคนรอบๆ ตัวว่าตนเองกำลังจะจากไป เพียงแต่บอกใบ้ให้พวกเขารู้อย่างเรียบง่ายเท่านั้น
เวลาพลบค่ำวันที่ห้า ในที่สุดคนที่จวงจิ้วส่งมาก็มาถึงแล้ว
…
ทะเลทรายรกร้างแห่งหนึ่งในแคว้นนวกระจ่าง
ก้อนหินสีเหลืองบางตากลิ้งไปทั่วบริเวณ แร้งทะเลทรายหลายตัวที่เกิดการกลายพันธุ์กระพือปีกสีดำพลางส่งเสียงกรีดร้องอย่างเศร้าสร้อยอยู่บนต้นไม้ห่างออกไป
ท้องฟ้าไร้เมฆ ผืนดินเป็นสีเหลืองหม่น อากาศร้อนลอยขึ้นและบิดเบี้ยว พร้อมกับห่อหุ้มน้ำทั้งหมดบนผืนดินเอาไว้
รอบก้อนทรายสีเหลืองขนาดยักษ์ที่กองเต็มถ้ำ ลู่เซิ่งที่สวมผ้าคลุมบดบังร่างท่อนบนมองดูขอบฟ้าที่อยู่ไกล
เวลาค่อยๆ ผ่านไป แสงอาทิตย์สีเหลืองมืดสลัวลงอย่างช้าๆ
ไม่ทราบว่าใบไม้แห้งสีดำเล็กๆ ส่วนหนึ่งล่องลอยอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่งตั้งแต่ตอนไหน
ใบไม้แห้งหนาแน่นขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ใบไม้แห้งสีดำจำนวนมากกองสุมกันกลายเป็นร่างมนุษย์ด้านหน้าลู่เซิ่ง
“ข้ามารับท่านในนามของราชามารสวรรค์ลำดับที่ห้า ท่านคือราชาหมาป่าหรือ” ผู้มาเหมือนไม่มีร่างกาย มีเพียงรูปร่างมนุษย์ที่ใช้ใบไม้แห้งสีดำกองสุมขึ้นจนสูงเท่ากับลู่เซิ่งเท่านั้น โดยส่งเสียงผ่านเสียงเสียดสีของใบไม้นับไม่ถ้วน
ภาษาที่ใช้พูดคือภาษาภัยพิบัติ
“ใช่ สำนักนทีครามที่ข้าจะมุ่งหน้าไปต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ นอกจากนี้พาคนไปด้วยได้หรือไม่” ลู่เซิ่งถามอย่างเรียบง่าย คลื่นพลังของอีกฝ่ายอย่างมากสุดก็เป็นระดับอริยะเจ้า ไม่นับเป็นอะไร
“สำนักนทีครามไม่ได้ดูแลที่นี่ ทางที่ดีท่านควรจะถอยไปดีกว่า นอกจากนั้น จะได้รับความสำคัญจากสำนักนทีครามหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าตัวท่านมีพลังและศักยภาพหรือไม่” มนุษย์ใบไม้ตอบเบาๆ
“เข้าใจแล้ว ยังมีอีกคำถาม ถ้าหากเข้าสำนักนทีครามแล้ว จะไม่สามารถถอยออกมาได้อีกแล้วใช่ไหม” ลู่เซิ่งถามอีก
“หลังจากกลายเป็นศิษย์หลักแล้ว จะไม่สามารถลาออกได้ ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาหลักไม่สามารถลาออกได้ ที่เหลือก็แล้วแต่ท่าน สำนักดั้งเดิมเหล่านี้มีหลายสำนักที่เป็นตลาดการแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่ ถ้าท่านไปถึงก็จะเข้าใจเอง” มนุษย์ใบไม้เอ่ย
“เข้าใจแล้ว อย่างนั้น ถ้าข้าไปตอนนี้ จะกลับมาได้อีกเมื่อไหร่” ลู่เซิ่งถามเป็นครั้งสุดท้าย
“ขอแค่ค่ายกลส่งตัวทำงานราบรื่น ท่านก็จะกลับมาได้ตลอดเวลา สำนักนทีครามอยู่ใกล้กับดาวเคราะห์ดวงนี้มาก” มนุษย์ใบไม้เอ่ยอย่างรวบรัด “ถ้าหากท่านต้องการ ท่านไปแล้วกลับมาในตอนที่ดึกๆ ก็ยังได้ ทักษะของที่นี่ไม่มีความสามารถสะกดการส่งตัว”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งทราบคร่าวๆ แล้วว่าดาวปรภพอยู่ในระดับใดในสายตาของอีกฝ่าย
คิดไปคิดมาก็ไม่น่าแปลก ในฐานะดาวเคราะห์เพาะเลี้ยงของมารดาแห่งความเจ็บปวด ดาวปรภพไม่ได้มีการกระจายวิชาการสืบทอดที่สูงล้ำ วิชาที่หมุนเวียนล้วนเป็นสิ่งที่โลกแห่งความเจ็บปวดอนุญาตเท่านั้น หนำซ้ำยังเป็นวิชาที่มีช่องโหว่เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อการเก็บเกี่ยวของพวกเขาด้วย
ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ความจริงต้าซ่งกับต้าอินไม่มีข้อแตกต่างอะไรกัน เพราะเป็นเพียงโคเนื้อที่ไม่มีความสามารถต้านทานโลกแห่งความเจ็บปวดเหมือนกัน
“เอาล่ะ หยุดชักช้าได้แล้ว ไปเถอะ รีบไปรีบกลับ สำนักนทีครามอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ข้าจะพาท่านไป” มนุษย์ใบไม้แบ่งมือข้างหนึ่งออกมาจับไหล่ของลู่เซิ่ง แล้วกระโดดขึ้นด้านบนเบาๆ
ฟ้าว!
หลังจากด้านหน้าพร่ามัวสักพักหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าลู่เซิ่งคือทางเชื่อมเก่าแก่โบราณที่มีฉากกันลมสีดำนับไม่ถ้วนตั้งอยู่สองฟากข้าง
เขาเหลียวมองรอบๆ นอกจากทางเชื่อมด้านหน้าแล้ว ทิศทางที่เหลือล้วนเป็นความมืดมิด
“ยินดีต้อนรับ ที่นี่เป็นอุโมงค์ทางเข้าสำหรับศิษย์ที่จะเข้าสำนักทั่วไปของสำนักนทีคราม สิ่งที่ท่านต้องทำในตอนนี้ คือเดินบนเส้นทางเส้นนี้โดยใช้เวลาที่สั้นที่สุด ผลทดสอบของที่นี่จะกำหนดระดับสถานะหลังจากท่านเข้าสำนัก” เสียงสตรีที่อ่อนหวานดังขึ้นจากรอบๆ ทางเดินอย่างเชื่องช้า
“จุดสิ้นสุดของอุโมงค์คือหอฟ้าเมฆา หนึ่งในสถานที่ลับของสำนักนทีคราม”
ลู่เซิ่งมองดูฉากกั้นสีดำสองฟากข้าง บนฉากกั้นไม่มีอะไรเลย มีแค่ผ้าสีขาวเท่านั้น
“ใต้เท้าราชามารสวรรค์เตรียมการไว้ให้ท่านแล้ว ไปเถอะ ไม่ว่าท่านจะสอบได้คะแนนเท่าไหร่ ผู้คุมสอบก็จะเขียนชมเชยท่านอยู่ดี” มนุษย์ใบไม้กระซิบข้างหูเขา
“ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้าช้าๆ เขาสัมผัสได้ถึงสายตาหลายสายที่จ้องมองออกมาจากหลังฉากกั้นรอบๆ แสดงให้เห็นว่ามีคนหลายคนกำลังมองดูตนอยู่
หลังใคร่ครวญเล็กน้อย เขาก็ก้าวเดินไปด้านหน้า ก่อนจะเข้าสู่ทางเชื่อมในไม่กี่ก้าว
“นี่เป็นการทดสอบพิเศษ ราชามารสวรรค์จัดการให้สำนักนทีครามเป็นการเฉพาะ พวกเขาจึงรู้จักพลังของท่านในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นไม่ต้องซ่อนไว้ จงแสดงออกมาให้เต็มที่ ให้พวกเขาได้เห็นคุณค่าของท่าน” มนุษย์ใบไม้ส่งเสียงเตือนอีกรอบ
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
…
สำนักนทีคราม หอฟ้าเมฆา
ในห้องควบคุมค่ายกลที่อยู่บนชั้นสามของหอสีแดงอ่อนที่เก่าแก่โบราณ
เซียนถาอวี่ที่ยกขาขึ้นพาดบนแท่นพันคันฉ่องอย่างเกียจคร้านหาวขึ้นครั้งหนึ่ง ไม่สนใจปุ่มที่เขียนตัวหนังสือมากมายด้านบน
“ลุงทุนลงแรงจริงๆ งานรับสมัครศิษย์ใหม่ผ่านไปตั้งปีกว่าแล้ว ตอนนี้อยู่ๆ เราต้องเปิดค่ายกลทดสอบเพื่อคนคนเดียว ใครกันช่างหน้าใหญ่นัก”
นางเพิ่งกลับมาจากดวงดาวชายขอบ ก็เห็นภารกิจพิเศษที่ได้ค่าตอบแทนที่มั่งคั่งนี้ทันที จากนั้นก็ฉกชิงมาได้อย่างว่องไว
“พี่ใหญ่ มีเส้นเชื่อมจิตจากภายนอกอยู่เยอะเลย ดูเหมือนน่าจะเป็นบุคคลแกนหลักที่พวกผู้ยิ่งใหญ่ให้ความสนใจ พวกเราควรอ่อนข้อให้หรือไม่” นักศึกษาหัวล้านที่หล่อเหลาคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองหน้าอกหน้าใจใหญ่โตของเซียนถาอวี๋ พร้อมกับกลืนน้ำลายและพูดเบาๆ
“อ่อนข้อให้หรือ ปัญหาอ่อนหรือไง” เซียนถาอวี่ตบหัวนักศึกษาคนนั้นดังเพียะ
“เห็นไหมว่าอะไรเขียนอยู่บนหน้าไอ้หมอนั่น รวย! ข้ารวยโว้ย! คนที่เขียนคำพูดว่า ‘เบื้องหลังข้ามีเจ้านาย’ ไว้บนหัวพรรค์นี้ เจ้ากล้าเล่นแง่กับเขาหรืออย่างไร”
ถาอวี่กล่าวอย่างหงุดหงิด “ถ้าเบื้องบนไม่ดูแลเป็นพิเศษล่ะก็ พวกเราต้องดำเนินการอย่างยุติธรรม ไม่เอนเอียงไปทางไหน เอาล่ะ เปิดค่ายกลมาตรฐานได้เลย”
“เดี๋ยวก่อน!” อยู่ๆ เสียงบุรุษที่อ่อนโยนก็ดังมาจากนอกประตู ประตูเปิดออก สลักค่ายกลหลายสายถูกปลดโดยอัตโนมัติ
ไม่นานนักบุรุษที่สวมชุดเกราะสีดำแดงก็เดินเข้ามาในห้องควบคุม
“มาช้าไปหน่อย ขอโทษที นอกจากนี้ ทางมารดาแห่งความเจ็บปวดมีความผิดปกติ คนคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา บนตัวเขามีรอยตราแห่งความเจ็บปวดอยู่ด้วย!” บุรุษเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“รอยตราแห่งความเจ็บปวดหรือ ลบทิ้งก็พอแล้วนี่ ขอแค่ไม่ใช่ระดับสูงสุดก็พอ” ถาอวี่เอ่ยอย่างงุ่นง่าน
“ประเด็นสำคัญไม่ใช่ตรงนั้น ประเด็นก็คือ คนผู้นี้ครอบครองความลับใหญ่ ใช้เวลาแค่สิบกว่าปีก็ผงาดจากคนธรรมดาคนหนึ่งจนถึงระดับชูศัสตราได้แล้ว” บุรุษหยีตามองภาพเสมือนของลู่เซิ่งที่อยู่ในกระจกบนฐานพันคันฉ่อง “คนคนนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก่อนเข้าสำนัก กลับมีความคิดใช้ขุมกำลังของสำนักนทีครามต้านทานแรงกดดันจากโลกแห่งความเจ็บปวด มีเจตนายากหยั่งถึง แถมยังเห็นแก่ตัวอย่างมาก”
“อ้าว มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” เซียนถาอวี่งุนงง ยกขาลงวาง แล้วลุกขึ้นจัดผมยาวสีเงิน “อย่างนั้นเบื้องบนเตรียมจะจัดการอย่างไร”
“มีอาจารย์ลุงอาจารย์อาระดับลวงตารออยู่ที่ปลายทางแล้ว เขาจะต้องมอบความลับที่ซุกซ่อนไว้ให้กับเบื้องบน การเข้าร่วมสำนักนั้นทำได้ แต่ในเมื่อความลับบนตัวถูกชิงไป เขาจะต้องคิดแค้นแน่ ในอนาคตต่อให้เติบโตขึ้น ก็คงจะแอบแค้นสำนักเราอยู่”
“ดังนั้น…พวกเจ้าก็เลยคิดฮุบทั้งคนทั้งสมบัติกระมัง” เซียนถาอวี่หัวเราะคิก
“ย่อมไม่” บุรุษผู้นั้นส่ายหน้าน้อยๆ “เบื้องหลังคนผู้นี้มีราชามารสวรรค์ลำดับห้าของโลกสรรพวิญญาณออกหน้าสนับสนุนเอง เจตนาของราชามารสวรรค์คือ สมบัติปล่อยให้เขาเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งมอบให้เรา นอกจากนี้ห้ามไม่ให้ฆ่าเขา จิตวิญญาณของเขาต้องมีประโยชน์แน่…”
แต่ถ้าโลกแห่งความเจ็บปวดมาขัดขวางพอดี จากนั้นพวกเราดันพลั้งมือทำให้เขาได้รับอันตรายเพราะเตรียมตัวไม่พอ ก็เป็นการผลักเรือตามน้ำเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“ศิษย์น้องเจ้ายังชั่วร้ายเหมือนเดิม ผ่านไปตั้งหลายปีไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว” ถาอวี่อดส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ได้
“ศิษย์พี่ชมเกินไปๆ” บุรุษประสานมือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….