ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 595 ถ่วงเวลา (1)
บทที่ 595 ถ่วงเวลา (1)
ณ โลกแห่งความเจ็บปวด
“หอฟ้าเมฆาของสำนักนทีครามหายไปแล้ว!?”
ในส่วนลึกของโบราณสถานสีดำสนิทที่มืดครึ้ม เงาร่างสีดำสนิทที่ประกอบขึ้นจากเงาซึ่งเคลื่อนไหวไปมาพลันลุกพรวดขึ้น
“ขอรับองค์สันตะปาปา”
บุรุษประหลาดหลายคนที่ผมเป็นเงาดำในลักษณะเส้นๆ ยืนอยู่ด้านหน้าเงาดำ ตอนนี้กำลังก้มหน้ารายงาน
“เป้าหมายไม่ทราบใช้ความสามารถอะไรเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์แบบพิเศษในหอฟ้าเมฆาของสำนักนทีคราม แต่กลับปรากฏสถานการณ์ผิดปกติระหว่างการคัดเลือก พวกเราไม่ทราบสภาพการณ์อย่างเป็นรูปธรรม ดาวเคราะห์ที่หอฟ้าเมฆาตั้งอยู่สิ้นสูญโดยสมบูรณ์ ไม่มีข่าวใดๆ ส่งออกมาได้ทัน กลุ่มย่อยที่หงเหยาซึ่งเป็นคนของเราอยู่ก็ไร้ข่าวคราวเช่นกัน”
“รูปสลักมารดาแห่งความเจ็บปวดเล่า” เงาดำถามอีก
“ไม่เจอเช่นกันขอรับ…แต่พวกเราเชื่อว่ามารดาแห่งความเจ็บปวดมีอานุภาพไร้สิ้นสุด รูปสลักจะต้องตกหล่นอยู่ตรงไหนสักที่แน่ เพียงแต่ยังหาไม่เจอเท่านั้น”
พวกเขาตอบเบาๆ
“อย่างนั้นเป้าหมายเล่า”
เงาดำไม่คิดว่าเป็นฝีมือของลู่เซิ่ง ความสามารถการทำลายระดับนี้ อย่าว่าแต่ชูศัตรา ต่อให้เป็นระดับลวงตาก็อย่าคิดถึง มายาพิศวงเองก็มีผู้เข้มแข็งไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้
ดาวเคราะห์ที่หอฟ้าเมฆาตั้งอยู่ถูกทำลายไปแล้ว พลังงานสายนั้นระเบิดอย่างกะทันหันเกินไป เกรงว่าเป้าหมายจะ…” บริวารไม่ได้พูดจนจบ แต่ความหมายชัดเจนมาก คาดว่าคงจะไม่ไหวแล้ว ภายใต้ภัยพิบัติฟ้าที่มีคุณสมบัติทำลายล้างแบบนี้ ด้วยระดับพลังของเป้าหมาย ศพและวิญญาณควรสูญสลายมากกว่า
เงาดำพยักหน้า “คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของการดำรงอยู่ที่ทำลายหอฟ้าเมฆาอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ลงมือ และเจตนาการมากับฉายาของอีกฝ่ายคืออะไร”
เทียบกับความลับของระดับชูศัสตราคนเดียว ตัวตนอันเหี้ยมหาญที่ทำลายหอฟ้าเมฆาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง
เกิดว่าอีกฝ่ายเป็นมารสวรรค์จากโลกใบอื่นที่มาตามหาฐานที่มั่นใหม่ ทั้งสองฝ่ายก็จำเป็นต้องปะทะกัน สงครามจะอุบัติขึ้น
“ขอรับ!”
เหล่าบริวารตอบอย่างรวดเร็ว
…
ครึ่งเดือนต่อมา…
สำนักมารกำเนิด
คฤหาสน์ลู่ว่างเปล่า สำนักมารกำเนิดเหลือคนไม่กี่ร้อยเท่านั้นที่ยึดครองวังมารที่เหมือนกับที่ว่างเปล่าเอาไว้
คฤหาสน์ลู่กับสำนักมารกำเนิดกำลังอพยพ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกตินี้เหมือนได้รับการช่วยเหลือจากขุมกำลังลึกลับ คนส่วนใหญ่อพยพออกจากต้าอินและมุ่งหน้าไปยังต้าซ่งได้อย่างปลอดภัย
รอจนสามสำนักกับขุมกำลังที่เหลือในแคว้นนวกระจ่างรู้สึกตัว ก็ค้นพบว่าขุมกำลังหลักระดับสูงสุดของคฤหาสน์ลู่กับสำนักมารกำเนิดได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรียบร้อยแล้ว
ขุมกำลังใต้สังกัดของราชาอริยะที่หนึ่งตอบสนองทันที ต้องการจะไล่ตามไป กลับถูกหลี่ซุ่นซีนำคนมาขัดขวาง
ร่างหลักของราชาอริยะที่หนึ่งถูกราชาอริยะที่สามขัดขวาง เมื่อซุ่มโจมตีไม่สำเร็จ ก็ได้แต่เดินทางกลับไปแอบตรวจสอบด้วยความเดือดดาล
ทว่าแค่เสียเวลาไปนิดเดียว ก็เกรงว่าขุมกำลังของคฤหาสน์ลู่และสำนักมารกำเนิดคงหายไปจากต้าอินโดยสมบูรณ์แล้ว
แผนการทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างมีระเบียบ แสดงให้เห็นชัดว่ามีการวางแผนไว้แต่แรกแล้ว
เจ้าแห่งอาวุธประกายขั้วโลกไม่มีการตอบกลับใดๆ จนถึงตอนสุดท้าย หลังจากข้อความของลู่เซิ่งถูกส่งไปยังทะเลบูรพา ก็ไร้ข่าวคราวมาโดยตลอด
ในตอนนี้เอง คลื่นหลงเหลือจากการทำลายดาวเคราะห์ของหอฟ้าเมฆาที่อยู่ใกล้ๆ ก็สะเทือนมาถึงต้าอิน ในที่สุดแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมาก็อุบัติขึ้น
ชั่วขณะนั้น คนธรรมดาที่เพิ่งได้พักหายใจจากการโจมตีของวิญญาณร้ายหนีกันจ้าละหวั่น แผ่นดินไหวได้ทำลายสิ่งก่อสร้างระดับสูงเกือบหกส่วนในเมืองต้าอินทิ้ง ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ในสถานการณ์แบบนี้ สามสำนักและสามตระกูลละวางความแค้นและร่วมมือกันชั่วคราว ทั้งยังบรรลุข้อตกลงสงบศึกกับพิภพมาร
ทั้งสองฝ่ายส่งทัพออกมาช่วยเหลือ แต่ว่าภัยพิบัติที่ยุ่งยากยิ่งกว่ากำลังจะมาถึงแล้ว…
การเก็บเกี่ยวของโลกแห่งความเจ็บปวดเริ่มต้นก่อนเวลาเพราะแผ่นดินไหวครั้งนี้…
เกิดความโกลาหล วันสิ้นโลกมาถึง ในเวลาแบบนี้ เรื่องเล็กๆ อย่างการหายตัวไปของสำนักมารกำเนิดและตระกูลลู่จึงถูกลืมเลือนในพริบตา
ภัยพิบัติมากมายที่ประดังประเดเข้ามาได้ทำให้มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวปรภพดวงนี้ทุกข์ทรมานแสนสาหัส
…
ชายแดนต้าซ่ง
กลางป่าเขาลำเนาไพรที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกคลื่น
ขบวนรถของตระกูลลู่ซึ่งบรรทุกสัมภาระ กระเป๋าเดินทาง และอาหารแห้งจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของรัฐต้าซ่งอย่างช้าๆ
“ซุ่นซี ส่งถึงที่นี่ก็พอแล้ว หลายวันมานี้ดีที่เจ้าคอยช่วยเหือ ไม่อย่างนั้น…” ลู่เฉวียนอันประสานมือไปทางหลี่ซุ่นซีเพื่อขอบคุณที่อีกฝ่ายลงมือช่วยเหลืออย่างจริงจัง
หลี่ซุ่นซียิ้ม “ไฉนท่านลุงกล่าวเช่นนี้ ครั้งกระโน้นพี่ใหญ่ลู่ช่วยชีวิตข้ามาหลายครั้ง ตอนนี้ข้าอุตส่าห์มีโอกาสตอบแทนเขาแล้ว ในใจมีแต่ความยินดีเท่านั้น”
“เสี่ยวเซิ่งก็คือเสี่ยวเซิ่ง ก่อนที่ความโกลาหลจะมาเยือน เขาก็ได้จัดการความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไว้หมดแล้ว เข้าใจผลได้ผลเสียเป็นอย่างดี” ลิ่วซานจื่อถอนใจขึ้นที่ด้านข้าง
“ท่านลุงวางใจ พี่ใหญ่ลู่เซิ่งมีพลังเหนือธรรมดา คงเป็นเพราะติดขัดเรื่องอะไรบางอย่าง เขาถึงค่อยเลือกอพยพจากต้าอินชั่วคราว สำนักไตรอริยะที่สามของข้ามีคนอยู่ที่ต้าซ่งเหมือนกัน หลังจากไปถึงแล้ว ข้าจัดการให้พวกท่านเข้าพำนักที่เมืองหลวงใหม่ได้” หลี่ซุ่นซีช่วยเหลือจนสุดทาง วางแผนให้พวกคนจากคฤหาสน์ลู่ไว้หมดแล้ว
“เช่นนั้นก็ขอรบกวนหลานซุ่นซีแล้ว” ลู่เฉวียนอันถอนใจ
พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา แต่กลับผ่านการอพยพและการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ สำหรับคนชราที่อดีตเคยอยู่อย่างสงบสุขเช่นพวกเขา นี่ไม่ใช่ข่าวที่ดีนัก
แต่ปัจจุบันตระกูลลู่เป็นบริวารของลู่เซิ่ง พลังของเขาคนเดียวอยู่เหนือกว่าตระกูลลู่ทั้งตระกูล ถ้าไม่จากไปพร้อมกัน คู่แค้นในอดีตของลู่เซิ่งไม่มีทางปล่อยตระกูลลู่ง่ายๆ เด็ดขาด
ราชาอริยะที่หนึ่งก็เป็นเช่นนี้
“ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ไหนหรือ เหตุใดจึงยังไม่กลับมาอีก” ลู่หนิงที่จับมือของเฉินอวิ๋นซีถามด้วยเสียงเล็กๆ เสียงที่ไร้เดียงสาลอยมาไกล ลู่เฉวียนอันกับหลี่ซุ่นซีต่างเงียบงัน ไม่ได้พูดอะไรอีก
ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่อย่างกะทันหัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ลู่เซิ่งยังคงไม่ปรากฏตัว ทำให้เห็นได้ว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงสุดที่ตัวเขาจะถูกลากเข้าไปในเหตุเปลี่ยนแปลงจนปลีกตัวมาไม่ได้
แม้แต่พลังหยั่งรู้ของหลี่ซุ่นซีก็ไม่อาจทำนายทิศทางในอนาคตของลู่เซิ่งได้เช่นกัน
“อย่างนั้น ขอให้รักษาตัวด้วย” หลี่ซุ่นซีประสานมือไปทางลู่เฉวียนอันอย่างจริงจัง
“หลานชายกลับไปเถอะ” ลู่เฉวียนอันถอนใจพร้อมกับหมุนตัวขึ้นรถ จากนั้นขบวนรถก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงในเขตต้าซ่ง
ขบวนรถที่เหมือนกับงูสีเทาเคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ และเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไปในสายหมอกที่ขมุกขมัวบนภูเขาโดยสมบูรณ์
หลี่ซุ่นซีค่อยละสายตากลับมา
“จัดการเสร็จแล้วหรือยัง” เงาพร่ามัวสายหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างเขาอย่างช้าๆ
“ขอรับท่านอาจารย์” หลี่ซุ่นซีพยักหน้า “พี่ใหญ่ลู่มีบุญคุณช่วยชีวิตข้าหลายต่อหลายครั้ง บุญคุณนี้ไม่เคยได้ตอบแทน วันนี้นับว่าใช้คืนนิดหน่อยแล้ว นี่เป็นผลกรรมของศิษย์เอง”
เงาลวงพยักหน้าเล็กน้อย
“เจ้าได้รู้ความจริงแล้วว่าพวกเราล้วนเป็นวัวเป็นแกะที่อยู่ใต้แส้ของมารดาแห่งความเจ็บปวด วันแห่งการเก็บเกี่ยวกำลังจะมาถึง เจ้าต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมได้แล้ว”
หลี่ซุ่นซีพยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านอาจารย์ ทางท่านเจรจาเรียบร้อยแล้วหรือ”
“จัดการเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อทุกชีวิต หรือเพื่อตัวเจ้าเอง ครั้งนี้ไม่ว่าเพราะอะไร เจ้าก็ต้องอดทนไว้” เงาลวงกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้ารู้…ข้ารู้ดี…” หลี่ซุ่นซีพึมพำพลางหวนนึกได้ว่าตนหนีมาตลอดชีวิต วันที่สุขสงบคือตอนที่ไม่รู้อะไรเลย และตอนที่ได้รับการคุ้มครองอยู่ใต้ปีกของพี่ใหญ่ลู่
เวลาสองช่วงนี้ เป็นเวลาที่เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่สุด
“ผู้อาวุโสชงหยวนกับฝ่าบาทอันซา…คิดดิ้นรนจากทุกสิ่งนี้เพราะอะไรกัน” อยู่ๆ หลี่ซุ่นซีก็ถาม
เงาลวงนิ่งไป
“ตอนที่เจ้ารู้ว่าทุกสิ่งที่ประเทศของเจ้าปกครองล้วนเป็นแค่สิ่งที่คนอื่นบริจาคให้ และรู้ว่าคนอื่นๆ สามารถช่วงชิงทุกสิ่งของเจ้าไปได้ง่ายๆ ตลอดเวลา เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”
“ความจริงข้า…ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง” หลี่ซุ่นซีแสดงสีหน้าจนใจ
…
ใบไม้สีเขียวทรงรีกลุ่มหนึ่งบังอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง
แสงอาทิตย์สาดลอดออกมาจากเส้นของใบ พร้อมกับนำพาความเขียวขจีที่มีชีวิตชีวามาด้วย
‘…วิชาเก็บกลิ่นอายที่เรียนรู้ถึงขีดสูงสุดกลายเป็นวิชาแกล้งตาย ประสิทธิผลไม่เลวแฮะ’
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ใบไม้ร่วงหล่นออกจากใบหน้าของเขา เขาสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดจนทำให้เขาประเมินการคุกคามไม่ได้ปกคลุมท้องฟ้าของที่นี่เอาไว้
เขาไม่รู้ว่ากลิ่นอายนี้แข็งแกร่งขนาดไหน แต่จะต้องแข็งแกร่งกว่าเขามากๆ แน่นอน
กลิ่นอายของพลังสายนี้เหมือนจะกดทับเขาจนแหลกสลายได้ตลอดเวลา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” บุรุษที่มีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชานั่งยองๆ อยู่ด้านข้างเขา แสงสีเขียวบนมือดับลงอย่างช้าๆ
บุรุษสวมชุดคลุมสีเขียวครึ่งตัวแบบไม่มีแขนเสื้อ บนชุดคลุมปักลวดลายรวงข้าวสาลีและใบไม้เอาไว้หยาบๆ มัดรวบผมยาวเป็นหางม้า ขนคิ้วจางมาก สีผิวขาวผ่อง ให้ความรู้สึกอ่อนแอที่ไม่เห็นแสงอาทิตย์มานาน
“ข้าช่วยเจ้าไว้ ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องจ่ายเงินค่ารักษาทั้งหมดให้ข้า ขณะเดียวกันยังต้องจ่ายค่าเสียเวลาทำสมาธิที่ข้าเสียไปเพื่อเจ้าด้วย” บุรุษเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้าคำนวณแล้ว ทั้งหมดคือเงินน้ำแข็งราวสามร้อยยี่สิบตามเกณฑ์มาตรฐาน” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เอ่อ…” ลู่เซิ่งมึนงงอยู่บ้าง เงินน้ำแข็งคืออะไรกัน ดูจากกฎฟ้าดิน ที่นี่เพียงแค่มีสภาพอากาศแตกต่างกันเท่านั้น เขาน่าจะไม่ได้จุติลงมายังจักรวาลหรือโลกใบอื่น
ยังคงอยู่ในจักรวาลเดียวกับต้าอิน
เพียงแต่สถานที่กลายเป็นที่ไหนกันแน่ กลับไม่แน่ใจแล้ว
“คือว่า…ขอถามได้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน” ลู่เซิ่งฟังออกว่าอีกฝ่ายใช้ภาษาภัยพิบัติ จึงใช้ภาษาภัยพิบัติถาม
บุรุษผุดลุกขึ้น
“นครตราชั่ง ป่าแห่งความสับสนเขตที่สี่ ที่นี่คือมุมตะวันออกเฉียงเหนือของป่าแห่งความสับสน ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน และไม่ได้อยากรู้ เอาล่ะ จ่ายเงินมาได้แล้ว ข้าเป็นหมอ ย่อมต้องเก็บเงินหลังจากช่วยคน”
“เอ่อ…” ลู่เซิ่งสับสนเล็กน้อย เหตุใดถึงกระโดดจากหอฟ้าเมฆามาถึงนครตราชั่งได้
“ถ้าหากเจ้าไม่มีเงิน เช่นนั้นก็ทำงานชดใช้เถอะ ข้าต้องการลูกมือมาช่วยรวบรวมสมุนไพรพอดี” บุรุษกล่าวอย่างราบเรียบ
“ข้าไม่มีเงินจริงๆ ถ้าท่านต้องการ ข้าสามารถทำงานชดใช้ได้” ลู่เซิ่งรีบเอ่ย
“เช่นนั้นก็จงลุกขึ้นมา ข้าเป็นผู้รักษาที่มีใบรับรองอาชีพในนครตราชั่ง ต่อให้เป็นลูกมือข้าก็ไม่ใช่งานง่ายๆ หรอกนะ ตามข้ากลับที่พักก่อนก็แล้วกัน” บุรุษนำหน้าเดินไปยังส่วนลึกของป่ารกชัฏ
ลู่เซิ่งยืดเหยียดแขนขา รู้สึกว่าบนร่างกายไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ แถมจิตวิญญาณยังคงคึกคักและแข็งแกร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อนอีกต่างหาก
การเดินทางข้ามมิติในครั้งนี้ แม้เขาจะเคยทดลองใช้รูปสลักอีกาตัวนั้นในความเป็นจริงมาก่อนจนทราบว่า สามารถใช้มันข้ามมิติในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนั้นได้จริงๆ แต่เวลาใช้จริงๆ เขากลับประเมินอานุภาพอันแข็งแกร่งของวังวนมิติเวลาผิดไป
รูปสลักป่นเป็นผุยผงกลางทาง เป็นเหตุให้กระบวนการข้ามมิติขาดตอนลง เขาจึงหล่นออกมา จิตวิญญาณได้รับการสั่นสะเทือนในพริบตาที่มิติเวลาบิดเบี้ยว ก่อนจะหมดสติไป
รอจนฟื้นขึ้นมาก็ได้มาโผล่ที่นี่แล้ว
……………………………………….