ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 596 ถ่วงเวลา (2)
บทที่ 596 ถ่วงเวลา (2)
ลู่เซิ่งเป็นกังวลเล็กน้อยขณะมองเงาหลังของบุรุษตรงหน้า
‘ไม่รู้ว่าแผนการจะดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่ ถ้าราบรื่น เผ่าอินทรีราชสีห์แปดเศียรไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แน่ แต่ว่าปกติแล้วตัวตนที่แข็งแกร่งต่างก็ใช้จิตวิญญาณมาแบ่งแยกสิ่งมีชีวิต คงจะยัดความผิดให้จวงจิ้วได้ไม่นานนัก แต่ขอแค่ให้เจ้าเสี่ยวปาสร้างความเสียหายให้แก่หอฟ้าเมฆามากพอ จนสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน ก็จะผูกแค้นได้มากพอแล้ว’
ลู่เซิ่งไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากอาศัยการระบายความโกรธของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรในการแกล้งตายเพื่อหลบหนี
ไม่ว่าจะเป็นจวงจิ้วหรือหอฟ้าเมฆา ก็ล้วนเป็นตัวตนที่เขาสู้ไม่ได้ทั้งสิ้น ดังนั้นหากจะหลบหนีให้สำเร็จโดยไม่เปิดเผยความลับ วิธีการที่ดีที่สุดคือการสูญสลายหายไปโดยสมบูรณ์
ส่วนการคิดบัญชีของสำนักนทีครามกับจวงจิ้วที่จะตามมา เขาได้จัดการให้ครอบครัวและมือดีในสำนักแอบอพยพเพื่อป้องกันทุกอย่างนี้และถ่วงเวลาไว้แล้ว
ตอนแรกลู่เซิ่งไม่คิดจะปิดบังนานเกินไป ในทางกลับกันขอแค่มีเวลาสำหรับใช้ในการเพิ่มระดับได้มากพอ เพียงครู่เดียว เขาก็จะเพิ่มได้ถึงระดับอันแข็งแกร่งที่จวงจิ้วเป็นอยู่ได้แล้ว เรื่องนี้เขาเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
‘เราใช้การประสานของคลื่นอัญเชิญอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรออกมาชั่วคราว ถ้าหากเป็นไปด้วยดี หลังจากสิ่งมีชีวิตระดับราชันชนิดนี้พบว่าเราดับสูญไปแล้ว จะต้องระบายความโกรธไปที่ขุมกำลังของสำนักนทีครามและจวงจิ้วแทนแน่ เมื่อเป็นแบบนี้ จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่เลวอย่างยิ่ง…’ ลู่เซิ่งจำลองทิศทางที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ในใจ
กลับไม่ทราบเลยว่าทิศทางที่แท้จริงจะราบรื่นกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
จวงจิ้วเสียร่างแยกไปร่างหนึ่ง สำนักนทีครามเสียหอฟ้าเมฆากับดาวเคราะห์ไปดวงหนึ่ง ส่วนอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรเนื่องจากภาพเสมือนถูกฆ่า ข้อมูลที่ได้รับจึงไม่สมบูรณ์
ท้ายสุดก็ปิดบังความจริงที่ว่าเขาเป็นคนอัญเชิญอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ผลลัพธ์โดยตรงที่เกิดขึ้นก็คือ สามขุมกำลังรวมถึงโลกแห่งความเจ็บปวดถูกร่างหลักของเสี่ยวปาที่เป็นอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรตรึงเอาไว้ ขณะที่เกิดความเสียหายอย่างสาหัส ก็ไม่กล้าไปหาเรื่องมัน
ในนภาดาว เผ่าอินทรีราชสีห์แปดเศียรขึ้นชื่อเรื่องความชั่วร้าย พวกมันมีพลังอันเหี้ยมหาญและพรสวรรค์ที่น่ากลัว กอปรกับมีนิสัยดุร้าย เหยียดหยามสรรพสัตว์ ยกคางมองคนมาตั้งแต่เกิด
ที่แล้วมามีแต่พวกมันมาหาเรื่องคนอื่น แต่ครั้งนี้เป็นคนอื่นหาเรื่องพวกมัน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปี
ดังนั้นบทสรุปจึงสมบูรณ์แบบชนิดอยู่เหนือความคาดหมายของลู่เซิ่งเสียอีก เขาไม่ทันได้ใช้วิธีการที่เหลือ ก็แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา ก่อนจะมองไปยังเงาร่างของบุรุษตรงหน้า
“ท่านหมอ ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไรดี” เขาถามอย่างมีมารยาท
“ถูจิน เรียกข้าว่าถูจิน” บุรุษตอบอย่างไร้อารมณ์
“ข้าลู่เยวี่ย” ลู่เซิ่งหัวเราะ “ท่านหมอเรียกข้าว่าลู่เยวี่ยก็ได้”
“ลู่เยวี่ยใช่ไหม รู้จักศาสตร์สมุนไพรหรือไม่”
“เอ่อ…พอจะรู้นิดหน่อยกระมัง” ลู่เซิ่งไม่แน่ใจนัก ถ้าหากที่นี่เป็นนครตราชั่งซึ่งเป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือกว่าสำนักนทีครามตามที่จวงจิ้วบอกจริงๆ การที่เขามาถึงที่นี่โดยบังเอิญกลับเป็นโอกาสในการยกระดับที่ไม่เลว
ดังนั้นเขาจึงวางแผนว่าจะอยู่ที่นี่และตรวจสอบสถานการณ์อย่างรอบคอบก่อนพูดคุยกับบุรุษผู้นี้
“ช่วยข้าจัดการสมุนไพรก่อนก็แล้วกัน” ถูจินเอ่ยอย่างราบเรียบ
ทั้งสองตัดทะลุป่าเขาผืนใหญ่ ไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านไม้สีน้ำตาลอมเทาหลังเล็กๆ
หน้าประตูบ้านไม้มีบุรุษและสตรีวัยเยาว์ที่ดูอายุไม่เกินสิบกว่าปียืนอยู่สองคน
บุรุษหน้าตาดูดี บุคลิกไม่ธรรมดา ใบหน้าและสายตาต่างฉายแววความคึกคักฮึกเหิม แสดงให้เห็นว่าอยู่ในช่วงกระตือรือร้นที่สุดในชีวิต บนอาภรณ์ผ้าไหมสีเขียวปักอักขระเล็กๆ ไว้สองสามตัวซึ่งแผ่แสงที่ใช้กำจัดฝุ่นละอองออกมาอย่างเลือนราง
เทียบกับบุรุษแล้ว สตรีนางนั้นดูด้อยกว่ามาก ตัวนางเหมือนก้อนกลม ตั้งแต่เอวถึงคอมีแต่ไขมันหนา เวลาขยับตัวจะมีเหนียงโผล่มาสามชั้น
นางสวมกระโปรงเนื้อบางสีขาวซึ่งทำให้ดูเหมือนห่อผ้าเช็ดตัวไว้มากกว่า มัดผมแกละ ให้ความรู้สึกซุกซน แต่พอรวมกับชั้นไขมันที่เป็นก้อนกลมแล้ว กลับขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ
“ท่านพ่อกลับมาแล้วเหรอ!?” พอยัยหนูอ้วนผู้นี้เห็นถูจินกลับมา ก็ซอยขาสั้นๆ สองข้างพุ่งเข้ามาทันที
“อือ วันนี้เก็บผลเสียงครามที่เจ้าชอบกินที่สุดมาด้วย พอให้เจ้ากินวันหนึ่งเลยนะ” สีหน้าของถูจินอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
“ยังพาบุรุษมาด้วยคนหนึ่ง” ยัยหนูอ้วนจ้องมองลู่เซิ่งอย่างสนใจ
น่าเสียดายที่ลู่เซิ่งไม่แสดงบุคลิกเพราะกำลังปลอมตัวอยู่ ตอนนี้จึงเป็นบุรุษหนุ่มธรรมดาทั่วไป ย่ำแย่กว่าบุรุษหน้าประตูบ้านไม้ไม่น้อย
“เขาเป็นคนที่พ่อช่วยเอาไว้ด้วยความบังเอิญระหว่างทาง ไม่พกเงินติดตัว ก็เลยจะมาทำงานเป็นลูกมือเพื่อชดใช้ชั่วคราว” ถูจินกล่าวอย่างราบเรียบ เขาเหมือนไม่รู้ว่าอะไรคือรอยยิ้ม เนื่องจากแสดงสีหน้าราบเรียบเย็นชากับทุกคน อย่างมากสุดก็อ่อนโยนกับลูกสาวของตัวเองเท่านั้น
ปีนี้ถูจินอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว วิชาการรักษาที่มีแบบแผนของเขาพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในรัศมีหลายร้อยลี้
ผู้อยู่อาศัยจำนวนไม่น้อยที่อยู่รอบๆ ต่างรู้ว่าวิชารักษาของเขาผ่านการรับรองอาชีพจากนครหลวงตราชั่งมาแล้ว
แต่ก็เพียงเท่านั้น
เขาเป็นหมอคนหนึ่ง และเป็นแค่หมอเท่านั้น
ในยุคปัจจุบัน คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่มีใครยอมเลือกฝึกฝนวิชาการรักษาที่ยากลำบากแต่ได้ผลช้าถึงขีดสุดอีกแล้ว หากไปฝึกฝนวิชาการสังหารศัตรูและปกป้องตัวเองได้มากกว่า
เหมือนกับเต๋อเฉิงศิษย์เอกของเขาที่ไม่เรียนวิชารักษา แต่แอบไปเข้าร่วมกับสำนักมรรคายุทธ์ที่มีชื่อว่าสำนักเมฆาแดง
ตอนนี้การฝึกฝนของเขามีส่วนสำเร็จแล้วเล็กน้อย ทำให้ทะนงตนขึ้น
นี่คือสภาพสังคมในปัจจุบัน สำนักค่ายพรรคต่างๆ มีวิธีการฝึกฝนมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นวิชาการรักษาธรรมดาๆ วิชาหนึ่งซึ่งโดดเด่นแค่นิดหน่อยจึงไม่มีใครเห็นค่า
ถูจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เซินเซินลูกสาวของตนเองก็ไม่สนใจ เกรงว่าวิชาการรักษาที่มีแบบแผนจะมาสิ้นสุดที่ยุคของตนนี่เอง…
“เต๋ออวิ๋นเล่า” ถูจินเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจศิษย์คนโตที่ยืนทำหน้าประดักประเดิดอยู่ตรงประตู หากถามถึงเต๋ออวิ๋นศิษย์คนที่สอง หรือศิษย์อีกคนของตัวเอง
“ขอรับอาจารย์!” ชายฉกรรจ์หยาบกระด้างตัวดำที่มีใบหน้าใสซื่อคนหนึ่งรีบพุ่งออกมาจากในบ้าน มือถือสมุนไพรสีครามที่มีรากติดอยู่ด้วยกำหนึ่ง
“กำลังจัดการหญ้าสหัสอาทิตย์อยู่ขอรับท่านอาจารย์”
“ดี ทำต่อไป อย่าโอ้เอ้” ถูจินพยักหน้าและโบกมือ
บัดนี้มีแต่เต๋ออวิ๋นศิษย์คนรองที่ทำให้เขาอารมณ์ดีอยู่บ้าง
แม้เต๋ออวิ๋นจะมีพรสวรรค์ไม่พอ แต่ความขยันสามารถชดเชยข้อบกพร่องได้ ไม่แน่ว่าภายหลังจะมีโอกาสได้ครอบครองวิชารักษาที่มีแบบแผนได้อย่างแท้จริง
เขาพาลู่เซิ่งเดินเข้าไปนั่งลงกลางบ้าน
เซินเซินผู้เป็นลูกสาวกับเต๋อเฉิงศิษย์คนโตเข้ามาเงียบๆ แล้วแยกกันยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ
“ตามเกณฑ์ปกติ ข้าใช้ยาน้ำค้างหวานเพื่อรักษาเจ้า เจ้าต้องทำงานให้ข้าหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดวัน เทียบเท่ากับต้องจัดการหญ้าแมลงแปลงหยกเกือบสามร้อยต้น”
“ไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งตอบรับอย่างเต็มใจ
“ไม่มีปัญหาเหรอ อย่างนั้นข้าจะแนะนำสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง” ถูจินกล่าวต่อ
ไม่นานลู่เซิ่งก็เข้าใจอย่างคร่าวๆ ผ่านน้ำเสียงราบเรียบประจำตัวของอีกฝ่ายว่า ตนเองที่เจออุบัติเหตุเข้าโผล่มาไกลขนาดไหน
นครตราชั่งมีขนาดใหญ่มาก พื้นที่ใหญ่เป็นสามเท่าของต้าอิน แบ่งออกเป็นสี่อาณาเขต มีผู้อยู่อาศัยในระดับและสถานะต่างๆ กัน อาศัยอยู่ตามลำดับ
ทุกคนต่างไปยังนครหลักได้ผ่านค่ายกลส่งตัวแบบเก็บเงิน และขอการรับรองอาชีพได้ในนครหลัก นอกจากนั้นถ้าหากมีความมั่นใจด้านพลัง จะสามารถรับภารกิจที่นครหลักประกาศได้ ซึ่งหลังจากทำสำเร็จก็จะได้รับคะแนนคุณูปการ รวมถึงมีโอกาสกลายเป็นผู้อยู่อาศัยในนครหลักของนครตราชั่ง
และนครตราชั่งอยู่ห่างจากดาวปรภพ…หลังลู่เซิ่งถามคำถามแบบหยั่งเชิง จึงค่อยทราบว่า ถูจินรู้จักชื่อดาวเคราะห์มากมายรอบๆ นครตราชั่ง เนื่องจากวัตถุดิบยาสูงค่ามากมายแพร่หลายเข้ามาจากสถานที่เหล่านั้น
ดาวปรภพ…เนื่องจากมีการผลิตสมุนไพรที่มีชื่อว่าหญ้าฟ้องร้องเป็นจำนวนมาก ดังนั้นถูจินเลยพอคุ้นหูอยู่บ้าง
คิดจะไปยังดาวปรภพ อย่างน้อยจะต้องใช้ค่ายกลส่งตัวที่ชายขอบดวงดาวสามแห่งถึงจะไปถึงได้
และค่าใช้จ่ายของค่ายกลส่งตัวที่ชายขอบดวงดาว หนึ่งครั้งต้องใช้การสั่งสมทั้งหมดของสำนักเล็กๆ แพงเสียจนสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ที่ได้ยิน
หลังจากรู้เรื่องแล้ว ลู่เซิ่งก็ไม่คิดมากอีก ก่อนที่จะหาวิธีกลับไป อย่างน้อยเขาต้องยกระดับพลังถึงระดับหนึ่งอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็รังแต่จะกลับไปหาที่ตายเปล่าๆ
คุยไปคุยมา ถูจินก็เริ่มบ่นอย่างจนปัญญา เพราะลูกสาวและศิษย์ที่ไม่ตั้งใจเรียนวิชาการรักษาที่มีแบบแผน
แต่ลูกสาวไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร จึงเถียงว่า
“ท่านพ่อ ตอนนี้มันยุคไหนแล้ว ต่อให้พวกเราเรียนวิชารักษาจนใช้เป็นแล้วจะทำอะไรได้ ค่าจ้างของหมอคนหนึ่งที่นครหลักเป็นแค่หนึ่งในสิบของอาชีพต่อสู้เท่านั้น ยาปรุง ยาผง และวิชามากมายต่างมีผลการรักษาในตัวอยู่แล้ว หลายๆ กลุ่มไม่ต้องมีหมอด้วยซ้ำ แต่พวกเขาสามารถรักษาตัวเองได้โดยสมบูรณ์”
“ใช่แล้วขอรับท่านอาจารย์ นี่มันยุคไหนแล้ว ยังเอาแต่ถ่ายทอดวิชาการรักษาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอีก ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้วนะ ยุคสมัยต่างกันแล้วขอรับ” เต๋อเฉิงศิษย์คนโตช่วยกล่าวเสริม
“พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ สิ่งที่พวกเจ้าออกไปร่ำเรียนล้วนเป็นสิ่งที่คนอื่นๆ ร่ำเรียนได้ แต่สิ่งที่ข้าถ่ายทอดนั้นไม่มีที่ไหนอีกแล้ว มีแต่พวกเจ้าที่ใช้ได้!” ถูจินคิดจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเปลี่ยนใจ
“แต่ก็ยึดเป็นการฝึกฝนหลักไม่ได้อยู่ดี มันใช้เวลาเกินไปเจ้าค่ะท่านพ่อ” คำพูดของเซินเซินดับความหวังของถูจิน
“ท่านพ่อทำงานต่อเถอะ ข้ากับศิษย์พี่ขอไปซื้อของในเมืองก่อน” เซินเซินเห็นบิดาตัวเองหน้าเขียวคล้ำ ก็รีบฉุดศิษย์พี่วิ่งออกไปด้านนอก
หลังจากทั้งสองออกไป ในบ้านก็พลันเงียบงัน
ถูจินนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่พูดอะไรอยู่นาน
“ขอถามหน่อย ข้าที่เป็นผู้ช่วยทำอะไรได้บ้าง” ลู่เซิ่งที่รออยู่สักพักอดถามไม่ได้
ถูจินถอนใจแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น “ตามข้ามาเถอะ ถ้าทำได้ดี ข้าจะพิจารณาช่วยเจ้าขอสิทธิ์อยู่อาศัยชั่วคราวให้”
“สิทธิ์อยู่อาศัยชั่วคราวหรือ” ลู่เซิ่งได้ยินคำศัพท์ใหม่อีกครั้ง
“คนจากภายนอกที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างพวกเจ้า ปกติแล้วจะอยู่ที่นี่ได้แค่สามวัน หลังจากนั้นจะถูกระบบกำจัดอัตโนมัติของนครหลักคัดออกไป ถ้าหากคิดจะอยู่ที่นี่ยาวๆ จะต้องได้รับสิทธิ์อยู่อาศัยชั่วคราว” ถูจินเดินไปพลางอธิบายไปพลาง
“มีแต่คนที่สร้างคุณูปการให้แก่นครหลักระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อยู่”
ลู่เซิ่งติดตามเขาเข้าไปยังด้านในตัวบ้าน ก่อนจะมาถึงในห้องเล็กๆ ที่มีสมุนไพรมากมายกองอยู่จนเต็ม
“สมุนไพรที่อยู่ที่นี่ต้องจัดการให้หมด จากนั้นหลังจากข้าขายเสร็จ จะได้รับเงินน้ำแข็งกับคะแนนคุณูปการระดับหนึ่ง คะแนนคุณูปการสามารถแบ่งให้เจ้าได้นิดหน่อย ซึ่งสามารถขยายเวลาอยู่อาศัยของเจ้าได้” ถูจินแนะนำง่ายๆ
“จะจัดการอย่างไร” ลู่เซิ่งถาม
ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็อยู่ว่าง การใช้ช่องทางอย่างถูจินทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของนครตราชั่งแห่งนี้เท่าที่จะเป็นไปได้จึงเป็นกุญแจสำคัญ
“ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังคร่าวๆ สักสองสามรอบ เจ้าดูให้ดีก็แล้วกัน” ถูจินเอ่ยอย่างจริงจัง
“ทิศทางหนึ่งของวิชารักษาที่มีแบบแผนของข้าคือการปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่แทนอวัยวะที่มีปัญหา เพื่อแก้ไขปฏิกิริยาการต่อต้าน ถังเช่าด้ายขาวชนิดนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการปลูกถ่ายอวัยวะ มันเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญในการทำด้ายเย็บแผล วิธีการจัดการนั้น เจ้าดูข้าทำรอบหนึ่งก่อน…”
“การปลูกถ่ายอวัยวะ สามารถปลูกถ่ายอวัยวะได้ทั้งหมดเลยหรือ” ลู่เซิ่งโพล่งถาม
“ได้ทั้งหมด อย่าให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านเกินขอบเขตการควบคุมพลังฝึกปรือของเจ้าก็เป็นอันใช้ได้” ถูจินตอบ
ลู่เซิ่งพลันกระจ่างแจ้ง ตอนแรกเขาเพียงแค่จะทำแบบขอไปที แต่ลักษณะพิเศษของวิชารักษาที่มีแบบแผนนี้กลับสร้างความสนใจให้เขานิดหน่อยแล้ว
……………………………………….