ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 597 วิชาการรักษา (1)
บทที่ 597 วิชาการรักษา (1)
การจัดการถังเช่าด้ายขาวง่ายดายมาก เพียงแค่ต้องใช้วิธีการที่แน่นอนสิบสามขั้นตอน จากนั้นนำไปแช่น้ำสักพักก็พอ
ผู้เริ่มต้นเรียนอาจจะจำกระบวนการทั้งหมดได้อย่างยากลำบาก แต่สำหรับลู่เซิ่ง เมื่อจิตวิญญาณเจ้าแห่งอาวุธที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานของเขาเจอปัญหาเล็กๆ แค่นี้ก็แทบจะง่ายดายยิ่งกว่าการหายใจเสียอีก
ถูจินบรรยายแค่รอบเดียว เขาก็จดจำไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เพื่อไม่ให้สะดุดตาเกินไป เขาจึงถามทวนสามรอบและให้ถูจินแสดงให้ดูอีกรอบหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยเริ่มจัดการด้วยตัวเอง
หลังจากจัดการถังเช่าต้นหนึ่งเสร็จ ถูจินก็พยักหน้าอย่างค่อนข้างแปลกใจและพอใจ
“จงจัดการสมุนไพรพวกนี้ให้เสร็จในสองวัน ไม่มีปัญหากระมัง ทั้งหมดอย่างน้อยต้องได้ระดับนี้” เขาเอ่ยพลางชี้ไปที่ของสำเร็จรูปที่ลู่เซิ่งทำออกมา
“ไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เขาเองก็ต้องการเวลาตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้ๆ นี่พอดี
เวลาสามวัน เพียงพอแล้ว
ถูจินหมุนตัวจากไปหลังจากสั่งงานเสร็จ ทิ้งให้ลู่เซิ่งจัดการถังเช่าด้ายขาวอยู่ในห้องเพียงลำพัง
จากเช้าถึงบ่าย เด็กสาวตัวอ้วนที่ชื่อเซินเซินคนนั้นนำอาหารมาให้ครั้งเดียว หลังจากลู่เซิ่งกินข้าวเสร็จ ก็จัดการถังเช่าด้ายขาวต่ออย่างไม่รีบร้อน
ตอนเขาฝึกฝนมรรคายุทธ์เมื่อก่อนหน้านี้ ก็เคยจัดการสมุนไพรไม่น้อย กระบวนการแค่นี้จึงง่ายดายอย่างยิ่ง
ล่วงเลยถึงตอนค่ำอย่างเชื่องช้า ถึงลู่เซิ่งจะโยกโย้โอ้เอ้ ถังเช่าด้ายขาวทั้งหมดก็ยังคงถูกจัดการจนหมด
เขาผ่อนความเร็วเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ยังอยู่เหนือแผนการที่วางไว้
ตอนดึกถูจินออกไปซื้อของกลับมา พอเปิดประตูห้องเก็บสมุนไพรเพื่อดู ถังเช่าด้ายขาวในห้องกลับถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน ทุกๆ ต้นต่างถูกบรรจุลงในกล่องไม้ใบเล็กๆ ล้วนจัดการตามคำขอของเขา แถมคุณภาพของแต่ละต้นแทบจะไม่แตกต่างกัน
“พวกนี้…เจ้าเป็นคนทำเองหรือ” ถูจินยืนเพ่งพินิจดูลู่เซิ่งอยู่ตรงปากประตู
“อืม ผลลัพธ์ของวันนี้ทั้งวัน ถือว่าตรงตามเงื่อนไขกระมัง” ลู่เซิ่งถามอย่างผ่อนคลาย
ถูจินมองเขาและเงียบเสียงลง ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ส่งเสียง
“ใช้ได้…”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าเป็นผู้ช่วยของท่านได้ไหม” ลู่เซิ่งถามด้วยรอยยิ้ม
ถูจินครุ่นคิด “การต้มยาแบบง่ายๆ เจ้าทำเป็นไหม”
“นิดหน่อยขอรับ”
“ดีมาก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป มาช่วยข้าต้มยา” พูดจบเขาก็หมุนตัวออกจากห้องไป
ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม การเริ่มต้นนี้ไม่เลวอย่างยิ่ง
เช้าตรู่วันต่อมา ถูจินลากสมุนไพรหนึ่งคันรถออกจากประตูอย่างสบายๆ กิจวัตรประจำวันคือออกไปตอนเช้าและกลับมาตอนเย็น
ลู่เซิ่งได้รับภารกิจต้มยาสองสามภารกิจซึ่งง่ายดายเป็นอย่างยิ่งสำหรับตัวเขา ด้วยพลังจิตวิญญาณของเขา การสัมผัสระดับความแรงของไฟในตอนทำน้ำต้มยาจึงง่ายดายเหลือแสน
หลังจากจัดการภารกิจเสร็จ เขาก็เริ่มตรวจสอบและเดินเตร่รอบๆ บ้านไม้
นครตราชั่งมีการสะกดต่อสัมผัสจิตที่รุนแรงมาก จิตวิญญาณระดับเจ้าแห่งอาวุธของเขาขยายออกไปรอบๆ ได้แค่สิบยี่สิบเมตรเท่านั้น จึงเห็นได้ว่าผู้บำเพ็ญทั่วไป แม้แต่การถอดวิญญาณจากร่างก็ยังยากลำบากถึงขีดสุด
แต่ว่าลู่เซิ่งก็ยังสำแดงพลังได้อยู่ดี
เขาสืบจนรู้ว่าที่นี่คือที่ไหนได้อย่างรวดเร็ว
ที่ที่บ้านน้อยของถูจินอยู่มีชื่อว่าตาข่ายเขามังกร ว่ากันว่าที่นี่เคยมีคนใช้ตาข่ายวิเศษจับมังกรได้ตัวหนึ่ง
และเป็นเพราะภูมิประเทศของที่นี่เหมือนกับภูเขายอดแหลม ดังนั้นจึงมีคนเรียกที่นี่ว่าเขาตรึงมังกร
ภูมิประเทศรอบๆ รกร้าง มีแค่ทางตะวันตกที่มีสำนักแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าสำนักเมฆาแดง เป็นสำนักมรรคายุทธ์ที่อยู่ใกล้ที่นี่ที่สุด
ลู่เซิ่งสืบเจอวิธีการอาศัยอยู่ในนครตราชั่งแห่งนี้แล้วเช่นกัน
ความจริงนครตราชั่งเป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่พ่อค้ากลุ่มหนึ่งร่วมมือกับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนหนึ่งในการก่อตั้ง
เหล่าพ่อค้าศรัทธาความยุติธรรมที่เด็ดขาด ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรศรัทธาคุณธรรมที่เด็ดขาด
ทั้งสองฝ่ายพึ่งพาอาศัยกัน สร้างสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมีความยุติธรรมขึ้นมา จึงดึงดูดผู้บำเพ็ญอิสระให้เข้าร่วมได้เรื่อยๆ จากนั้นพวกลูกหลานรุ่นหลังของพวกผู้บำเพ็ญอิสระพากันเพิ่มจำนวนขึ้น
ผ่านไปหลายแสนปี ก็ค่อยๆ พัฒนากลายเป็นโลกใบเล็กๆ ที่แยกตัวเป็นเอกเทศใบหนึ่ง
ลู่เซิ่งสืบได้ความจากชายชราที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ว่า ความจริงผู้ที่นครตราชั่งให้ความเคารพล้วนเป็นคนที่อยู่อาศัยในนครหลวง นอกจากนครหลวงแล้ว คนในสี่เขตต่างเป็นคนชั้นต่ำ เป็นตัวตนอันอ่อนแอที่มีหน้าที่จัดหาและบริการทรัพยากรให้แก่พวกคนในนครหลวง
เมื่ออยู่ที่นี่ สมุดหยกระบุสถานะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากไม่มีสิ่งนี้จะไปไหนก็ลำบาก
และเป็นเพราะคำบอกเล่าของคนที่อยู่รอบๆ ลู่เซิ่งจึงมองเห็นความปรารถนาและความใฝ่ฝันต่อนครหลวงของพวกเขาแล้ว
แต่ถ้าหากต้องการเป็นผู้อยู่อาศัยในนครหลวง จะต้องใช้คะแนนคุณูปการที่เยอะมากจนน่ากลัว มีแต่ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเข้าร่วมศึกที่มุ่งหน้าไปยังต่างดาวเท่านั้น ถึงจะได้รับคะแนนคุณูปการไม่น้อย
หลังจากเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ลู่เซิ่งก็ช่วยถูจินจัดการสมุนไพรและต้มยา ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
ในตอนนี้เอง จดหมายที่ส่งมาจากแดนไกลฉบับหนึ่งก็ทำให้ถูจินทำอะไรไม่ถูก
จดหมายเป็นของลูกสาวและศิษย์คนโตของเขาส่งมา
เต๋อเฉิงศิษย์คนโตได้ชวนให้เซินเซินเข้าร่วมสำนักเมฆาแดงแล้ว ตอนนี้ถึงช่วงเวลาปลาประหลาดทองแดงปล้นสดมภ์ สำนักเมฆาแดงจึงต้องการเรียกศิษย์ไปสู้กับฝูงปลาประหลาดทองแดง
ทั้งสองคนกลัวว่าถูจินจะไม่ยอมให้พวกเขาไป จึงแอบหนีไปโดยทิ้งจดหมายไว้ รอจนถูจินพบ ก็โกรธจนกินอะไรไม่ลงสองวัน
ยังดีที่มีเต๋ออวิ๋นคอยช่วยเหลือ และมีลู่เซิ่งคอยเกลี้ยกล่อม เขาจึงค่อยๆ หายโกรธ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ลานเรือนของบ้านไม้ที่ตอนแรกครึกครื้นก็เงียบงันลง
เวลาผ่านไปทีละวันๆ ลู่เซิ่งได้รับสมุดหยกระบุสถานะที่ถูจินขอให้แล้ว แต่ถ้าอยากขยายสิทธิ์อยู่อาศัยชั่วคราวออกไป ก็จะต้องจ่ายคะแนนคุณูปการจำนวนมากกว่าเดิม
เขารวมคะแนนได้ทั้งหมดสิบสามหน่วย ทั้งหมดได้จากการจัดการสมุนไพร เป็นคะแนนที่ถูจินแบ่งให้เขา
คะแนนสิบสามหน่วยสามารถอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือนครึ่ง
แน่นอนว่า ในเวลาว่างเหล่านี้ ลู่เซิ่งเป็นผู้ช่วยให้เขาไปด้วย และเริ่มเรียนการรักษาเกี่ยวกับอวัยวะที่เป็นโรคในชีวิตประจำวันของถูจินไปด้วย
จุดเด่นของวิชารักษาที่มีแบบแผนปรากฏตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
วิชารักษาที่สืบทอดมานานวิชานี้มีจุดเด่นสองอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด
หนึ่ง คือสามขีดจำกัดใหญ่อันเป็นทักษะลับแสนพิสดารของถูจิน
สอง เป็นการปลูกถ่ายอวัยวะและวิชาการรักษาสำหรับใช้โจมตี
บวกกับวิชาการฝึกฝนเฉพาะตัวที่มีแค่ในวิชารักษาที่มีแบบแผน
ผู้ฝึกฝนสามารถฝึกฝนพลังงานพิเศษสำหรับส่งเสริมวิชารักษาที่ดีที่สุดออกมาได้ พลังงานชนิดนี้ใช้โจมตีไม่ได้ ประสิทธิภาพในการรักษาก็ไม่ค่อยแตกต่างจากวิชาที่มีผลการรักษาพ่วงมาด้วยเท่าไหร่นัก
หลังจากเข้าใจระบบหลักของแบบแผน ลู่เซิ่งก็เข้าใจทันทีว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่มันจะมีส่วนชดเชยและช่วยเหลือระบบมรรคายุทธ์ของตัวเองได้อย่างไม่เลว
นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขายอมข่มใจอยู่ที่นี่
เขาพลิกหาทั่วบ้าน แต่แม้ถูจินจะไม่อยู่ ลู่เซิ่งก็ยังคงไม่เจอวิชาหลักของที่นี่อยู่ดี เขาทดลองใช้วิชาจิตบำบัดดู แต่ก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นได้แต่ตัดความคิดจะไปจากที่นี่หลังจากได้วิชาทิ้งไป
น่าเสียดายที่เขาเกิดความสนใจต่อวิชารักษาที่มีแบบแผน ซึ่งต้องทำให้ถูจินยินยอมสอนให้เท่านั้น ลู่เซิ่งใช้ทุกวิธีการและกำลังรอโอกาสอยู่
เวลาล่วงเลยผ่านไปช้าๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าๆ แล้ว
…
ถูจินอึดอัดคับข้องใจ
พอมาถึงยุคสมัยนี้ สิ่งที่เขาได้ร่ำเรียนมา แม้แต่คนที่ยินยอมเรียนก็ไม่มีสักคนเดียว นี่มันเป็นการประชดประชันต่อวิชารักษาที่มีแบบแผนของเขาชัดๆ
วิชารักษาอันยอดเยี่ยมที่เขาภาคภูมิใจมาโดยตลอด ดูเหมือนจะกลายเป็นขยะล้าหลังแห่งยุคสมัยไปแล้วเมื่อมาถึงยุคนี้
เขานั่งอยู่ในโถงใหญ่ของบ้านไม้ มือถือกล้องยาสูบไว้เอียงๆ กำลังสูดควันทีละคำๆ
เต๋ออวิ๋นจัดการน้ำสมุนไพรเหนียวๆ ที่ผุดฟองสีแดงอยู่ทางขวามือของเขา
ลู่เยวี่ยอยู่ทางซ้ายมือของเขา กำลังจัดการใบของโบตั๋นม่วงที่แพงหูฉี่อยู่
“วันนี้ต้องการให้พวกเจ้าช่วยข้าจัดการของยุ่งยากชิ้นหนึ่ง จำวิชาต้นกำเนิดหย่อมเมฆาที่บรรยายไปเมื่อวานได้หรือยัง” ถูจินถอนใจ ก่อนกล่าวถาม
“จำได้แล้ว” “จำไม่ได้ขอรับ…”
ลู่เยวี่ยกับเต๋ออวิ๋นให้คำตอบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้ถูจินต้องนวดเบ้าตาด้วยความจนปัญญา
ตอนแรกเขายังทนความโง่ของเต๋ออวิ๋นได้อยู่ แต่หลังจากลู่เยวี่ยกลายเป็นผู้ช่วยของเขา พอมีตัวเปรียบเทียบ เขาก็รู้สึกได้มากกว่าเดิมว่าเต๋ออวิ๋นโง่เง่าจนน่ากลัว
ช่วงนี้เป็นเพราะต้องการจัดการสมุนไพรป่าที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งต้นหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องการให้ผู้ช่วยสองคนมีความรู้ความสามารถมากกว่าเดิม ก็เลยถ่ายทอดทักษะผิวเผินในวิชารักษาที่มีแบบแผนให้แก่คนทั้งสอง
ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เต๋ออวิ๋นยังคงโง่เง่าเต่าตุ่น ส่วนลู่เยวี่ยกลับฉลาดเป็นกรด ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ถูจินเริ่มพิจารณาว่า ควรกำหนดให้ลู่เยวี่ยเป็นเป้าหมายในการสืบทอดวิชารักษาของตัวเองดีหรือไม่
ความจริงเขาได้ประกาศเปิดรับสมัครศิษย์ที่ยินดีมาเรียนวิชารักษาในละแวกใกล้ๆ แล้ว แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ไม่มีใครอยากมาสักคนเดียว
การฝึกฝนวิชารักษาที่มีแบบแผน อย่าเพิ่งพูดถึงความยากอันมหาศาล ซึ่งจำเป็นต้องใช้การฝึกฝนซ้ำๆ หลายครั้งถึงจะใช้ทักษะขั้นพื้นฐานได้
เพราะต่อให้จะใช้เป็นแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จากการทุ่มเวลาและพลังสมาธิก็ยังคงสู้การเรียนวรยุทธ์ไม่ได้อยู่ดี
ในอดีตเคยมีคนหนุ่มสาวหลายคนติดกับ พวกเขาฝึกฝนเป็นเวลาสองร้อยปี สุดท้ายวิชารักษาก็ยังไม่ใช่ชั้นหนึ่ง
แต่คนรุ่นเดียวกันที่ไปสำนักมรรคายุทธ์ กลับแยกกำแพงเจาะหิน ออกไปรับภารกิจให้รางวัลเพื่อเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว
ส่วนพวกเขาต้องใช้เงินน้ำแข็งไปไม่น้อยเพื่อฝึกฝนวิชารักษา
นี่มันกับดักชัดๆ!
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครยอมเรียนวิชารักษาอีก ถึงขั้นจนถึงท้ายที่สุดแม้แต่ศิษย์คนโตกับลูกสาวของถูจินก็ไม่อยากเรียนแล้วเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องพิจารณาเป็นหลักในตอนนี้จึงไม่เกี่ยวกับการสืบทอด แต่เกี่ยวกับว่ายินยอมหรือไม่ยินยอม
ถูจินสูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วมองลู่เยวี่ย
‘อีกประเดี๋ยวลองถามดู คนหนุ่มสาวสมัยนี้…แต่ละคนใจร้อนเกินไป…วิชารักษามีอะไรไม่ดีกัน ช่วยไม่ให้คนบาดเจ็บล้มตาย ตอนนั้นภรรยาเราก็ถูกช่วยชีวิตไว้แบบนี้…’
“จริงสิท่านหมอ วิชาต้นกำเนิดหย่อมเมฆาดูเหมือนใช้กับวัตถุดิบยาในเห็ดหลินจือเป็นหลักเท่านั้น อย่างมากสุดได้แต่ใช้กับเห็ดหลินจือที่มีอายุต่ำกว่าพันปี หากอายุมากกว่านี้จะไม่ไหว ข้าเคยอ่านเจอบันทึกในหนังสือสมุนไพรที่ท่านแนะนำให้ข้าครั้งก่อน วัตถุดิบนั้นของท่าน…” ลู่เซิ่งเตือนเบาๆ
“อ้อ มีด้วยอย่างนั้นหรือ” เรื่องนี้แม้แต่ถูจินก็ไม่ทันสังเกต ช่วงนี้เขายุ่งกับเรื่องราวมากมายจนหัวแทบหมุน
ตอนนี้พอลู่เซิ่งเตือน เขาก็พลันตกใจ รีบนึกย้อน เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ
“เป็นอย่างนี้จริงๆ!” ถูจินลุกขึ้นแล้วเดินพล่านไปมา
“ดีที่เจ้าเตือนทันเวลา วิชาต้นกำเนิดหย่อมเมฆาใช้ไม่ได้จริงๆ เพราะจะส่งผลต่อสรรพคุณของยาสำเร็จรูป”
การเตือนในครั้งนี้ของลู่เซิ่งเหมือนจะทำให้เขาตัดสินใจแล้ว
ถูจินมองลู่เซิ่ง อยู่ๆ ก็นึกถึงวิธีการหนึ่ง ไม่ว่าเด็กน้อยผู้นี้จะยินยอมหรือไม่ ก็ต้องยอมเรียนวิชารักษากับเขาอยู่ดี
เขากำสิทธิ์ขยายเวลาอยู่อาศัยในนครตราชั่งของเด็กน้อยผู้นี้ไว้ในมือ ถ้าเจ้าหนูนี่ไม่ยินยอม อย่างนั้นเขาก็จะไม่ต่อเวลาให้
พอนึกถึงตรงนี้ ถูจินพลันโล่งใจ ไม่แน่ว่าครั้งนี้จะสำเร็จจริงๆ
……………………………………….