ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 598 วิชาการรักษา (2)
บทที่ 598 วิชาการรักษา (2)
ลู่เซิ่งกำลังขบคิดอยู่ว่าควรเริ่มขอเรียนวิชารักษาจากถูจินอย่างไรดี
เขาจะต้องลงหลักปักฐานในนครตราชั่งให้เร็วที่สุด การจุติไปยังโลกด้านนอกติดต่อกันต้องสำรองหินผลึกพลังงานเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังต้องกำหนดพื้นที่เร้นลับที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับกางค่ายกลด้วย เนื่องจากสิ้นเปลืองทรัพยากรและเงินทองมหาศาล สำนักมารกำเนิดในตอนนั้นจึงมีแค่ลู่เซิ่งที่ใช้ได้
สำนักมารกำเนิดขนาดใหญ่ยึดครองรายได้การค้าหนึ่งในห้าส่วนของแคว้นนวกระจ่าง ถึงพอจะประคับประคองการจุติของเขาได้
ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวทั้งยังยากจนข้นแค้น ถึงแม้จะมีทรัพยากรและเงินติดตัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พอที่จะใช้ดำเนินการจุติ
ต้องรีบหาเงินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตอนที่ลู่เซิ่งกำลังใคร่ครวญอยู่ ถูจินตรงหน้าพลันเอ่ยขึ้น
“ลู่เยวี่ย เจ้าใช้มุทราประทานพรเป็นหรือไม่”
“เป็นมุทราที่ง่ายมาก ข้าเคยอ่านเจอมาก่อน ทั้งหมดมีแค่หนึ่งร้อยสามสิบหกแบบ ถึงจะใช้ไม่เป็น แต่ใช้เวลาฝึกแค่ครึ่งชั่วยามก็ใช้ได้แล้ว” ลู่เซิ่งตอบพลางพยักหน้า
“มีแค่หนึ่งร้อยสามสิบหกแบบหรือ!?” เต๋ออวิ๋นที่อยู่ด้านข้างพึมพำ ครึ่งชั่วยาม…แค่สิบหกแบบเขาก็ใช้ติดๆ ขัดๆ แล้ว ยิ่งอย่าว่าแต่หนึ่งร้อยสามสิบหกแบบ
ถูจินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “อย่างนั้น…ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้ามาเริ่มทำการผ่าตัดปลูกถ่ายขนาดเล็กพร้อมกับข้าก็แล้วกัน”
เขาไม่ได้พูดถึงการสืบทอด แต่ความจริงความหมายกลับชัดเจนมากแล้ว ที่แล้วมาการผ่าตัดปลูกถ่ายเป็นทักษะวิชาหลักที่มีแต่ลูกสาวกับลูกศิษย์ทั้งสองคนที่ได้รับการสืบทอดที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะเข้าดูได้
การที่ให้ลู่เซิ่งเข้าดูด้วย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังถ่ายทอดมันทางอ้อมอยู่
“ขอรับ!” ลู่เซิ่งเข้าใจทันที จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ถูจินมองเขา เห็นลู่เซิ่งมองตัวเองเช่นกัน ทั้งสองพลันยิ้มให้กันโดยไม่ได้นัดกันไว้
วันต่อมา ถูจินกันเต๋ออวิ๋นออกไป แล้วเรียกให้ลู่เซิ่งเข้าไปในห้องผ่าตัดตามลำพัง
ในห้องผ่าตัดที่มืดสลัว แสงอรุณสีทองอันอ่อนจางสาดลอดเอียงๆ เข้ามาจากนอกหน้าต่างไม้
พรึ่บ
ถูจินกางม้วนกระดาษสีขาวด้านหน้าลู่เซิ่ง
“เจ้าหนุ่ม ตอนนี้มีโอกาสที่ไม่เลววางอยู่ด้านหน้าเจ้าแล้ว”
ลู่เซิ่งเพิ่งจะเข้ามานั่ง ก็เห็นกระดาษขาวที่กำลังกางออกแผ่นนี้ทันที
เขาเงยหน้ากวาดตามองถูจินและอ่านเนื้อหาบนกระดาษ เนื้อหาใช้อักขระเซ่นสรวงชนิดพิเศษที่เหมือนกับเทวลักษณ์เขียนเอาไว้
‘ข้อตกลง: ถูจินจะช่วยขอสมุดหยกรับรองสถานะและสิทธิ์อยู่อาศัยกึ่งถาวรให้แก่ลู่เยวี่ย ส่วนลู่เยวี่ยจะต้องใช้วิชารักษาที่มีแบบแผนทั้งหมดให้ได้ และรับประกันว่าจะหาผู้สืบทอดให้แก่มัน สถานที่ยืนยันหลัก: นครตราชั่ง’
“ลงชื่อเถอะ” ถูจินยิ้มพลางชี้มุมขวาด้านล่างสุด “ไม่รู้หนังสือก็ไม่เป็นไร ประทับรอยมือก็พอ”
ลู่เซิ่งรู้สึกพิกลเล็กน้อย
ถึงนี่จะเป็นไปตามความต้องการของเขา แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่า…
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงหยิบกระดาษขาวขึ้นมาอ่านดูอย่างละเอียด
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้จักหนังสือ แต่ข้าเชื่อใจท่านหมอถูจิน” เขาตอบจากใจ แล้วกดปลายนิ้วลงบนปลายกระดาษอย่างรวดเร็ว
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทาสีใดๆ แต่พอกดนิ้วลงไป ก็ปรากฏรอยนิ้วสีดำในพริบตา
กระดาษสัญญาพลันลุกไหม้กลายเป็นผงสีดำกลางอากาศ ก่อนจะหายไป
“ดีมาก ตอนนี้เจ้านับว่ากลายเป็นผู้ใช้วิชารักษาที่มีแบบแผนที่แท้จริงแล้ว” ท่าทีของถูจินอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“อย่างนั้นข้าควรเรียกท่านว่าอาจารย์หรือไม่” ลู่เซิ่งเปลี่ยนคำเรียกอย่างรู้ความ
ถูจินพลันหัวเราะ
ลู่เซิ่งไมได้พูดอะไร เพียงแต่สีหน้าฉายแววคาดหวัง
ตลอดชีวิตของเขามีอาจารย์มากมาย ตั้งแต่ครูฝึกประจำตระกูลที่สอนวิชาหมัดพื้นฐานให้เขาในตอนแรกสุด จนมาถึงลิ่วซานจื่อแห่งสำนักมารกำเนิดในภายหลัง
ผู้เป็นอาจารย์มีหน้าที่ถ่ายทอดวิชาแก้ไขข้อสงสัย สำหรับอาจารย์ทุกคนที่สอนสั่งเขาด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง แม้จะมีพลังสู้เขาไม่ได้ แต่ลู่เซิ่งก็ให้ความเคารพในระดับหนึ่งมาโดยตลอด
ถูจินไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในท่าทีของลู่เซิ่ง
ต่อมาเขาก็เริ่มถ่ายทอดวิชากระตุ้นวิญญาณ วิชาพื้นฐานของวิชารักษาที่มีแบบแผนในห้องเล็กๆ ห้องนี้อย่างแท้จริง
ในห้องผ่าตัด ถูจินกางห้านิ้ว เส้นสายสีขาวที่หนาแน่นนับไม่ถ้วนค่อยๆ ฟุ้งกระจายออกมาระหว่างร่องนิ้ว
เส้นสายเหล่านี้อยู่ในสภาพเลื่อนไหลเบาๆ ให้ความรู้สึกอ่อนหนุ่มยืดหยุ่นอันแสนประหลาด เหมือนกับว่าพวกมันหลอมละลาย หรือไม่ก็แข็งขึ้นได้ตลอดเวลา
“หัวใจสำคัญของวิชากระตุ้นวิญญาณก็คือการกระตุ้นด้ายกระตุ้นวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งและมีจำนวนมากพอออกมา” บนใบหน้าของถูจินปรากฏรอยยิ้มภาคภูมิใจอย่างหาได้ยาก
“นอกจากนี้ ด้ายกระตุ้นวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่อาจสร้างขึ้นได้เอง จะต้องให้คนรุ่นก่อนปลูกเมล็ดด้ายของตัวเองลงไป”
“เมล็ดด้ายหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา
“ก็คือสิ่งนี้” ถูจินจิ้มนิ้ว ด้ายสีขาวเส้นนี้พลันพุ่งเข้าหาฝ่ามือของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งอดกลั้นไม่โต้กลับตามสัญชาตญาณ ปล่อยให้ด้ายขาวมุดหายเข้าไปในฝ่ามือของตัวเอง
ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ว่าในเส้นชีพจรบนแขนมีพลังงานพิเศษที่แปลกประหลาดเหมือนกับเส้นผมโผล่มาเส้นหนึ่ง
“ฟังให้ดี ตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดวิชาพื้นฐานให้ เจ้าต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจ ให้ไปถามศิษย์พี่เต๋ออวิ๋นของเจ้า แม้เขาจะไม่ฉลาดเท่าเจ้า แต่อย่างไรก็อายุมากกว่าเจ้า แถมยังเรียนมาหลายปี” ถูจินสั่งโดยวางมาดเป็นอาจารย์
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง
ทั้งสองคนคนหนึ่งสอนคนหนึ่งเรียน สองฝ่ายอยู่ในสถานการณ์การร่วมมือกันอันแปลกประหลาด ไม่นานลู่เซิ่งก็ท่องจำวิชากระตุ้นวิญญาณอันเป็นวิชาพื้นฐานที่มีตัวหนังสือไม่ถึงพันตัวได้ขึ้นใจ
“จำไว้ให้ดี ด้ายกระตุ้นวิญญาณในตอนแรกสุดจะเป็นสีดำ เจ้าต้องสกัดอย่างต่อเนื่องเพื่อกำจัดสิ่งเจือปนออกไป จากนั้นจะเป็นจุดดำ สีเทา แล้วค่อยเป็นสีขาว รวมถึงโปร่งแสงในตอนสุดท้าย” ถูจินเตือน
“วิชาพื้นฐานมีทั้งหมดห้าระดับ อาจารย์ฝึกฝนมาหลายปี เพียงสกัดถึงระดับสี่หรือสีขาวเท่านั้น ดีที่ความแข็งแกร่งกับจำนวนพอจะใช้ในขั้นพื้นฐานได้แล้ว”
หลังจากเขากำชับเสร็จ ก็ให้ลู่เซิ่งกลับไปฝึกฝนเองดู
การฝึกฝนวิชาพื้นฐานเป็นครั้งแรกในตอนเริ่มต้นมีความสำคัญเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งกลับถึงห้องของตัวเองอย่างยินดี ถูจินได้มอบห้องส่วนตัวในบริเวณลานเรือนให้แก่เขาแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนมาเป็นค่าตอบแทนโดยการจัดการสมุนไพรและทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอย่างขยันขันแข็ง
ตอนกลับมาถึงห้อง เขาเห็นเต๋ออวิ๋นยืนอยู่ด้านหน้าห้องยาและยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ทั้งยังทำท่ายกนิ้วโป้งเป็นกำลังให้ให้เขาด้วย
ลู่เซิ่งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็ปิดห้องพร้อมกับใช้จิตวิญญาณกวาดมองรอบๆ ไม่นานก็ยืนยันได้ว่ารอบๆ ไม่มีวิชาแอบมองใดๆ คงอยู่
ลู่เซิ่งลากเก้าอี้มานั่งลง เขากำลังพิจารณาว่าควรจะยกระดับถึงขอบเขตสูงสุดให้เร็วที่สุดเลยดีหรือไม่
แต่หลังจากลังเล เขาก็ตัดสินใจลองดูเองก่อน ตามแผนการเดิม หากไม่ถึงเวลาที่จำเป็น ควรจะเก็บพลังอาวรณ์ไว้ใช้ฝ่าด่านในตอนสำคัญดีกว่า
เขาสงบใจลง แล้วเริ่มโคจรรวมถึงเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ด้ายกระตุ้นวิญญาณเส้นนั้นอย่างช้าๆ ตามขั้นตอนในวิชากระตุ้นวิญญาณ
แต่ไม่นานเขาก็ค้นพบว่า ด้ายกระตุ้นวิญญาณเติบโตและแข็งตัวขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยการดูดซับเลือดลมของตัวเอง เขาก็เลยเปลี่ยนแก่นหยางจำนวนมากในร่างตัวเองให้เป็นเลือดลมแทน
ไม่นานสีของด้ายกระตุ้นวิญญาณก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ จำนวนค่อยๆ เพิ่มจากเส้นเดียวในตอนแรก
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในร่างกายของลู่เซิ่งก็มีด้ายกระตุ้นวิญญาณมากกว่าร้อยเส้น
‘เร็วไปหน่อย แต่วิชานี้เหมาะกับเราอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องปิดบัง’
ต่อจากนั้น ถูจินก็เริ่มถ่ายทอดทักษะความสามารถในการใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณส่วนหนึ่งให้แก่ลู่เซิ่งอย่างตั้งใจ
ด้ายกระตุ้นวิญญาณมีความสามารถในการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อของเซลล์เติบโต สามารถกระตุ้นให้ปากแผลสมานตัว ชดเชยเลือดลม ทั้งยังปล่อยออกจากร่างและกระจายเข้าไปในตัวคนอื่นเพื่อช่วยชดเชยเลือดลมให้แก่อีกฝ่ายได้ด้วย
ด้ายกระตุ้นวิญญาณหลอมละลายกลายเป็นเลือดลมที่บริสุทธิ์ได้เอง จุดเด่นนี้เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของการผ่าตัดเย็บแผล
จุดอ่อนก็คือฝึกฝนและสกัดได้ยาก หนำซ้ำยังต้องเสียสละอย่างยิ่ง
หลังจากถูจินทราบว่าลู่เซิ่งสกัดด้ายกระตุ้นวิญญาณหลายร้อยเส้นออกมาในครั้งเดียวได้ก็ไม่ได้ตกใจ คนที่มีเลือดลมเต็มเปี่ยมย่อมสกัดได้ทีละเยอะๆ อยู่แล้ว
“รอให้เจ้ายกระดับความแข็งแกร่งและมีสีถึงขั้นหนึ่งได้แล้วค่อยมาบอกข้าอีกที” ถูจินทิ้งประโยคนี้เอาไว้ ก่อนจะเริ่มสอนภาพโครงสร้างของวัตถุปลูกถ่ายจำนวนมากให้แก่ลู่เซิ่ง
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่าตัวเองเรียนวิชาแพทย์ได้ไม่เลวแล้ว แต่พอเทียบกับถูจิน เขาจึงค่อยค้นพบอย่างเหนือความคาดหมายว่า ความรู้ในสมองของคนผู้นี้มีเยอะจนน่าตกใจ
สายพันธุ์ทุกชนิดตั้งแต่จุลินทรีย์จนถึงสิ่งมีชีวิตที่ขนาดใหญ่โต เขาล้วนศึกษามาหมด หลายๆ ชนิดถึงขั้นเรียนรู้ไปถึงขั้นรู้จักอย่างทะลุปรุโปร่งด้วย
ความรู้ด้านกายวิภาคของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และสนามพลังวิญญาณ ถูจินเป็นระดับปรมาจารย์
แต่คำอธิบายของถูจินก็ทำให้ลู่เซิ่งเข้าใจอย่างรวดเร็วว่า ชายชราธรรมดาอย่างเขามาถึงระดับนี้ได้อย่างไร
เหตุผลทั้งหมดอยู่ที่นครหลวง
ขอแค่ผ่านการทดสอบรับรองอาชีพในนครหลวง ก็จะมีสิทธิ์เข้าไปตรวจสอบข้อมูลมากมายในหอเก็บหนังสือของนครหลวง ถึงขั้นสามารถจ่ายแต้มคุณูปการเพื่อดำเนินการเลียนแบบวิชาได้
นครหลวงเก็บข้อมูลข่าวสารของดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนในอาณาเขตดาวมากมายไว้เป็นจำนวนมหาศาล
สิ่งที่ถูจินได้สัมผัสนั้นน้อยนิดเหมือนขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัว แต่กลับใช้การสั่งสมทั้งหมดเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
ทำให้แม้จะอายุปูนนี้แล้ว ถูจินก็ยังไม่สามารถเก็บสินสอดที่มากพอให้แก่ลูกสาวได้ นี่เป็นส่วนที่เขาเสียดายมาโดยตลอด
พอลู่เซิ่งรู้เรื่องนี้แล้ว จึงตั้งใจเรียนยิ่งกว่าเดิม
เวลาล่วงเลยผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าๆ
ถูจินได้ถ่ายทอดการกระตุ้นวิญญาณอันเป็นเนื้อหาแรกในวิชารักษาที่มีแบบแผนให้แก่ลู่เซิ่งทั้งหมดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
สิ่งที่ลู่เซิ่งต้องทำต่อจากนี้คือการฝึกฝนด้ายกระตุ้นวิญญาณตามลำดับ และเริ่มหาประสบการณ์ของจริงเพื่อทำความคุ้นเคย การจ่ายยา การผ่าตัด และการปรับปรุงต้องการกรณีศึกษาจำนวนมาก
…
ส่วนลึกของป่าสีเหลืองที่อุดมสมบูรณ์
ลู่เซิ่งเดินเล่นกลางพุ่มไม้ในป่าไปพลาง ใคร่ครวญถึงปัญหาของคนป่วยคนหนึ่งที่ได้เจอเมื่อก่อนหน้านี้ไปพลาง
เขาได้ก้าวข้ามเต๋ออวิ๋นไปถึงระดับที่ออกหน้าจ่ายยารักษาผู้ป่วยแทนถูจินได้แล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ความรู้ด้านศาสตร์การแพทย์ที่ได้มาจากถูจินมีส่วนช่วยทางอ้อมต่อพลังฝึกปรือและการหลอมร่างของเขาอย่างใหญ่หลวง
ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า ความแข็งแกร่งทางกายเนื้อของร่างหลักในแปดวิถีมารสุงสุดที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมานานเกิดการพัฒนาเล็กน้อยแล้ว
‘เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงที่นี่ได้สองเดือนแล้ว…’ ลู่เซิ่งพลันได้สติ ‘ไม่ได้ศึกษาอะไรบางอย่างอย่างสบายใจแบบนี้มาก่อน’
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เขาไม่มีสิทธิ์เพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้
‘อะไรที่เอามาจากถูจินได้ก็เอามาหมดแล้ว เหลือแต่เนื้อหาที่สองและทักษะลับของวิชารักษาที่มีแบบแผนเท่านั้น ดูเหมือนไม่ต้องสะกดการพัฒนาของวิชากระตุ้นวิญญาณไว้อีกต่อไปแล้ว’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
เขาคิดถึงว่าบนดาวปรภพยังมีครอบครัวของตัวเองอยู่ จึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน
ส่วนจะลงหลักปักฐานที่นี่เพื่อพัฒนาอย่างรวดเร็วได้อย่างไร เขามีแผนการของตัวเองในขั้นเบื้องต้นแล้ว
‘เงื่อนไขการยกระดับวิชากระตุ้นวิญญาณมีสองอย่าง อย่างแรกคือมีเลือดลมที่มากพอ อย่างที่สองคือมีระดับความแม่นยำในการควบคุมที่ยอดเยี่ยมมากพอ’
ลู่เซิ่งพลันชะงักฝีเท้าและหลับตาลง
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟสสีฟ้าที่ไม่ได้เจอมานานเด้งออกมาอย่างฉับพลัน แล้วลอยมาอยู่ด้านหน้าเขา
……………………………………….