ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 6 งานชุมนุมดำ
ดาบนี้ทั้งเร็วทั้งดุดัน เหมือนกับว่าได้ฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วน
ลู่เซิ่งใช้สัญชาตญาณฟันออกไป
เขามองเห็นเงาดำกลุ่มหนึ่งทางด้านหลัง เงาดำที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาจึงโดนดาบที่ฟันออกไป
คมดาบสะท้อนความรู้สึกที่แข็งแกร่ง ดาบด้ามยาวอาศัยแรงกระแทกมหาศาล กวาดเงาดำที่ถลันเข้ามากระเด็นออกไป
เปรี้ยง!
เงาดำนั้นกระแทกกับพื้น พลิกกลิ้งหลายตลบพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมา อาศัยแสงจากคบเพลิงมองดู ถึงกับเป็นหมาป่า! ลำตัวถูกมีดฟันเป็นรอยแผลขนาดใหญ่รอยหนึ่ง
ไม่ทันได้คิดอะไร ลู่เซิ่งก็เห็นหมาป่าอีกสองตัวอาศัยความมืดถลันเข้ามาจากสองฟาก
สัญชาตญาณร่างกายของเขาตอบสนองก่อนก้าวหนึ่ง
ยกดาบด้ามยาวกวาดไปยังด้านซ้าย ฟันหมาป่าไปตัวหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวสะบัด กระแทกมันใส่หมาป่าอีกตัวหนึ่ง
เปรี้ยง
การใช้แรงสองครั้งนี้พลันทำให้พลังปราณของเขาไม่พอ
เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน เขายังเป็นคุณชายบ้านรวยผอมแห้งอ่อนแออยู่เลย
หมาป่าทั้งสองตัวได้รับบาดเจ็บพุ่งออกไป
ลู่เซิ่งหายใจหอบ ถือดาบตาแดงก่ำ ใช้ท่าพยัคฆ์สังหารฟันใส่หมาป่าตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้!
คมดาบฟันจากบนลงล่าง เฉียงเล็กน้อย ข้อมือสั่นอย่างรุนแรง สั่นสะเทือนตามความถี่ของวิชาฝึกจิต
โฮก!
ในสายลมเหมือนกับปรากฏเสียงคำรามของเสือร้ายขึ้นมา
หมาป่าทั้งสองตัวตกใจตัวสั่น เคลื่อนไหวช้าลงจังหวะหนึ่ง
ทันใดนั้นประกายดาบด้ามยาวกะพริบวูบ หมาป่าตัวหนึ่งถูกมีดฟันจนหัวขาด
อีกตัวหนึ่งถูกคมดาบเสียบคอ เลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งรวบรวมพลังอีกครั้ง ใช้ออกอีกดาบหนึ่ง ครั้งนี้เป็นกระบวนท่าบารมีพยัคฆ์
แขนสั่นไหวสี่ครั้ง แยกกันส่งพลังที่แตกต่างกันสี่ทาง ประสานกับพลังปราณทั่วร่าง รวมไว้บนตัวดาบ
กระบวนท่าบารมีพยัคฆ์เร็วกว่ากระบวนท่าพยัคฆ์สังหาร พละกำลังจึงอ่อนโทรมลงส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าคออันอ่อนแอของหมาป่าจะทนทานได้
หมาป่าไม่ทันหลบ ถูกดาบด้ามยาวที่ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันฟันโดนคอ
ตุบ
หัวหมาป่าร่วงตกพื้น
ลู่เซิ่งหอบหายใจเฮือกใหญ่
การเคลื่อนไหวที่ติดต่อกันนี้ ทำให้ใบหน้าของเขาซีดขาว มีเหงื่อผุดออกมาหลายสาย
กรรซ์…
ยังมีหมาป่าเหลืออีกตัวหนึ่ง เป็นตัวที่คาบเนื้อตรงหน้าไป
ตอนนี้มันอ้อมหินออกมา ตาสีเขียวสองข้างจ้องมองลู่เซิ่งอย่างดุร้าย
‘แรงกายยังอ่อนแอเกินไป…’
ลู่เซิ่งร้อนใจอยู่บ้าง
แต่ว่าสีหน้าไม่หวั่นไหว เขารู้ว่าตอนคุมเชิงกับสัตว์ป่า ไม่อาจถอยหลัง ไม่อาจแสดงความหวาดกลัวเด็ดขาด
“หือ!?”
เขาเบิกสองตา จ้องหมาป่าอย่างดุดัน
หมาป่าเพ่งตามองเขาสักพัก สุดท้ายจึงค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง
จนกระทั่งหมาป่าตัวนั้นถอยเข้าไปในความมืดโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งจึงระบายลมหายใจออกมาโดยแรง
ความจริงกำลังของเขาหมดไปแล้ว สองแขนอ่อนล้า แม้แต่มือที่กำดาบยังสั่นอยู่บ้าง
ถ้าหากว่าหมาป่าตัวนั้นพุ่งเข้ามาจริงๆ ถึงเขาจะเชื่อมั่นว่าสามารถเอาตัวรอดได้ แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บแน่
รอจนแน่ใจว่าหมาป่าจากไปแล้ว
ลู่เซิ่งจึงถอนคบเพลิงออกมา เร่งรุดเดินไปยังทิศทางเข้าเมืองเก้าประสาน
ครั้งนี้เขารู้ความสามารถของตัวเองแล้ว
หมาป่านอกเมืองเหมือนกับที่ลุงจ้าวเคยเล่าวีรกรรมของตัวเองให้ฟัง
ตอนที่เขายังเยาว์วัย เพิ่งสำเร็จวิชาดาบ หนึ่งคนหนึ่งดาบภายใต้การรุมล้อมของหมาป่าสามตัว ใช้แขนที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเป็นค่าตอบแทน ฟันหมาป่า สังหารไปทั้งสามตัวหมดสิ้น
นี่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว
หมาป่าที่อยู่ที่นี่ อยู่บนโลกใบนี้ แตกต่างจากที่ลู่เซิ่งทราบ
พวกมันตัวใหญ่กว่า ทุกตัวล้วนตัวโตกว่าหมาป่าบนโลกมาก ทั้งยังแข็งแรงกว่า
แทบไม่ต่างจากสุนัขพันธุ์จินเหมาขนาดใหญ่ที่เลี้ยงในบ้าน
สิ่งที่หมาป่าของที่นี่แตกต่างจากหมาป่าบนโลกคือ พวกมันอยู่รวมกันสามถึงห้าตัว มีกลุ่มใหญ่อยู่น้อย
ลู่เซิ่งวิ่งเหยาะๆ กลับประตูเมือง
ตอนที่เห็นแสงคบเพลิงบนกำแพงเมือง เขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ม้วนเสื้อบนตัวขึ้น ซ่อนส่วนที่เปื้อนรอยเลือด จากนั้นเก็บดาบด้ามยาว หยิบหนังสือผ่านทาง สาวเท้าเดินเข้าไปยังกำแพงเมือง
…
“พี่เซิ่งๆ ท่านฟังข้าพูด เรื่องราวของวัตถุนี้มิใช่ธรรมดา เพิ่งมาถึงเมืองม่วงโชติ ข้าก็ให้คนนำมันกลับมา
ว่ากันว่านี่เป็นหินประหลาดก้อนแรกบนจงหยวน พ่อค้า คนมั่งมี ผู้มีอำนาจ ต่างแย่งกันซื้อ สุดท้ายเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในแม่น้ำ ถูกคลื่นพัดไปถึงแม่น้ำม่วงโชติ จากนั้นก็ถูกชาวประมงในเมืองม่วงโชติเก็บขึ้นมาได้
“เรื่องราวพิสดารนี้ คำพูดเดียวยากกล่าวจนหมด ถ้ามิใช่…”
“เจ้ามองข้าเหมือนคนโง่หรือ?” ลู่เซิ่งส่ายพัดเบาๆ มองคนอ้วนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ
คนอ้วนผู้นี้ชื่อเจิ้งเสี่ยนกุ้ย เป็นบุตรคนรองของเจ้าของร้านประมูลหมิงกุ้ยในเมืองเก้าประสาน
ขณะเดียวกันก็เป็นสหายสนิทของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งกับเขาใส่กางเกงตัวเดียวกันตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ต่างฝ่ายเหมือนกลิ่นเหม็นที่ไปกันได้ดี มีเรื่องอันใดช่วยกันแบกรับ สนิทสนมกันมาก
เพียงแต่เจิ้งเสี่ยนกุ้ยผู้นี้มีข้อเสียที่ใหญ่ที่สุด
นั่นคือโลภมาก
ตามคำพูดของเขาก็คือ ถึงเป็นพี่น้องกันจริงๆ ก็ต้องคิดบัญชีให้ชัดเจน มิฉะนั้นไม่ช้าก็เร็วจะทำลายความผูกพันรักใคร่
ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ในห้องโบตั๋นบนเหลาสุรามัจฉาทอง ข้างกายคนอ้วนโอบรัดดรุณีสวมกระโปรงร่างสะโอดสะองผู้หนึ่ง
เด็กน้อยผู้นี้ตอนนี้มองลู่เซิ่งด้วยใบหน้าปวดใจ
“พี่เซิ่งนี่เป็นท่านทำไม่ถูกแล้ว ข้าอุตส่าห์ได้ของวิเศษหายากมาอย่างหนึ่ง ให้โอกาสท่านแย่งประมูลภายในก่อน ท่านไม่ทะนุถนอมก็แล้วกันไป ใยถึงกับปรักปรำข้า”
คนอ้วนชี้ไปที่ลู่เซิ่ง ทำท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว
“พอแล้วๆ ไม่ต้องมาเล่นไม้นี้กับข้า คัมภีร์ลับวรยุทธ์ที่ข้าต้องการตามหา เจ้ามีข่าวคราวหรือไม่”
ลู่เซิ่งถามต่อ
เขาเรียกสหายวัยเด็กของตนผู้นี้มา เป้าหมายก็เพื่อรวบรวมคัมภีร์ลับวรยุทธ์ให้ได้มากกว่านี้
วิชาดาบพยัคฆ์ดำอย่างเดียวยังไม่พอ ยังขาดอีกตั้งเยอะ
เขาเข้าใจความสามารถในการปกป้องตัวเองในป่านอกเมืองของยอดฝีมืออย่างลุงจ้าวดี
มิน่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินว่ามีคนออกเดินทางไกลคนเดียว ป่าเขตร้างนอกเมืองนี้มีสัตว์ดุร้ายมากมาย ออกเดินทางคนเดียว เป็นการรนหาที่ตาย
ลุงจ้าว จ้าวต้าหู่มีเชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเก้าประสาน แต่ก็รับมือหมาป่าได้เพียงสามตัว ขีดจำกัดอาจเป็นแค่หมาป่าสี่ตัว ถ้าหากมีเยอะกว่านี้ ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นมือดีระดับสุดยอดแห่งเมืองเก้าประสานก็ต้องคุกเข่าเช่นกัน
“ของอย่างคัมภีร์ลับวรยุทธ์ จริงปลอมยากแยกแยะ ไม่ต้องเอ่ยถึง ข้างในยังมีหลุมพรางที่ซ่อนอยู่ อยู่ไม่น้อย ต่อให้เป็นของจริง วิธีฝึกฝนด้านใน แม้จะฝึกนานแล้ว ขอแค่กระทำผิดไปเพียงเล็กน้อย ยังเกิดอันตรายถึงพิการไปตลอดชีวิตได้
“พี่เซิ่งท่านจะเอามาทำอะไร ไม่มีอาจารย์คอยชี้นำ คัมภีร์ลับนี้ซื้อมาก็ไม่มีประโยชน์”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยถูแหวนหยกขาวที่สวมนิ้วโป้งบนมือ กล่าวอย่างฉงน
“เจ้ากลับเป็นคนที่เข้าใจถ่องแท้นัก” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมมีประโยชน์ของตัวเอง เจ้าไม่ต้องสงสัยมากปานนั้น หามาให้ข้าสักหลายเล่มก่อน”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยส่ายหัว
“มี ข้ามี ไม่นานมานี้มีลูกค้าเอามาฝากขาย มีคัมภีร์ลับวรยุทธ์อยู่สองเล่ม
“พวกเราหาอาจารย์ตรวจสอบแล้ว สมควรเป็นของจริง เพียงแต่ไม่มีอาจารย์ เลยไม่มีคนกล้าฝึก”
“ราคาเท่าไร”
ลู่เซิ่งถามตรงๆ
“ไอ้หยาๆ พี่เซิ่ง ระหว่างเราสองคน ยังเกรงใจขนาดนี้ทำไมกัน” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยยิ้มแฉ่ง
“เจ้าทำตัวดีๆ ได้หรือไม่?” ลู่เซิ่งหมดคำพูด “บอกราคามา เร็วหน่อย ข้ารีบอยู่”
“ได้แต่ขายให้ท่านเพียงเล่มเดียว อีกเล่มหนึ่งถูกลูกค้าอื่นจับจองแล้ว”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เล่มเดียวก็ได้ เจ้าเอามาด้วยหรือไม่” ลู่เซิ่งเลิกคิ้วถาม
“ยังเป็นพี่เซิ่งที่เข้าใจข้า ข้าคิดว่าท่านเร่งรีบ ข้าเลยนำมาด้วยแล้ว” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยหยิบสมุดเล็กๆ ห่อด้วยผ้าเทาเล่มบางเล่มหนึ่งออกมาจากตัว
“คัมภีร์ลับนี้ไม่มีกระบวนท่าอันใด เป็นทักษะการใช้พละกำลังแบบพิเศษชนิดหนึ่ง หนึ่งร้อยตำลึงขาดตัว!”
“ให้ข้าอ่านก่อน”
ลู่เซิ่งยื่นมือออกไป
หนึ่งร้อยตำลึงมีมูลค่าเท่ากับหนึ่งแสนหยวน เจ้าอ้วนผู้นี้ช่างกล้าเสนอราคาจริงๆ
เจ้าอ้วนหัวเราะเหอะๆ สองคำ แล้ววางสมุดเล่มเล็กลงบนมือของเขา
เมื่อได้คัมภีร์ลับมา ลู่เซิ่งก็พลิกอ่านอย่างละเอียด
คัมภีร์ลับนี้คล้ายเป็นส่วนเล็กๆ ที่ฉีกออกมาจากเล่มใหญ่ พอดีมีเนื้อหาที่ชี้แนะเรื่องพละกำลังนิดหน่อย
จากที่อ่านบันทึกเนื้อหาด้านใน การใช้พละกำลังที่ฝึกฝนออกมาได้นี้เรียกว่า พลังทำลายหยก
หากฝึกสำเร็จ จะสามารถรวมพละกำลังทั่วร่างได้ ตั้งแต่ช่วงแรกของการลงมือ หลังรวบรวมพละกำลังเสร็จแล้ว จะปล่อยออกมาอย่างรุนแรง สามารถยกระดับความเร็วและพลังการลงมือได้ขนานใหญ่
ลู่เซิ่งอ่านสักพัก วิชาหัตถ์คล้ายไม่สอดคล้องกับวิชาฝึกจิตดาบพยัคฆ์ดำ ทั้งที่ควรจะสอดคล้องกันได้
แต่สิ่งที่เขาต้องการมิใช่อันนี้
สิ่งที่เขาต้องการคือคัมภีร์ลับกำลังภายในที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ร่างกาย สารจำเป็น ปราณ และจิตของตัวเองประเภทนั้น
จากสภาพน่าอนาถของตัวเองหลังจากใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนปรับเปลี่ยนไปครั้งหนึ่ง เขาก็สรุปว่าจะต้องคิดหาวิธีลดผลข้างเคียงตอนปรับเปลี่ยน ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับร่างกาย
“มีคัมภีร์ลับกำลังภายในที่เล่าลือกันแบบ นั้นหรือไม่”
“คัมภีร์ลับกำลังภายใน”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยลูบคาง
“พี่เซิ่งท่านทำให้ข้าตอบไม่ถูกแล้ว ถ้าอยากได้สิ่งนี้ในตลาด ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แค่กะพริบตาก็อาจถูกแย่งไปแล้ว”
“เจ้าบอกเองว่า ของจริงของปลอมยากแยกแยะ ในโกดังของบ้านเจ้าสมควรมีหนังสือแบบนี้อยู่กระมัง”
ลู่เซิ่งเป็นคนรู้แจ่มแจ้ง สถานที่อย่างสถานประมูลเมื่อประมูลขายของอย่างคัมภีร์ลับแบบนี้ พวกเขาล้วนคัดลอกเก็บไว้หนึ่งฉบับ
ตระกูลสวีเปิดสถานประมูลมาหลายปี ฉบับคัดลอกที่รวบรวมไว้ไม่มีทางน้อยเด็ดขาด
“ไอ้ของพวกนั้นน่ะ…พี่เซิ่ง แม้แต่ข้ายังไม่แน่ว่าจะแยกแยะได้ ว่ามีเล่มจริงอยู่หรือไม่
“ในร้อยเล่มอาจมีเล่มเดียวเป็นของจริงก็นับว่าไม่เลวแล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่เคยมีใครฝึกปราณกำลังภายในได้ ท่านแน่ใจหรือว่าอยากได้”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกล่าวอย่างลังเล
“แต่สหายข้าขอเตือนท่านประโยคหนึ่ง ฉบับเก็บรักษาเหล่านั้นอย่าได้ไปเล่น ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา ร่างของตัวเองพังลงไป ไม่มีวิธีช่วยเหลือแล้ว
“เจ้ามีวิธีหาหรือไม่”
ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว เขาคุ้นเคยกับสีหน้าของเจ้าอ้วน ทุกครั้งที่เขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ ก็คือมีวิธีการอยู่ในใจ แต่ว่าลังเลไม่ทราบสมควรพูดหรือไม่
“วิธีหากลับมี…พี่เซิ่งคัมภีร์ลับชนิดที่ท่านต้องการ ครั้งนี้ในการประมูลกลับมีเล่มหนึ่งจริงๆ…”
บนใบหน้าเจิ้งเสี่ยนกุ้ยปรากฏสีหน้าลำบากใจ
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดตั้งแต่แรกเล่า” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“มิใช่ข้าไม่พูด แต่ของสิ่งนี้จะเปิดประมูลในงานชุมนุมดำ…” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกล่าวอย่างจนปัญญา
“งานชุมนุมดำ?”
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจแล้ว
งานชุมนุมดำเป็นงานประมูลลับ แขกทุกคนล้วนไม่เผยใบหน้าชื่อแซ่ สิ่งที่ประมูลส่วนมากได้มาไม่ถูกต้อง ถึงขั้นบางชิ้้นยังเปื้อนกลิ่นคาวเลือด
ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมดำส่วนใหญ่เป็นโจร หรือไม่ก็เป็นชนชั้นชั่วร้าย
“จัดการให้ข้าเข้าร่วมได้หรือไม่”
ลู่เซิ่งคิดเข้าร่วมประมูลด้วยตัวเองแล้ว
โจรร้ายทั่วไปไม่มีใครกล้าหาเรื่องตระกูลลู่
ตระกูลแค่ชนชั้นยอดฝีมือก็มีสามสี่สิบคนแล้ว และยังมีกลุ่มผู้คุ้มกันยอดฝีมืออย่างลุงจ้าวอีกหลายคน
ลู่เฉวียนอัน นายท่านผู้เฒ่ากับที่ทำการจวนขุนนางยังมีความสัมพันธ์โยงใยกันไปหมด พบปัญหายังมีกองทหารช่วยเหลือ
คนใหญ่คนโตเช่นนี้ไม่กลัวโจรร้ายธรรมดาจริงๆ
……………………………………….