ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 600 สามขีดจำกัดใหญ่ (2)
บทที่ 600 สามขีดจำกัดใหญ่ (2)
‘การผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูใช้ได้ไม่เลว’ ลู่เซิ่งสังเกตสีหน้าท่าทางของเสือดำอย่างละเอียด และทำการจดบันทึกสถิติจำนวนหนึ่ง
‘ต่อจากนี้ คือการปั้นระบบเยื่อดำ จะผสมผลของเยื่อดำที่มีเฉพาะในมารสวรรค์เข้าไปด้านในยังไงดี…’
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าใคร่ครวญ
หลังจากได้รับวิชาปลูกถ่าย เขาก็เข้าใจแก่นแท้ของมันอย่างรวดเร็ว เขาได้ฝึกฝนวิชาปลูกถ่ายถึงขั้นที่ห้าซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้ว แม้แต่ตัวถูจินเองก็ยังอยู่แค่ระดับมาตรฐานขั้นสามเท่านั้น
วิชาปลูกถ่ายขั้นห้าแสดงผลที่น่ากลัวและเหี้ยมหาญออกมาอย่างรวดเร็ว มันหลอมรวมอวัยวะชนิดเดียวกันของสายพันธุ์สามชนิดเข้าด้วยกันได้ในระดับหนึ่ง โดยมีอัตราล้มเหลวแค่สองส่วนเท่านั้น
ถึงแม้จะต้องเสียด้ายกระตุ้นวิญญาณเป็นจำนวนไม่น้อย ทว่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ ลู่เซิ่งจึงไม่สนใจ
ความจริงหัวใจสำคัญที่เขาได้เห็นจากวิชารักษาที่มีแบบแผนเป็นความหวังในการทะลวงขีดจำกัดของตัวเอง
จะทำให้ผู้อ่อนแอรองรับอวัยวะจากร่างของสัตว์ที่แข็งแกร่งอย่างไรโดยทำให้กายเนื้อไม่พังทลาย
นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง
ไม่ใช่สมดุลอันเปราะบางที่เกิดจากตัวตนอันแสนพิเศษแบบนั้น แต่เป็นการทำให้อวัยวะที่แข็งแกร่งเหล่านั้นหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของผู้อ่อนแออย่างแท้จริง เพื่อช่วยเหลือพวกเขาและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พวกเขา
‘ใกล้แล้ว ถ้าปัญหานี้ถูกแก้ไข ก็จะลองทดลองขั้นต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังต้องหาวัตถุดิบที่เป็นคนเป็นๆ เพิ่มด้วย จำนวนเมื่อก่อนหน้านี้ยังไม่พอ’ ก่อนหน้านี้เขาได้จับคนชั่วช้าสารเลวส่วนหนึ่งที่อยู่ในละแวกนี้มาใช้ทดลองในสิ่งมีชีวิต เพียงแต่หลังจากการทดลองมีเงื่อนไขเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้รอบๆ ถึงขั้นแม้แต่พวกอันธพาลอย่างโจรภูเขาก็ใกล้สูญพันธุ์แล้ว นี่ทำให้ลู่เซิ่งกังวลว่าจะทำอย่างไรกับแหล่งที่มาของสิ่งมีชีวิตดี
ต่อมาหลังจากบันทึกสถิติเสร็จ ลู่เซิ่งก็ป้อนอาหารให้แก่เสือดำเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง
เขาเดินตามเส้นทางในถ้ำกลับถึงบนพื้นอย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองดูท้องฟ้าอย่างคุ้นเคย พร้อมกับยื่นมือไปลูบสมุดหยกสีเขียวมรกตที่อยู่ในอกเสื้อ
นับตั้งแต่มีสมุดหยกระบุสถานะเล่มนี้ กลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้คนไม่อาจบรรยายกลางอากาศก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขาอีก
ลู่เซิ่งเคยทำพฤติกรรมที่ค่อนข้างอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมส่วนหนึ่งเพื่อทดลองพลังสายนี้ แต่อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย เหมือนวิถีฟ้าที่สูงส่ง ซึ่งไม่ตอบสนองแม้แต่นิดเดียวไม่ว่าท่านจะทำอะไร
ลู่เซิ่งจัดเสื้อผ้าบนตัว ก่อนจะเร่งความเร็วเพื่อเดินไปยังลานน้อยของตระกูลถู
เขาตัดทะลุป่ารกชัฏ ตอนที่เดินถึงเนินเล็กๆ ที่ตระกูลถูตั้งอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนดังมาจากด้านในลาน หนำซ้ำยังมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเดินออกจากป่า แล้วเห็นจ้าวเต๋อเฉิงที่เป็นศิษย์คนโตของถูจินกำลังคุยอยู่กับบุรุษที่สวมชุดคลุมตัดสั้นสีแดงเหมือนกับเขาสองคนพอดี
ครั้งนี้จ้าวเต๋อเฉิงติดตามศิษย์พี่ใหญ่ออกมาทำภารกิจ และสถานที่ทำภารกิจก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านตัวเองพอดี จึงพาพวกศิษย์พี่มาขอพักอาศัย
เขาเป็นลูกกำพร้าที่ถูจินผู้เป็นอาจารย์เก็บมาเลี้ยง ดังนั้นแม้เปลือกนอกจะเป็นแค่ศิษย์ แต่ความจริงไม่ว่าเขาหรือถูจินก็ล้วนมองกันและกันเป็นคนที่สนิทสนิมกับตัวเองที่สุดเสมือนพ่อลูก
“…มังกรอะไรล้วนเป็นของปลอม กลับเป็นงานเลี้ยงเซียนบรรเลงของสำนักสามคู่ไร้ขีดจำกัดที่อยู่ทางเหนือซึ่งอาจารย์อาหวังไปเข้าร่วมเมื่อครั้งก่อน ในงานเลี้ยงอารักขาสัตว์ยักษ์ไว้ตัวหนึ่ง ว่ากันว่ามีสายเลือดมังกรจริงๆ”
“เคยเห็นหน้าตาของมันไหม”
“ไม่เคยๆ นั่นเป็นงานชุมนุมระดับไหน แม้แต่สำนักเมฆาแดงของพวกเราก็มีแค่พวกเจ้าสำนักกับอาจารย์อาหวังเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าร่วม คนไร้ความสำคัญอย่างพวกเราไหนเลยมีโอกาส”
“โลกเบื้องล่างธรรมดาก็มีอสูรมังกรเหมือนกันไม่ใช่หรือขอรับ พวกมันไม่ใช่มังกรอย่างนั้นหรือ” จ้าวเต๋อเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“…แทนที่จะบอกว่าเป็นมังกร ความจริงเป็นแค่สัตว์ร้ายที่หน้าตาคล้ายกันเท่านั้น มังกรตัวจริงมีอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดซึ่งใช้ได้อย่างใจนึก สามารถพลิกเมฆคลุมฝน…เอ๋? ทางนั้นมีคนมาหรือ” ศิษย์พี่คนหนึ่งเห็นลู่เซิ่งที่เดินมาทางนี้แล้ว
จ้าวเต๋อเฉิงเห็นลู่เซิ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากในป่าแล้วเช่นกัน หลายเดือนก่อนตอนที่ได้รับจดหมาย เขารู้แล้วว่าอาจารย์ของตนรับศิษย์คนสุดท้าย ซึ่งเป็นคนหนุ่มแปลกหน้าที่ช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญผู้นั้นนั่นเอง
เขาจำได้ว่าตนเองเคยเจอคนหนุ่มผู้นี้ตอนที่กำลังจะออกจากบ้าน
ตอนนี้ผ่านไปนานแล้ว พอมองคนหนุ่มผู้นี้อีกรอบหนึ่ง…
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกลับมาตอนไหนกัน” ลู่เซิ่งยิ้มแย้มและทักทายอย่างเป็นมิตร
เขาสวมชุดยาวสีเหลืองอ่อน รวบผมยาวเป็นหางม้า หว่างคิ้วแสดงความถ่อมตน แม้จะไม่หล่อเหลา แต่บุคลิกที่ดูดีพลันทำให้เกิดความรู้สึกสนิทสนมที่น่าคบหา
พวกศิษย์พี่จากสำนักเมฆาแดงมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับจ้าวเต๋อเฉิง ดังนั้นพอได้ยินว่าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์หลังจากแนะนำให้ฟังคร่าวๆ ก็พลันทักทายลู่เซิ่งด้วยความอบอุ่นทันที
จ้าวเต๋อเฉิงยิ้มแย้มขณะสอบถามสถานการณ์ในช่วงนี้ของอาจารย์จากลู่เซิ่ง เพียงแต่แม้เปลือกนอกเขาจะไม่แสดงสีหน้า แต่กลับไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด พอลู่เยวี่ยผู้นี้ปรากฏตัว ส่วนลึกของจิตใจกลับเกิดความครั่นคร้ามขึ้น
“พวกศิษย์พี่กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ” เซินเซินวิ่งออกมาจากบ้าน ไม่เจอกันมาหลายเดือน นางอ้วนขึ้นอีกแล้ว…ไขมันบนร่างแทบจะผ่านกรอบประตูออกมาไม่ได้
พอเห็นพวกเต๋อเฉิงกำลังคุยกับคนอื่นอยู่ด้านนอก นางก็รีบรุดออกมา
“เสี่ยวเยวี่ยนี่เอง” นางเห็นลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนทันที จึงทักทายอย่างร่าเริง
ลู่เซิ่งยิ้มและคุยกับนาง ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันดี
เพียงแต่ยิ่งเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ จ้าวเต๋อเฉิงก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น
ไม่ใช่เพราะเขาอิจฉา หากเป็นความไม่สบายใจในเชิงสรีรวิทยาอย่างแท้จริง
เขามีความน่าสนิทสนมตั้งแต่ยังเด็ก บนตัวมีกลิ่นอายแห่งความปรองดองกลมเกลียว จึงได้รับความชื่นชอบจากสัตว์ตัวเล็กๆ จำนวนมาก
สาเหตุที่เขาได้รับการคัดเลือกจากสำนักเมฆาแดง เป็นเพราะการรับรู้ทางด้านนี้ของเขาปราดเปรียวถึงขีดสุด ดังนั้นแม้พรสวรรค์จะธรรมดา แต่การรับรู้ก็ชดเชยจุดอ่อนของเขาได้อย่างใหญ่หลวง
เพียงแต่หลังจากกลับมาและได้พบลู่เยวี่ย เขาก็สัมผัสได้ถึงความบิดเบี้ยวอ่อนบางที่ไม่ลงตัวจากร่างของอีกฝ่าย นอกจากความรู้สึกบิดเบี้ยวน่าอึดอัดแล้ว ยังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ รวมถึงความรู้สึกที่ทำให้เขากระวนกระวายใจถึงขีดสุดอยู่ด้วย
“เป็นอะไรไปหรือศิษย์พี่เต๋อเฉิง สีหน้าท่านดูไม่ดีนะ” เต๋ออวิ๋นที่ออกมาทีหลังเข้ามาประคองเขาอย่างเป็นห่วง
จ้าวเต๋อเฉิงส่ายหน้าและยิ้มแกนๆ
“อาจเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางเมื่อก่อนหน้านี้ และยังไม่ได้พักผ่อนกระมัง…” เขาหาข้ออ้างไปเรื่อย
“เช่นนั้นท่านเข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เต๋ออวิ๋นเสนอ
“ก็ดีเหมือนกัน…ข้าขอเข้าไปนอนรออาจารย์กลับมาก่อนนะ” เต๋อเฉิงพยักหน้า
หลังบอกพวกศิษย์พี่เสร็จ เขาก็เข้าไปในบ้านและนอนลงบนเตียงในห้องตัวเองโดยมีเต๋ออวิ๋นเป็นคนประคอง
เพียงแต่ต่อให้จะนอนลงแล้ว เขาก็ยังคงสับสนงุนงง รู้สึกว่ามีเสียงคร่ำครวญของมนุษย์และสัตว์ดังอยู่ข้างหูเบาๆ
เขาผล็อยหลับไปอย่างสะลึมสะลือโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่ทราบว่าหลับไปนานเท่าไหร่ อยู่ๆ ลมเย็นอันอ่อนบางก็พัดต้องใบหน้าของเขา เต๋อเฉิงจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นจากหลับลึก
พอเขาลืมตาขึ้น ก็ค้นพบอย่างงุนงงว่าข้างๆ มีคนคนหนึ่งยืนอยู่
เป็นลู่เยวี่ย!
เขายืนมองตนด้วยรอยยิ้มที่แฝงความห่วงใยอยู่ข้างเตียง
เต๋อเฉิงขนลุกขนชัน เกิดอาการขย้อนในคอ สมาธิรวมตัวกันในพริบตาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
อ๊าก…ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…ปล่อยข้าไปเถอะ…!
พริบตานั้น เขาเหมือนได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดที่หนาหนักนับไม่ถ้วนจากร่างของลู่เยวี่ย เต๋อเฉิงเหมือนกับเห็นเลือดนับไม่ถ้วนที่หนาถึงขีดสุดวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวลู่เยวี่ยในชั่วขณะที่พร่ามัว
ในเลือดนั้นมีมือคนที่ยังเจ็บปวดกำลังยื่นออกมาและดิ้นรน
“ท่านเป็นอะไรไป สบายดีไหม” เสียงของลู่เยวี่ยกระชากเขากลับสู่โลกความจริง
ม่านตาของเต๋อเฉิงค่อยๆ กลับเป็นปกติ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งพร้อมกับลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรแล้ว ศิษย์น้องเจ้าไปทำงานเถอะ เวลานี้น่าจะมีคนป่วยเยอะแยะที่ต้องดูแลไม่ใช่หรือ” เขามองไปนอกหน้าต่าง เป็นยามบ่ายแล้ว
ด้านนอกมีเสียงหัวเราะของถูจินผู้เป็นอาจารย์ดังมาเบาๆ
เขาไม่ได้ยินอาจารย์หัวเราะอย่างเบิกบานขนาดนี้มาหลายปีแล้ว
“อย่างนั้นข้าประคองท่านออกไปดีไหม”
“ก็ดี…”
ลู่เซิ่งประคองเต๋อเฉิงเดินออกจากห้อง แล้วเดินเข้าไปในห้องพยาบาล
ตลอดทางพบเห็นผู้ป่วยไม่น้อย ต่างก็กำลังทักทายลู่เยวี่ย พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณและชมเชยเขาไม่หยุด
เต๋อเฉิงได้ยินแล้วรู้สึกเสียดหูพิกล
พอมาถึงห้องพยาบาล เขาก็งุนงงสับสนต่อ เนื่องจากได้ยินถูจินผู้เป็นอาจารย์ชื่นชมลู่เยวี่ยไม่ขาดปาก ทางศิษย์น้องเซินเซินก็เป็นเหมือนกัน ชมว่าลู่เยวี่ยรอบคอบถี่ถ้วน มีวิชาแพทย์สูงส่ง ยังบอกว่าช่วยนางหาวิธีการรักษาโรคอ้วนที
เต๋อเฉิงได้แต่ยิ้มแกนๆ
เขาเพียงรู้สึกว่าทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างกำลังชมลู่เยวี่ย ส่วนตัวเขากลับสัมผัสกลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นได้จากบนตัวลู่เยวี่ย เสียงร้องโหยหวนกับเงาลวงที่ปรากฏออกมาอย่างบรรยายไม่ได้นั้นกลับไม่เหมือนเป็นของปลอม
เช้าตรู่วันต่อมา เขาทนอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ เผอิญที่ต้องออกไปทำภารกิจพอดี เขากับพวกศิษย์พี่จึงออกจากตระกูลถูเพื่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาอันเป็นที่ที่ภารกิจอยู่ราวกับกำลังหลบหนี
…
ตระกูลถู
หลังจากยุ่งอยู่ทั้งวัน ถูจินก็เข้าห้องไปจัดวัตถุดิบทำยา ส่วนลู่เซิ่งตักน้ำจากบ่อน้ำในตัวลานอยู่
เซินเซินไม่ได้ตามกลุ่มใหญ่ไปด้วย หากแต่ตัดสินใจรั้งอยู่ชั่วคราว
พอเห็นลู่เซิ่งกำลังตักน้ำอยู่ในลาน นางก็แอบเข้าใกล้
“นี่ เสี่ยวเยวี่ย”
“อะไรหรือขอรับ” ช่วงนี้ลู่เซิ่งคลำส่วนสำคัญของวิชาปลูกถ่ายออกมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว สิ่งสำคัญอย่างสุดท้ายในตอนนี้คือการล้วงวิชาลับสามขีดจำกัดใหญ่ที่ซุกซ่อนไว้ลึกสุดขีดบนตัวถูจินออกมา
ถ้าหากบอกว่าวิชารักษาที่มีแบบแผนเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดที่มีความคมถึงขีดสุด อย่างนั้นสามขีดจำกัดใหญ่ก็เป็นทักษะอันมหัศจรรย์ที่ทำให้อุปกรณ์การผ่าตัดชิ้นนี้มีอานุภาพแข็งแกร่งกว่าเดิม
สามขีดจำกัดใหญ่ทำให้วิชารักษาที่มีแบบแผนไปถึงอีกระดับขั้นหรืออีกขอบเขตหนึ่งโดยสิ้นเชิง ทั้งยังเป็นขอบเขตของอันตรายด้วย
ถูจินเพียงพูดถึงเรื่องนี้นิดหน่อยเท่านั้น แถมยังทำเป็นอมพะนำในตอนที่ลู่เซิ่งถามถึง เหมือนกับว่าจะนำสามขีดจำกัดใหญ่ลงโลงไปด้วย
ลู่เซิ่งกำลังใคร่ครวญอยู่ว่า จะล้วงเอาของดีของสุดท้ายของถูจินออกมาได้อย่างไร
ตอนนี้เซินเซินมาหาเขา พอมองดูรูปร่างอ้วนจนไม่อาจบรรยายของเซินเซิน อยู่ๆ เขาก็มีความคิดวิเศษอย่างหนึ่ง
เซินเซินกลับไม่ทราบความคิดในใจลู่เซิ่ง นางยังคงประหลาดใจกับปฏิกิริยาของเต๋อเฉิงเมื่อก่อนหน้าอยู่
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าศิษย์พี่ใหญ่เหมือนแปลกๆ อยู่ หลังจากกลับมาในครั้งนี้”
“ดูเหมือนจะใช่”
ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ เขาเห็นความผิดปกติของเต๋อเฉิงแล้ว อีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะไม่กี่คนซึ่งมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณแข็งแกร่งถึงขีดสุด
กอปรกับช่วงนี้เขาจับคนมาทำการทดลองบ่อยเกินไป จึงกระตุ้นความแค้นและเลือดลมที่สั่งสมไว้ก่อนหน้า ดังนั้นการที่เต๋อเฉิงสัมผัสได้จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตที่เขาเคยเชือดมาก็มีมากมายเกินไปจริงๆ ทั้งมนุษย์ มาร ปีศาจ วิญญาณร้าย รวมถึงสิ่งมีชีวิตในโลกอื่นๆ ที่เคยสังหาร พอนำมาบวกกันแล้ว จึงไม่ใช่ว่าไม่มีผลกรรมความเคียดแค้น เพียงแต่เนื่องจากเขาเป็นมารสวรรค์ ก็เลยไม่สนใจเท่านั้น
……………………………………….