ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 604 หัวใจแห่งโลหิต (2)
บทที่ 604 หัวใจแห่งโลหิต (2)
ตวนมู่หว่านพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มีพวกจอมอาวุโสอยู่รอบๆ แถมที่นี่ยังเป็นต้าซ่ง ไม่ใช่ต้าอินที่มีผู้เข้มแข็งมากมาย ต่อให้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงอะไร พวกจอมอาวุโสก็เอาอยู่”
ลิ่วซานจื่อเห็นด้วย สำหรับต้าซ่ง สำนักมารกำเนิดในตอนนี้เป็นขุมอำนาจยิ่งใหญ่ แค่ตัวตนระดับราชามารก็มีหลายตนแล้ว บวกกับอาวุธเทพที่ลู่เซิ่งทิ้งไว้คุ้มครองอยู่ ยังมีสำนักอริยะที่สามคอยดูแลอีก ขุมกำลังทั่วไปไม่อยู่ในสายตาจริงๆ
ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นต้าซ่งที่ระดับราชามารเป็นตัวตนขั้นสุดยอด
ลิ่วซานจื่อหวนนึกถึงอดีตที่คอยประคับประคองสถานการณ์ยากลำบากของสำนักเพียงลำพัง เทียบกับตอนนี้แล้ว เหล่าจอมอาวุโสที่เป็นตัวตนขั้นสุดยอดในหมู่ผู้ถืออาวุธหรือราชามารต่างก็เข้าร่วมสำนักมารกำเนิด
สำนักมารกำเนิดในตอนนี้เกือบกลับคืนสู่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว
นี่ยังไม่ได้นับเจ้าสำนักลู่เซิ่งที่ยังไม่ได้กลับมาอีก
ถ้าหากว่ารวมเจ้าสำนักคนปัจจุบันผู้นี้เข้าไปด้วย เกรงว่าจะใช้พลังปกครองต้าซ่งได้แล้ว
“จัดการทุกอย่างให้เสร็จก่อน เจ้าสำนักจะต้องกลับมาแน่ ข้าเชื่อ” ตวนมู่หว่านกล่าวอย่างจริงจัง
นางแตกต่างจากคนอื่น บนตัวนางมีจุดสะกดที่ลู่เซิ่งติดตั้งเอาไว้
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ไกลออกไปก็พลันมีศิษย์คนหนึ่งวิ่งมา
“รายงานตัวแทนเจ้าสำนัก ด้านนอกมีคนขอพบขอรับ”
“หือ?” ตวนมู่หว่านผุดสีหน้าจริงจัง เพิ่งกลับมาก็มีคนมาหาแล้ว ข่าวยังไม่ทันกระจายออกไปเลยกระมัง ใครกันมาเร็วขนาดนี้
นางพลันนึกถึงเรื่องราวในอดีตส่วนหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกาย
“ใครกัน”
“อีกฝ่ายบอกว่าเป็นคนรู้จักเก่าของเจ้าสำนัก เคยทำข้อตกลงกันมาก่อน” ศิษย์คนนั้นกล่าวอย่างประหลาดใจเช่นกัน “นอกจากนี้อีกฝ่ายดูมีอายุสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น…เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง” เขากล่าวเสริม
“อืม” สีหน้าของตวนมู่หว่านเปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อย “พาข้าไปดูที”
“ไม่จำเป็น ข้าเข้ามาแล้ว”
เสียงผู้หญิงที่เย็นชาเรียบเฉยตัดบทนาง เงาร่างเตี้ยเล็กที่สวมผ้าคลุมสีเทาสองสายเดินเข้ามาจากประตูทางเข้าถ้ำที่มืดครึ้ม
ผู้ที่เดินอยู่ตรงหน้าเป็นเด็กผู้หญิงผิวขาวที่งดงาม นางอย่างมากสุดมีอายุไม่เกินสิบกว่าปีตามที่ศิษย์คนนั้นบอกจริงๆ
คนที่อยู่ด้านหลังเด็กผู้หญิงเป็นเงาคนเตี้ยต่ำคลุมศีรษะคนหนึ่ง จึงมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ให้ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างเลือนราง
“ข้ามาหาลู่เซิ่ง เขาเล่า ตอนนั้นเขาทำข้อตกลงกับข้าไว้แล้ว” เด็กผู้หญิงเหลียวมองซ้ายขวาหลังจากเข้ามา เหมือนประหลาดใจยิ่ง
ศิษย์สำนักมารกำเนิดที่อยู่รอบๆ เหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ ถูกคนแทรกซึมเข้ามาในสถานที่สำคัญโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้พวกเขาจะยังไม่ได้ควบคุมที่นี่โดยสมบูรณ์ แต่การกระทำแบบนี้เป็นการระทำที่อันตรายอย่างยิ่งต่อขุมกำลังทุกกลุ่ม
เกิดเสียงชักดาบดังเคร้งคร้าง ศิษย์สำนักมารกำเนิดค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาทางนี้
“เอ่อ…เจ้าสำนักของพวกเราออกไปด้านนอกยังไม่กลับมา…ท่านมีชื่อว่าอะไรหรือ พวกเราจะได้แจ้งเขาได้ทันทีตอนที่เขากลับมา” ตวนมู่หว่านโบกมือบอกให้ทุกคนหยุด
อีกฝ่ายดูไม่มีเจตนาร้าย เพียงแต่ไม่อยากรอการรายงานเท่านั้น นางจะทำลายภาพประทับใจของสองฝ่ายลงก่อนไม่ได้
เด็กผู้หญิงขมวดคิ้ว “พวกเจ้าเรียกข้าว่าอันซาก็ได้ อย่างนั้นเจ้าสำนักของพวกเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ เขาได้บอกไว้ก่อนจะไปไหม”
“น่าเสียดายนัก…ไม่ได้บอกไว้…” ตวนมู่หว่านตอบ
“อย่างนี้นี่เอง…ตกลง ข้าจะกลับไปรอก่อน” อันซาหมุนตัวไปอย่างจนปัญญา ขณะกำลังจะจากไป อยู่ๆ นางก็หยุดอยู่ที่เดิม
“หือ เจ้าเป็นใคร” นางจ้องมองไปยังซากตึกหินแห่งหนึ่งในถ้ำ ตรงนั้นไม่มีใครอยู่แท้ๆ แต่นางกลับส่งเสียงถามโดยไม่มีสาเหตุ
ตอนนี้จอมอาวุโสที่เหลืออยู่ของสำนักมารกำเนิดต่างมาถึงกันหมดแล้ว คนหนึ่งในนี้คือราชาเงามืดที่เพิ่งกลับมาจากคฤหาสน์ลู่บนผิวดิน พริบตาที่เห็นอันซา เขาก็ตัวสั่นระริกและตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก
สาเหตุที่ราชามารอย่างพวกเขาเคยถูกจองจำและไม่มีใครช่วยเหลือ เป็นเพราะพวกเขาคือบริวารเก่าของอันซา ในฐานะจักพรรรดิมารที่ถูกผนึกเพียงคนเดียว เหล่าทหารชั้นสูงในสังกัดของอันซาย่อมถูกกดดันและลดทอนพลังอย่างโหดร้ายตามไปด้วย
ราชาเงามืดเป็นหนึ่งในนี้ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเป็นเพียงแม่ทัพตัวน้อยคนหนึ่ง แต่ก็เคยเห็นรูปโฉมอันสูงศักดิ์ของจักรพรรดิมารอันซาอยู่ไกลๆ
ดังนั้นเขาจึงจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร
แต่ตอนนี้อันซากลับไม่สนใจบริวารเก่าในอดีตของตัวเอง หากแต่จับจ้องซากปรักหักพังตรงนั้นเขม็ง
“ยังจะซ่อนต่อไปอีกหรือ” ม่านตานางกลายเป็นสีทองแวบหนึ่ง
สตรีผมยาวสีดำที่ร่างเป็นสีเทาคนหนึ่งยืนอยู่ในเงามืดตรงซากตึกหินอย่างสงบเงียบ พลางช้อนตาสีเทาขึ้นมองอันซา
“ลู่เซิ่งเป็นบริวารของข้า ข้ามาดูว่าเขาตายหรือไม่ ถ้าไม่ตายก็จะพาเขากลับไป” สตรีเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“บริวารของเจ้า” อันซาทำสีหน้าเยาะเย้ย “เจ้านึกว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิรัตติกาลที่ทำให้สุดยอดเจ้าแห่งอาวุธคนหนึ่งเป็นบริวารได้หรือ”
สตรีร่างเทางุนงง ก่อนจะกล่าวอย่างสับสนทันที
“เจ้าแห่งอาวุธหายากนักหรือ”
อันซาพลันเคร่งเครียด นางรู้แล้วว่าอีกฝ่ายมาจากไหน
“พวกเจ้า…” นางกัดฟัน ไม่ได้พูดอะไรอีก หากหมุนตัวพาคนอีกคนหายไปจากทางเข้าถ้ำ ถึงกับจากไปเช่นนี้
สตรีอาภรณ์เทามองดูนางจากไปอย่างมึนงงแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ดูเหมือนจะตายไปแล้วจริงๆ” บุรุษร่างสูงใหญ่ที่สวมอาภรณ์ดำและหมวกสีดำคนหนึ่งปรากฏร่างครึ่งหนึ่งด้านข้างนาง
“ยืนยันแล้วก็ไปเถอะ” นางกล่าวอย่างราบเรียบ
“ทำไม เจ้ากังวลว่าข้าจะลงมือกับขยะเหล่านี้หรือ” บุรุษกล่าวเยาะเย้ย
“ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้เจ้าตายที่นี่เท่านั้น” สตรีอาภรณ์เทาเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “เด็กผู้หญิงคนเมื่อครู่มีพลังแข็งแกร่งมาก ข้าเอาไม่อยู่”
บุรุษงุนงง ก่อนจะกัดฟัน ไม่ตอบโต้อะไรอีก
เขาทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
หนึ่งในสี่เสาแห่งพิภพมาร ตัวตนเช่นนี้ไม่ใช่ผู้ที่เจ้าแห่งอาวุธทั่วไปจะสู้ได้ อย่าว่าแต่เขายังไม่ใช่เจ้าแห่งอาวุธด้วยเลย
“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าจะมาช่วยบริวารเพียงคนเดียวทำไม ไม่กลัวเหนื่อยหรือไง” บุรุษบ่นขณะหายเข้าไปในความมืด
สตรีอาภรณ์เทาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงเม้มปากใคร่ครวญ
หอฟ้าเมฆาของสำนักนทีครามถูกทำลายไปพร้อมกับดาวเคราะห์แล้ว แถมยังลากหัวกะทิกลุ่มหนึ่งของโลกแห่งความเจ็บปวดไปด้วย คนร้ายถูกสืบเจอแล้วว่าเป็นเผ่าอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร ว่ากันว่ากลไกตอบสนองของอารามในสำนักนทีครามได้ฆ่าภาพสะท้อนของมันทิ้งไป
เรื่องนี้ภายนอกดูเหมือนไม่เกี่ยวกับลู่เซิ่ง แต่นางเกิดลางสังหรณ์ที่อธิบายไม่ได้ขึ้น
กอปรกับอย่างไรนางก็เสียอัจฉริยะด้านการจัดการใต้อาณัติไป แม้ภายหลังจะหาได้หลายคน แต่ก็สู้ลู่เซิ่งไม่ได้อยู่ดี
เงียบงันสักพัก นางก็ปล่อยกลิ่นอายของตัวเองออกไปทางพวกเดียวกันในที่ลับ ซึ่งมีบางส่วนที่กระเหี้ยนกระหือรือจะลงมือ
เวลานี้หนวดของโลกแห่งความเจ็บปวดรวมถึงกากเดนของสำนักไตรอริยะเหล่านี้คล้ายกับคิดจะตีชิงตามไฟ
“ไสหัวกลับไปซะ! ต่อให้เขาตายแล้ว ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะถูกขยะที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องโดนกำจัดอย่างพวกเจ้าจะแตะต้องได้…ไปเถอะ กลับได้แล้ว” นางมองเงาในความมืดกลุ่มนั้นที่ถอยจากไปอย่างรวดเร็วหลังถูกสยบ ตัวนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวจากมา
“นี่ แล้วเจ้ามานี่เพื่อทำอะไรกันแน่” บุรุษคนนั้นพลันกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ช่วยสงเคราะห์ให้แก่บริวารเก่า” นางตอบ
“เจ้ามีน้ำใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” บุรุษรีบติดตามไป
…
นครตราชั่ง ถ้ำใต้ดินของข่ายภูเขามังกร
ปราณมารสีดำผืนใหญ่แผ่ขยายอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นค่ายกลสามมิติทรงตาข่ายขนาดใหญ่ใต้พันธนาการของค่ายกลโปร่งแสงแถบหนึ่ง
เส้นทางค่ายกลประกอบขึ้นจากปราณมาร
ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่ตรงกลางมองดูผลึกมารอัคคีจำนวนมากที่ฝังอยู่ในค่ายกลบนพื้น ที่นี่ไม่สามารถหาผลึกพลังงานพิเศษที่เขาใช้ตอนอยู่ในสำนักมารกำเนิดได้ จึงใช้ผลึกมารอัคคีที่ควบคุมได้ยากกว่าแทน
ลู่เซิ่งคุ้นเคยกับการกางค่ายกลจุติดี เพียงแต่การเปลี่ยนผลึกมารอัคคีเป็นแหล่งพลังงานทำให้เขาต้องปรับแก้ค่ายกลเล็กน้อยเท่านั้น
รอจนกางเรียบร้อย ก็ผ่านไปสามวันแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสิบวันถึงจะหมดช่วงลาพักครึ่งเดือน
‘สิบวัน…มากพอแล้ว ทำตามแผนเดิมก็แล้วกัน หาโลกที่มีความแตกต่างของเวลามากที่สุดแล้วยกระดับจิตวิญญาณโดยเร็ว จากนั้นก็กลับไปก่อนจะถึงวันเก็บเกี่ยวของมารดาแห่งความเจ็บปวด’
ลู่เซิ่งคิดคำนวณในใจ พร้อมกับกระจายจิตวิญญาณออกไปตรวจสอบรายละเอียดของค่ายกลอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดช่องโหว่ใดๆ อีกรอบ
ตรวจสอบอยู่ประมาณครึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดลู่เซิ่งก็ทำการตรวจสอบครั้งสุดท้ายสำเร็จ
‘เริ่มต้นได้แล้ว’ เขาขยับจิตวิญญาณเล็กน้อย แมลงเม่าจำนวนมากพลันซ่อนตัวอยู่ในบริเวณรอบๆ หากเกิดสถานการณ์ผิดปกติขึ้น พวกมันจะรายงานมายังถ้ำใต้ดินได้ตลอดเวลา
จากนั้นค่ายกลป้องกันและค่ายกลกั้นเสียงก็คุ้มกันค่ายกลจุติไว้อย่างหนาแน่น
‘ยังมีเจ้าจวงจิ้วอีก…เหอะ มายาพิศวง สุดยอดนึกหรือไง’ ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงราชามารสวรรค์ที่หลอกลวงเขาเมื่อก่อนหน้า ดวงตาสาดประกายเหี้ยมเกรียม
ที่แล้วมาเขาเป็นคนเอาเปรียบคนอื่นตลอด ครั้งนี้กลับเกือบถูกคนอื่นเอาเปรียบแล้ว
“รอข้าก่อนเถอะ ไม่นาน ไม่นานข้าจะกลับมา…” ลู่เซิ่งพึมพำและดีดนิ้ว
ชิ้ง!
ฉับพลันนั้นค่ายกลข้างใต้พลันเรืองแสงสีแดงหลายสาย ผลึกมารอัคคีที่ฝังตัวเข้ากับผืนดินส่องสว่างขึ้นมา
แสงสีแดงและกระแสความร้อนจำนวนมากรวมตัวกันที่จุดหนึ่ง หมุนวนไปตามลวดลายค่ายกล
ชิ้ง!
เกิดเสียงเบาๆ ดังขึ้น ร่องแยกสีเทาเปิดออกในทันใด แล้วลู่เซิ่งก็คว้าจังหวะหายเข้าไปด้านในทันที
ในร่องแยกสีเทาไม่มีนิยามด้านทิศทาง ลู่เซิ่งเพียงรู้สึกว่าเหมือนตัวเองว่ายวนอยู่ในมหาสมุทรสีเทา
วัตถุกึ่งโปร่งแสงที่พร่ามัวจำนวนมากไหลผ่านรอบๆ ตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว เขาเก็บจิตวิญญาณของตัวเองไว้อย่างมิดชิด ความจริงวัตถุกึ่งโปร่งแสงเหล่านี้เป็นทางเข้าร่องแยกของโลกต่างๆ
เพียงแต่เป็นเพราะว่ามีทางเข้าอยู่มากเกินไป เกิดเขายื่นจิตวิญญาณเข้าหา ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกลากเข้าไปในโลกหรือจักรวาลที่แปลกหน้าโดยสมบูรณ์ทันที
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่ามีพลังอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งกำลังผลักดันตัวเองให้ลอยไปยังทิศทางที่กำหนดไว้อย่างมั่นคงจากด้านหลัง
ไม่นานเท่าไหร่ ผ่านไปราวสิบนาที หรือยี่สิบนาที
ก็มีแสงสีเทากลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาหา
กุ๊กๆ
ฮู้ๆๆ
ฮู้ๆๆ
ในโพรงไม้ขนาดใหญ่กลางทะเลป่าอันรกชัฏและมืดสลัว มีรังอยู่ติดกันหลายรัง กระต่ายตัวน้อยที่มีขนาดเท่ากำปั้นกำลังนอนหลับอุตุ ทั้งยังส่งเสียงประหลาดตลอดเวลา
ในตอนนี้เอง ด้านหลังร่างกระต่ายสีเทาตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลางก็มีร่องแยกสีเทาสายหนึ่งเปิดขึ้น จากนั้นกระต่ายสีเทาก็ลืมตา เผยให้เห็นดวงตาที่งงงวยเหมือนกับมนุษย์
……………………………………….