ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 607 จุดไฟ (1)
บทที่ 607 จุดไฟ (1)
ใบไม้ร่วงลงมาเหนือศีรษะของแมวป่าแล้วปกปิดศพของมันไว้ ใบไม้สีเขียวมรกตกับเลือดสีแดงของแมวป่าดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งชักขากระต่ายกลับมา ก่อนเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เนื้อเป็นสิ่งมีพิษ การกินเนื้อก็เป็นวิธีการที่โหดเหี้ยมด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว พวกเจ้าคิดดู ในพืชไม่ใช่ว่ามีสิ่งที่ใช้ทดแทนเนื้อได้มากมายหรอกหรือ อย่างเช่นเห็ด ผลไม้ และถั่วทั้งหลาย”
ชิเอลหายตื่นตระหนกแล้ว แต่ใบหน้ากลับยังงุนงงอยู่
ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็ทราบคร่าวๆ ว่าระดับความรู้ของมันอยู่ในระดับอะไร จึงไม่พูดมากอีก
“ไปเถอะ พาข้าไปพบเผ่ากระต่ายเบื้องหลังเจ้า” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอ…ขอรับ!” ชิเอลสะดุ้งโหยง แล้วรีบขานตอบเสียงดัง
มันพาลู่เซิ่งกับเจ้าเหยินไปยังส่วนลึกของป่า เดินทางเป็นเวลาราวยี่สิบกว่านาที พุ่มไม้และใบไม้รอบๆ จึงค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวมรกตเป็นสีแดงเข้ม
ไม่นาน ชิเอลก็หยุดลงด้านหน้าถ้ำที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง
กุ๊กๆ!
มันร้องเสียงดัง
รออยู่สักพักก็มีเสียงตอบกลับมา
กุ๊กๆ
ชิเอลรีบตอบ ก่อนจะหมุนตัวมาพูดกับลู่เซิ่งอย่างนอบน้อมว่า
“ท่านปราชญ์ผู้สูงส่ง ที่นี่คือรังใหญ่ของเผ่ากระต่ายขาวขอรับ”
เสียงของมันเพิ่งจะขาดลง ในถ้ำก็มีกระต่ายสีขาวจำนวนไม่น้อยกระโดดเหยงๆ ออกมาทันที ในนี้มีกระต่ายสีเทากับกระต่ายลายจุดอีกหลายตัว
กระต่ายฝูงหนึ่งมองลู่เซิ่งที่ยืนสองขาอย่างฉงน ดวงตาสีแดงของพวกกระต่ายในถ้ำอันมืดมิดสะท้อนแสงจนดูเหมือนกับอัญมณีจำนวนมากในตอนกลางคืนมืดมิด
กระต่ายชราที่ผิวหนังเหี่ยวย่นและดวงตามัวซัวตัวหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุด มองลู่เซิ่งอย่างตกใจ ก่อนจะมองดูชิเอล คล้ายกำลังรอคำอธิบายจากเขา
“นี่คือท่านปราชญ์ลู่!”ชิเอลเริ่มแนะนำให้กระต่ายชราในฝูงกระต่ายฝูงนี้ฟัง
“ท่านปราชญ์ได้สังหารเจ้าศิลาเทาและเจ้าแมวป่าตัวหนึ่งตายในป่าของพวกสัตว์ป่า และมอบคำสั่งสอนอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ข้า” ชิเอลบอกเล่าเรื่องราวอย่างจริงจังด้วยเสียงอันดัง
“แมวป่าหรือ”
“เจ้าศิลาเทา งูพิษตัวนั้นงั้นหรือ”
พวกกระต่ายพลันปั่นป่วน ดวงตาหยุดอยู่บนร่างของลู่เซิ่งอย่างแตกตื่นสงสัย
“ชิเอล เจ้าไม่ใช่กินหญ้ามากไปเลยหลอนใช่ไหม กระต่ายอย่างพวกเราเนี่ยนะฆ่าเจ้าศิลาเทา แถมยังฆ่าแมวป่าอีก เจ้าจะหาเหตุผลก็หาเหตุผลดีๆ หน่อยเถอะ” กระต่ายตัวเมียตัวหนึ่งเดินออกมากล่าวอย่างเอือมระอา
“มีชา ไม่ใช่เรื่องแต่งนะ ข้าเห็นท่านปราชญ์ฆ่าแมวป่าต่อหน้าต่อตา!” ชิเอลตื่นเต้นเล็กน้อย
“ต่อหน้าต่อตาหรือ” กระต่ายชราที่อยู่หน้าสุดเอ่ยปากแล้ว
“ใช่แล้ว! เรื่องจริง! จริงแท้แน่นอน ศพของแมวป่าตัวนั้นยังอยู่ที่เดิม!” ชิเอลรีบอธิบาย
กระต่ายชราพยักหน้าเล็กน้อย เขาเชื่อว่าชิเอลไม่ได้โกหก แต่เป็นไปได้มากว่าชิเอลอาจถูกหลอก
“ไปดูดีไหม แค่ดูไกลๆ ก็พอ” กระต่ายชราเอ่ยอย่างราบเรียบ
ลู่เซิ่งไม่สนใจการโต้เถียงของพวกมัน เชื่อหรือไม่เชื่อเขาล้วนไม่สนใจ ถ้าหากที่นี่ไม่ราบรื่น อย่างนั้นเขาก็จะไปหาเผ่าอื่น
แม้เขาจะเป็นกระต่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องทำให้กระต่ายยอมรับเท่านั้น
แม้การที่กระต่ายฝูงนี้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานได้ จะต้องมีที่พึ่งอย่างแน่นอน แต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับลู่เซิ่ง
ขณะมองดูกระต่ายฝูงนี้เถียงกันว่าจะต้อนรับผู้มาจากภายนอกอย่างเขาหรือไม่ ในใจก็เริ่มหงุดหงิดอยู่บ้าง
ชิเอลอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ยังไม่มีใครยอมเชื่อ ถึงขั้นมีกระต่ายบางตัวเริ่มสงสัยมันว่า มันกับลู่เซิ่งต้องการวางแผนเล่นงานเผ่ากระต่ายมีสติปัญญา
เรื่องนี้ทำให้ชิเอลโกรธจนตาแดงกว่าเดิม
“พอแล้วชิเอล”
ในที่สุดลู่เซิ่งก็ส่งเสียงปราม
“พวกมันไม่ยอมรับคำสอนก็ช่างเถอะ กระต่ายในป่าไม่ได้มีแค่พวกมัน และโชคชะตาก็ไม่ได้ดูแลกระต่ายเผ่าเดียวด้วย”
เขาหมุนตัวเดินไปยังที่ไกล เดิมทีกระต่ายก็ขี้ขลาดอยู่แล้ว กระต่ายที่เหมือนกับชิเอลเป็นพวกแหกคอก การที่กระต่ายตัวที่เหลือแสดงออกอย่างนี้ ความจริงถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว
ชิเอลกำลังเถียงกับผู้ชรา พอได้ยินคำพูดของลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลังก็พลันตกใจ หมุนตัวไปก็เห็นลู่เซิ่งจากไปได้ระยะหนึ่งและกำลังจะหายไปในพุ่มไม้พอดี
มันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็สะกดความคาดหวังและความปรารถนาในใจตัวเองไม่ได้ จึงกัดฟันไล่ตามลู่เซิ่งไป
“ชิเอล! เจ้ากลับมานะ!?” ด้านหลังมีเสียงร้องของกระต่ายตัวเมียดังมา
ชิเอลทำเป็นไม่ได้ยิน ถึงแม้มันจะได้รู้จักลู่เซิ่งแค่ช่วงสั้นๆ แต่มันเชื่อว่านี่คือความหวังของพวกกระต่าย เป็นปราชญ์และเป็นแสงอรุณของพวกกระต่าย!
มันใจกล้ามาโดยตลอด ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน!
ชิเอลติดตามลู่เซิ่งกับเจ้าเหยิน วิ่งออกมาไกลมากจึงค่อยหยุดลง
“เจ้าตามข้ามาทำไม” ลู่เซิ่งถามอย่างประหลาดใจ
“ท่านปราชญ์…หรือท่านจะไม่ได้นำคำชี้แนะมาให้เผ่ากระต่ายของเรา” ชิเอลคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ถามความสับสนของตัวเอง
“ไม่” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “ข้านำคำชี้แนะมาให้ป่าทั้งป่าต่างหาก”
ชิเอลพลันกระจ่างแจ้งบ้างแล้ว…
ต่อจากนั้น มันก็ติดตามลู่เซิ่งไปจนเจอโพรงไม้ที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปพัก
เจ้าเหยินรับผิดชอบก่อรัง ส่วนชิเอลรับหน้าที่ระวังภัย ทางลู่เซิ่งพอหิวแล้วก็กินหญ้า พอกระหายก็กินหญ้าเช่นกัน
ตอนนี้เขาฝึกฝนเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจระดับแรกสำเร็จแล้ว ความต้องการอาหารจึงเพิ่มขึ้นมาก เมื่ออาหารที่ต้องการมีมากกว่าก่อนหน้า ทุ่งหญ้าที่อยู่รอบๆ จึงถูกเขากินจนเหี้ยนในเวลาแค่ไม่กี่วัน
ไม่นานนักใบไม้รอบๆ ก็ซวยไปด้วย ยิ่งมายิ่งเหี้ยนเตียน พืชพรรณตอบสนองความต้องการของลู่เซิ่งไม่ทันแล้ว
จนกระทั่งวันที่สามหลังแยกกับเผ่ากระต่ายมา
ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างหน้าต่างในโพรงไม้ เขาเจาะหน้าต่างนี้ขึ้นเพื่อระบายอากาศ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้กระต่ายสองตัวขับถ่ายบนสถานที่ที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันกลิ่นปัสสาวะของกระต่ายที่เหม็นหึ่งและเหม็นสาบจนทนไม่ไหวด้วย
‘ร่างกายปรับตัวได้พอประมาณแล้ว ควรดำเนินขั้นต่อไปสักที’ ร่างกายของเขาในตอนนี้ปรับตัวเข้ากับเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจระดับแรกได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จึงเริ่มยกระดับไปยังขอบเขตต่อไปได้แล้ว
ตอนนี้ชิเอลเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนเจ้าเหยินหลับอุตุอยู่ในรังหญ้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป
‘ดีปบลู’
ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาเงียบๆ อินเตอร์เฟสสีฟ้าปรากฏขึ้นด้านหน้าเขา
[เคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจ: ระดับที่หนึ่ง (คุณสมบัติพิเศษ: พละกำลังพื้นฐานเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น, พลังระเบิดเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น, เลือดลมพื้นฐานเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น)]
จากนั้นลู่เซิ่งก็กดปุ่มปรับเปลี่ยนพร้อมกับเพ่งสมาธิ
‘ยกระดับเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจถึงระดับที่สอง’
กรอบพร่ามัวอีกรอบ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าขนาดร่างกายของตัวเองเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
กระแสความอบอุ่นจำนวนมากแผ่ขยายและเดือดพล่านไปทั่วร่างกายของเขา ขนของเขายาวและแวววาวขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายที่มีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือในตอนแรกกลายเป็นขนาดเท่าสองฝ่ามือ
การยกระดับครั้งนี้รวดเร็วมาก
กระแสความอบอุ่นคงอยู่สักพักถึงค่อยจบลง กรอบชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งมองกรอบอีกรอบหนึ่ง
[เคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจ: ระดับที่สอง (คุณสมบัติพิเศษ: พละกำลังพื้นฐานเพิ่มขึ้นสองขั้น, พลังระเบิดพื้นฐานเพิ่มขึ้นสองขั้น, เลือดลมพื้นฐานเพิ่มขึ้นสองขั้น)]
ควับ!
ลู่เซิ่งสะบัดขาเพื่อทดลองความเร็วดู
ขากระต่ายสีเทาทิ้งร่องรอยอันแจ่มชัดสายหนึ่งไว้กลางอากาศเพียงพริบตาหนึ่ง รอยขาที่ลึกหลายเซนติเมตรสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนผนังด้านในโพรงไม้ด้านหน้าอย่างแจ่มชัด
‘ไม่ติดขัดอะไรเลย แถมยังมีแรงเยอะกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยด้วย’ ลู่เซิ่งค่อนข้างพอใจ ครั้งนี้ร่างกายคล้ายปรับตัวได้ไม่น้อยแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะการยกระดับครั้งแรกจำเป็นต้องฝึกวรยุทธ์ที่เหมาะกับกระต่าย ดังนั้นเลยเสียเวลานานขนาดนั้น
ครั้งนี้กลับเร็วขึ้นมากแล้ว
ลู่เซิ่งคาดเดาว่า อาจจะเป็นเพราะเครื่องมือปรับเปลี่ยนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมรรคายุทธ์ที่มีให้คนใช้อย่างเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจมาให้กระต่ายใช้ในการยกระดับครั้งแรก เลยต้องใช้เวลานานโข
แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปแล้ว
‘ในเมื่อรับได้ อย่างนั้นก็ยกระดับอีกขั้นดู’
คิดได้ก็ทำทันที
เขารวบรวมสมาธิอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มยกระดับเคล็ดวิชาอีกครั้ง ใช้เวลาครู่เดียว ในที่สุดเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจก็ยกระดับถึงระดับที่สาม
[เคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจ: ระดับที่สาม (คุณสมบัติพิเศษ: พละกำลังพื้นฐานเพิ่มขึ้นสามขั้น, พลังระเบิดพื้นฐานเพิ่มขึ้นสามขั้น, เลือดลมพื้นฐานเพิ่มขึ้นสามขั้น)])]
หลังจากมาถึงระดับสาม ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าตนเข้าใจกฎและธรรมชาติของโลกใบนี้มากขึ้นกว่าเดิม
ถึงอย่างไรการเรียนรู้มรรคายุทธ์ของเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็คือการใช้จิตวิญญาณของตัวเขาในการเรียนรู้ เขาจึงเข้าใจกระบวนการได้อย่างชัดเจนในทุกๆ ครั้งที่ยกระดับ
นี่เดิมทีเป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของเขาในการฝึกฝน
หลังจากมาถึงระดับที่สามของเคล็ดมังกรดำกระตุ้นจิตใจ ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากฎเกณฑ์ของที่นี่กดดันร่างหลักน้อยลงบางส่วน
‘หลังผ่านช่วงนี้ไป ก็เหมือนจะใช้แก่นหยางได้แล้ว ยังมีวิชาปลูกถ่ายอีก…ทักษะที่มีคุณสมบัติผ่าตัดพวกนี้จำเป็นต้องรู้จักโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตทางกายวิภาคถึงจะปรับตัวได้ นอกจากนี้ด้ายกระตุ้นวิญญาณก็เป็นสาขาของเลือดลม เลยใช้ได้บางส่วน นี่กลับเป็นข่าวดี…พืชไม่พอให้เรากินพอดี’
เลือดลมเป็นพลังงานสำหรับการใช้งานในระดับต่ำสุดของโลกทุกใบ แต่เป็นเพราะอยู่ในระดับต่ำสุดและตื้นเขินนี่เอง จึงปรับตัวได้ง่ายที่สุด
โลกหลายใบใช้กฎจำนวนไม่น้อยในเส้นทางเลือดลมได้ กลับกันพวกสุดยอดวิชาที่มีความเฉพาะตัวสูงๆ ดันปรับตัวได้แย่ จึงจำเป็นต้องใช้เวลามากมายในการปรับปรุง
ขอบเขตวิชาระดับที่สามทำให้ลู่เซิ่งตัวใหญ่เป็นสามเท่าของก่อนหน้า
เขาในตอนนี้ตัวใหญ่เท่าลูกแมวแล้ว
ทว่าพละกำลังของเขากลับเป็นสองเท่าของแมวป่าในตอนนั้น
พลังแบบนี้ กอปรกับขอบเขตประสบการณ์การต่อสู้ของลู่เซิ่งเอง แทบกล่าวได้ว่าเขาสามารถเอาชนะทุกอย่างในป่าได้แล้ว
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเริ่มแผนการของเขาอย่างรวดเร็ว
…
บรู๊ว!
เสียงหมาป่าหอนที่เสียดหูดังสลับกันอยู่ในป่าอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งค่อยๆ ออกจากสมาธิ ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนคาคบของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เพื่อรอคอยการเคลื่อนไหวต่อไปอย่างสงบ
ชิเอลกับเจ้าเหยินไม่ได้ตามมาด้วย พวกเขามีพลังอ่อนแอเกินไป ตามมาด้วยก็รังแต่จะเป็นตัวเกะกะ ครั้งนี้ลู่เซิ่งจึงคิดจัดการตามลำพัง
ในป่าของคืนที่มืดมิด ดวงตาของกระต่ายสมควรมองไม่เห็นสิ่งใด ความจริงสายตาของกระต่ายแย่มากๆ เพราะพวกมันสายตายาวโดยกำเนิด หนำซ้ำยังไม่เห็นภาพสามมิติ หากมองทุกอย่างแบนราบไปหมด
นี่เป็นเพราะสายตาของพวกมันไม่ได้ตัดสลับกัน ทำให้พวกมันกะระยะไม่ได้
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายสำหรับลู่เซิ่ง เลือดลมอันยิ่งใหญ่พลิกม้วนอยู่ในตัวเขา ทำให้ความสามารถของร่างกายในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งสุดขีด การมองระยะใกล้และการมองเป็นแนวระนาบของดวงตาต่างก็ได้รับการยกระดับปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจากการทะลักไหลของเลือดลมเช่นกัน
……………………………………….