ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 612 ล่อ (2)
บทที่ 612 ล่อ (2)
สถานะที่ลู่เซิ่งกำหนดในเขตที่สี่ของนครตราชั่งคือหมอ และเขาก็ไม่คิดจะทิ้งสถานะที่ใช้อำพรางได้ดีแบบนี้ไปเช่นกัน
‘ดีที่ท่อส่งเลือดที่เชื่อมไว้มีมากพอแล้ว ขณะเดียวกันก็มีช่องทางสามสิบกว่าช่องทางที่ซื้อยาจากเราด้วย ในเวลาสั้นๆ เงินน้ำแข็งสามารถตอบสนองความต้องการในการจุติได้ชั่วคราว ตอนนี้ควรมาดูสักทีว่าจะยกระดับเพื่อก้าวสู่ระดับลวงตาได้อย่างไร’
เป็นเพราะไม่มีคัมภีร์ลับหรือการสืบทอดสำหรับใช้ฝึกฝนในภายหลัง ลู่เซิ่งจึงคิดจะลองดูว่าสามารถเข้าร่วมขุมกำลังในระบบสายตรงของนครตราชั่ง และนำการสืบทอดในระดับลวงตารวมถึงระดับต่อจากนั้นมาได้หรือไม่
ต่อมา เขาจัดระเบียบและพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ไข่มุกเลือดกระต่ายชดเชยการสูญเสียด้ายกระตุ้นวิญญาณทั้งหมดให้เขา แถมยังมีด้ายกระตุ้นวิญญาณเพิ่มมาอีกหนึ่งล้านเส้นด้วย
กระบวนการการจุติค่อนข้างราบรื่น ลองคำนวณสัดส่วนการไหลของเวลาดู เขาใช้เวลาไปแค่สามวัน ก็สะสางกระบวนการการจุติในครั้งนี้ได้เรียบร้อยแล้ว
หากคิดจะจุติอีก จะต้องรอครั้งหน้า
ในช่วงเวลารอการรวบรวมทรัพยากร ลู่เซิ่งได้กลับไปหาถูจินก่อน ทางนั้นสงบสุขดี ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
จากนั้นเขาก็ไปนครหลวง
ถ้าหากไม่มองดูฝูงชนที่เดินมาบนถนน เปลือกนอกของนครหลวงไม่แตกต่างจากเมืองทั่วไป
หลังจากเดินเตร็ดเตร่และจ่ายเงินเพื่อสอบถามเป็นเวลาหลายวัน ลู่เซิ่งก็เข้าใจความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดระหว่างนครหลวงตราชั่งและเมืองธรรมดาแล้ว
จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดของนครตราชั่งอยู่ที่หอคอยดวงใจขับขาน
ในนครหลวงมีหอคอยดวงใจขับขานอยู่ทั้งหมดสามร้อยหกสิบห้าแห่ง นอกจากนั้นยังมีอีกสามพันหกร้อยห้าสิบแห่งในโลกขนาดมหึมาที่นครตราชั่งดูแล
หอคอยดวงใจขับขานที่กระจัดกระจายเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรมและความเท่าเทียมที่แท้จริงของนครตราชั่ง
หอคอยดวงใจขับขานทุกแห่งไม่มีข้อห้ามใดๆ ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดมีระดับพลังชีวิตตรงตามเงื่อนไข ต่างก็เข้าไปได้ทั้งสิ้น
หอคอยทุกแห่งใช้ดำเนินการประเมินปณิธานของสิ่งมีชีวิต แต่มีโอกาสแค่ครั้งเดียว ในช่วงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะเข้าไปได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น
นครตราชั่งส่งเสริมความเท่าเทียมของทุกชีวิต ทุกคนต่างมีโอกาส ประเด็นสำคัญอยู่ที่ตรงนี้
หอคอยดวงใจขับขานเป็นสิ่งสำคัญที่ขึ้นชื่ออย่างแท้จริงของพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่จะผ่านการประเมินการทดสอบของหอคอยดวงใจขับขานได้ ต่างเป็นผู้เข้มแข็งที่โดดเด่นซึ่งเข้าร่วมแกนกลางที่แท้จริงของนครตราชั่งได้เท่านั้น นี่เป็นความสามารถหลักที่นครตราชั่งใช้เติมพลังและศักยภาพของตัวเอง
ลู่เซิ่งคิดจะไปลองดูเช่นกัน หากตนเองผ่านการทดสอบของหอคอยดวงใจขับขานได้ เช่นนั้นจะดีที่สุด
ทว่าก่อนหน้านั้น เขาจะต้องจัดการกลุ่มลาดตระเวนในเขตที่สี่ที่คอยลาดตระเวนรอบๆ ถ้ำของตัวเองเสียก่อน
ผู้ที่ทำให้ตัวทดลองในถ้ำของเขาเหลือแค่เสือดำพิการตัวเดียวก็คือกลุ่มลาดตระเวนนี่เอง
…
ใต้ร่มไม้อันหนาแน่นใกล้ๆ ข่ายภูเขามังกร
ระหว่างป่าสีเขียวอมเทา ชายหญิงกลุ่มหนึ่งที่สวมเกราะหนังสีเขียวและสีน้ำตาล รวมถึงสะพายอาวุธและเครื่องมือป้องกันหลากหลายชนิดเอาไว้ ตรวจตราป่ารอบๆ อย่างช้าๆ
ผู้ที่มีอายุมากสุดท่ามกลางชายหญิงกลุ่มนี้มีอายุสี่สิบปีแล้ว น้อยสุดไม่ต่ำกว่าสิบกว่าปี ชุดเกราะและอาวุธบนร่างต่างก็มีสัญลักษณ์ที่เรืองแสงกะพริบอยู่ไม่มากก็น้อย
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป พลางมองดูกลุ่มลาดตระเวนที่เข้ามาใกล้ด้านล่างอย่างเงียบๆ
‘เขตที่สี่เป็นเขตคัดเลือก มีการแก่งแย่งกันเป็นประจำ ทว่านครหลวงปล่อยปละละเลย มีแค่ผู้ควบคุมเรื่องราวในเขตต่างๆ ของเขตใหญ่ที่สี่ที่คอยดูแลกฎเท่านั้น ความจริงอธิบายได้ว่า เขตใหญ่ที่สี่ไม่ใช่นครตราชั่งที่แท้จริง หากเป็นเขตที่อยู่ติดกับนครตราชั่งเท่านั้น’ ช่วงนี้ลู่เซิ่งเข้าใจโครงสร้างระบบพื้นฐานของนครตราชั่งแล้ว
ความยุติธรรมถูกต้องของนครตราชั่งสะท้อนออกมาในหลายๆ ด้าน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าในนครตราชั่งจะไม่มีการฆ่าล้างแค้น ไม่มีความชั่วร้าย และไม่มีการแก่งแย่งชิงดี
สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอยู่
แต่ขอแค่ไม่ส่งผลต่อขุมกำลังของนครหลวง ก็จะไม่มีใครสนใจท่าน
พูดอีกอย่างก็คือ นครตราชั่งเพียงรับประกันความยุติธรรมถูกต้องของสมาชิกในนครหลวงเท่านั้น ส่วนสี่เขตใหญ่ที่เหลือจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เรื่องเหล่านี้มีผู้ดูแลสี่เขตใหญ่เป็นผู้จัดการ
‘แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ความจริงโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมถูกต้องที่เด็ดขาดอะไรหรอก’ ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นบนคาคบ
หมาป่าสีดำหลายตัวเดินออกมาจากในเงามืดใต้ต้นไม้ ก่อนจะจ้องมองกลุ่มลาดตระเวนที่กำลังตรวจตราอย่างสงบนิ่งเย็นชา
หมาป่าดำเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าดำทั่วไปหลายเท่า แค่ร่างกายก็สูงถึงสองหมี่กว่าๆ และยาวถึงห้าหมี่กว่าๆ แล้ว
หมาป่าดำหลายตัวเดินออกมาจากส่วนลึกของป่าอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับจับจ้องทิศทางของกลุ่มลาดตระเวนตาเป็นมัน
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณออกคำสั่ง
หมาป่าดำกลายพันธุ์จำนวนมากที่ถูกเขาควบคุม พลันกระโจนเข้าใส่กลุ่มลาดตระเวนอย่างบ้าคลั่งทันที
ด้ายกระตุ้นวิญญาณของเขาในปัจจุบันกลายเป็นพลังงานพิเศษที่กระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว
เมื่อบวกกับความสามารถเล็กๆ น้อยๆ อย่างการโน้มนำจิตใจ การควบคุมสัตว์ป่าเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก
“ระวัง! มีศัตรูโจมตี!” กลุ่มลาดตระเวนก็ไม่ใช่พวกอ่อนหัดเช่นกัน พวกเขาตอบสนองและเริ่มตะโกนทันที
สมาชิกแต่ละคนปล่อยแสงหลายชนิดออกมาจากร่าง สัญลักษณ์เรืองแสงหลายสายบนมือและบนตัวปลดปล่อยพลังงานลี้ลับมากมายออกมา
เปรี้ยง!
หมาป่าดำตัวหนึ่งที่พุ่งเข้าไปโดนฟาดใส่เอว แต่กลับไม่อาจขู่หมาป่าดำที่เหลือให้ถอยได้
กลุ่มลาดตระเวนร้องตะโกนพร้อมกับฆ่าหมาป่าดำกลายพันธุ์หลายตัวอย่างต่อเนื่อง
สมาชิกของกลุ่มลาดตระเวนค่อยๆ หมดแรงตามเวลาที่ผ่านไป
อ๊าก
ในที่สุด สมาชิกคนหนึ่งก็ถูกหมาป่าดำตัวหนึ่งชนใส่จนเซออกจากวงป้องกันโดยไม่ทันระวัง พลันถูกหมาป่าดำสิบกว่าตัวกระโจนเข้าใส่ทันที
หลังจากร้องโหยหวน คนคนนี้ก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา คนที่เหลือทั้งเสียใจทั้งโกรธแค้น แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว
พอสถานการณ์เลวร้ายเริ่มต้น สมาชิกหลายคนก็เริ่มถูกฆ่า
ลู่เซิ่งยืนมองดูมนุษย์ที่มาลาดตระเวนในถิ่นของตัวเองกลุ่มนี้อยู่ห่างๆ เขาก็สังเกตเห็นว่า ด้านหลังสะโพกของคนเหล่านี้มีหางสีดำเรียวยาวที่เหมือนกับหางจิ้งจอกติดอยู่
‘เผ่าปีศาจอย่างนั้นหรือ จะเป็นขุมกำลังใดก็ช่าง อย่ามาขวางข้าเป็นพอ’ เขาหมุนตัวเดินไปยังส่วนลึกของป่าโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
…
ลานเล็กของตระกูลถู
“ไปตระกูลหลิงที่เมืองล้อมขุนเขาหรือขอรับ” พอลู่เซิ่งกลับมาก็ได้ยินแผนการของถูจินทันที
“ใช่ ทางตระกูลหลิงส่งคนมาเชิญพวกเราไปเป็นการเฉพาะ ออกค่าใช้จ่ายให้หมด เพื่อรักษาผู้อาวุโสที่สองของตระกูล” ถูจินพูดพลางพยักหน้า
“นอกจากนี้ชื่อเสียงของตระกูลถูก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้านะเสี่ยวเยวี่ย” เขาตบบ่าลู่เซิ่งด้วยสีหน้าชื่นชม
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว นอกจากนี้ ถ้าไม่ใช่วิชารักษาที่มีแบบแผนร้ายกาจด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ข้าคงไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ได้ดีแบบนี้” ลู่เซิ่งยิ้มพลางกล่าวอย่างถ่อมตน
“หลิงเฉิงเช่อผู้อาวุโสที่สองแห่งตระกูลหลิงเป็นสหายเก่าของข้า โรคของเขาเป็นโรคเก่า รักษามาสิบกว่าปีแล้ว ข้าจึงเข้าใจดุจฝ่ามือ ครั้งนี้ข้าจะลงมือด้วยตัวเอง พวกเจ้าตามไปเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน” ถูจินกำชับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากลู่เซิ่งเข้าร่วมกับตระกูลถู เขาก็ยิ้มมากขึ้นทุกวันๆ จนตอนนี้เห็นเขายิ้มในวันเดียวหลายๆ ครั้ง แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ดีถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งกับเต๋ออวิ๋นพยักหน้าขานรับ
“อีกสองวันจะออกเดินทาง ผู้อาวุโสหลิงเฉิงเช่อใจกว้าง ให้พวกเจ้าคอยดูข้าลงมืออยู่ด้านข้าง น่าจะไม่มีปัญหา” ถูจินกล่าวพลางลูบคาง “ครั้งนี้จะให้พวกเจ้าได้เห็นว่าวิชารักษาที่มีแบบแผนของข้า นอกจากวิชารักษาแบบองค์รวมของจริงแล้ว ก็ไม่ใช่ไม่มีความสามารถรักษาอย่างอื่นอีก พวกเจ้าต้องตั้งใจเรียนด้วย”
“ขอรับท่านอาจารย์” ลู่เซิ่งกับเต๋ออวิ๋นรีบขานตอบ
แม้วิชาแพทย์ของลู่เซิ่งในตอนนี้ใกล้จะเหนือกว่าถูจินแล้ว และถูจินก็ทราบเรื่องนี้ดี
แต่อย่างไรเขาในฐานะอาจารย์ก็ไม่ยินยอมอยู่บ้าง การสั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบปีของตนกลับถูกสูบจนเกลี้ยงเร็วขนาดนี้เชียวหรือ
เขาตั้งใจว่าครั้งนี้จะทำให้ลู่เซิ่งได้เห็นว่า อย่างไรอาจารย์อย่างตนก็เป็นอาจารย์ ต่อให้ศิษย์จะมีวิชาแพทย์สูงส่งอย่างไร ก็ยังเทียบประสบการณ์กันไม่ได้
ลู่เซิ่งมองออกว่าถูจินกำลังตบหน้าปลอมเป็นคนอ้วน[1]อยู่ เพียงแค่ไม่ได้กล่าวเปิดโปงเท่านั้น
ช่วงนี้เขายุ่งกับการฆ่ากลุ่มลาดตระเวนประจำเขตสี่ที่มายังข่ายภูเขามังกร หลังจากฆ่าไปสิบกว่ากลุ่ม ในที่สุดทางนั้นก็หยุดแล้ว
ตราบใดที่เรียกใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมไม่ได้ คาดว่าขุมกำลังของผู้รับผิดชอบประจำเขตสี่จะไม่มาหาที่ตายอีก
ข่ายภูเขามังกรเป็นถิ่นของเขา
ลู่เซิ่งดูแลที่นี่มาหลายเดือนแล้ว ใครกล้าทำลายความพากเพียรของเขา มันผู้นั้นจะต้องอยู่มิสู้ตกตาย
ทว่าตอนนี้ตัวเขาต้องจากไป สิ่งของกับค่ายกลในถ้ำใต้ดินได้แต่ต้องหยุดไว้ก่อน
ลู่เซิ่งนั่งบนที่นั่ง จ่ายยาตามประวัติโรคของผู้ป่วยไปพลาง เริ่มคิดคำนวณว่าจะใช้วิธีการใดป้องกันไม่ให้ถ้ำใต้ดินถูกค้นพบไปพลาง
“ครั้งนี้พวกเราจะไปผ่านค่ายกลส่งตัว มีความเร็วสูงมาก ตัดค่าเดินทางทิ้ง ใช้เวลาแค่สองวันก็ไปถึงได้แล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม หลังไปถึงเมืองล้อมขุนเขายังต้องเข้าร่วมชุมนุมแลกเปลี่ยนระหว่างแพทย์ด้วย ข้าจะพาพวกเจ้าไปเปิดหูเปิดตา” ถูจินโบกมือพลางกำชับอย่างใจกว้าง
ตอนนี้ตระกูลถูร่ำรวยเงินทอง แถมเขายังรับศิษย์ที่น่าภาคภูมิอย่างลู่เซิ่งมาเพิ่มคนหนึ่ง เที่ยวนี้จะทำให้พวกคร่ำครึที่เคยดูถูกเขาเหล่านั้นได้เห็นเอง
“ขอรับท่านอาจารย์”
หลังจากแยกย้ายกันตอนบ่าย ลู่เซิ่งก็ไปลดไขมันให้เซินเซินเหมือนเดิม เซินเซินในตอนนี้แทบจะเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน รูปร่างในแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน
ทว่าการเผาผลาญไขมันเพื่อลดความอ้วนในภายหลังกลับช้าลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
เนื่องจากว่าหากเผาผลาญมากเกินไปโดยไม่ทันระวัง อาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท อวัยวะภายใน และกล้ามเนื้อได้ แถมยังต้องพิจารณาด้วยว่าต้องเหลือไขมันบางส่วนไว้ตรงไหน ไม่อย่างนั้นหากตัดทิ้งทั้งหมด ก็จะเหลือแต่กระดูกขาวๆ แล้ว
ต่อมาเขากางค่ายกลไว้ในถ้ำใต้ดิน จากนั้นก็ปรุงยาของผู้ป่วยโรคเรื้อรังไว้บางส่วน เพื่อจะได้ส่งให้ผ่านค่ายกลในเมืองใกล้ๆ
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ เช้าตรู่วันที่สาม ลู่เซิ่ง ถูจิน กับเต๋ออวิ๋นก็ขึ้นค่ายกลส่งตัวที่ใช้เดินทางไปยังเมืองล้อมขุนเขา
พวกเขาออกเดินทางที่เมืองข่ายภูเขามังกรที่อยู่ใกล้ๆ กว่าจะไปยังเมืองล้อมขุนเขาได้ จะต้องให้ค่ายกลส่งตัวพาไปพามาเป็นจำนวนห้าครั้ง
ระหว่างทางต้องเดินทางอีกระยะทางหนึ่ง การผ่านสถานที่ที่มีทิวทัศน์น่าอัศจรรย์จำนวนไม่น้อยกลับทำให้เต๋ออวิ๋นได้เปิดหูเปิดตา
แม้ลู่เซิ่งจะมีประสบการณ์มากมายเช่นกัน แต่การออกมาในครั้งนี้ถือเป็นการท่องเที่ยว จึงปรับสภาพจิตใจเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสามคนออกเดินทางก่อนเวลา เที่ยวเล่นไปตลอดทาง กินดื่มเดินหยุดเป็นระยะ ระยะทางที่ควรใช้เวลาสองวัน พวกเขาสามคนกลับใช้เวลาห้าวัน
สุดท้ายเพราะลู่เซิ่งเป็นคนเร่ง ถูจินจึงค่อยไปถึงเมืองล้อมขุนเขาอันเป็นที่หมายสุดท้ายโดยไม่โอ้เอ้อีก
เมืองล้อมขุนเขาล้อมรอบยอดเขา แต่ตัวเมืองกลับลอยอยู่บนฟ้า อยู่สูงกว่าขุนเขารอบๆ ช่วงหนึ่ง
ในฐานะหนึ่งในห้านครหลักของเขตที่สาม เมืองล้อมขุนเขามีชื่อว่าสวนบุปผากลางนภา
ตระกูลหลิงก็เป็นขุมอำนาจยิ่งใหญ่ที่แท้จริงที่ถูกจัดอยู่ในอันดับหกของเมืองแห่งนี้
……………………………………….
[1] ตบหน้าปลอมเป็นคนอ้วนอยู่ หมายถึง รักษาหน้าตัวเองโดยจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า