ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 613 แผนร้าย (1)
บทที่ 613 แผนร้าย (1)
“เชิญทางนี้เจ้าค่ะนายท่านทั้งสาม”
ในสวนคลื่นสงบของตระกูลหลิง ข้ารับใช้สองคนและเด็กหญิงรับใช้คนหนึ่งพาพวกถูจินเดินไปยังส่วนลึกของลานประจำคฤหาสน์
ลานเรือนมืดครึ้มและงดงาม สามารถมองเห็นเสาหินเรืองแสงที่กะพริบสัญลักษณ์ประหลาดตั้งอยู่บนพื้นได้ทุกช่วง
“ตระกูลหลิงของพวกเราเป็นตระกูลใหญ่ที่มีหน้ามีตาในเมืองล้อมขุนเขาแห่งนี้ ครั้งนี้ผู้อาวุโสที่สองป่วย ได้เชิญหมอมาไม่น้อย ต่างก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายต้องเชิญท่านหมอถูเดินทางไกลมาเป็นพันลี้ เส้นทางค่อนข้างลำบาก รบกวนท่านหมอแล้ว” เด็กสาวที่พูดชื่ออวิ๋นรุ่ย เหมือนกับมีตำแหน่งไม่ธรรมดาในสายของผู้อาวุโสที่สอง การพูดการจาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่
“แม่นางอวิ๋นรุ่ยเกรงใจแล้ว ข้ากับผู้อาวุโสหลิงเฉิงเช่อเป็นสหายเก่าแก่กันมาหลายปี เวลาเขาโรคเก่ากำเริบ ข้าก็เป็นคนจัดการมาโดยตลอด” ถูจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไป ครั้งล่าสุดที่โรคของผู้อาวุโสหลิงเฉิงเช่อกำเริบคือสามปีก่อน เดิมทีหลังจากจ่ายโอสถหทัยโบราณให้เขา ตามเหตุผลน่าจะดีขึ้นถึงจะถูก…”
“เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้…” อวิ๋นรุ่ยถอนใจอย่างจนปัญญา “ข้าเป็นแค่เด็ก ไม่อาจพูดมากได้ อีกประเดี๋ยวท่านหมอถามผู้อาวุโสก็จะรู้เอง”
ถูจินค่อยๆ หุบยิ้ม ดูเหมือนสถานการณ์ของตระกูลหลิงจะซับซ้อนอยู่บ้าง เขาจึงไม่พูดอะไรมากอีก
อวิ่นเต๋อเหลียวมองรอบๆ อยู่ด้านข้าง เขาเพิ่งเคยเข้ามาในตระกูลใหญ่ที่แข็งแกร่งขนาดนี้เป็นครั้งแรก เลยสนใจทุกสิ่งทุกอย่าง
ลู่เซิ่งติดตามอยู่ด้านหลังทั้งสองคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ส่งเสียงอะไรแม้แต่น้อย
ตอนนี้จิตวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ก็รู้สึกได้ว่าต้องจุติอีกสองสามครั้งถึงจะไปถึงขีดจำกัดของตัวเองได้
ยังดีที่ทางดาวปรภพหรือต้าอินมีหลี่ซุ่นซีกับบริวารคอยคุ้มครอง จึงไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องความปลอดภัยของตระกูลและสำนักชั่วคราว
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการหาเงินให้ได้มากๆ จากนั้นก็รีบจุติเพื่อยกระดับพลังและกลับดาวปรภพ
แน่นอนว่าการเข้าร่วมขุมกำลังใหญ่ในนครตราชั่งเพื่ออาศัยสภาวะกลับไปช่วยคนก็สามารถทำได้เช่นกัน
“ถึงแล้ว” เสียงของอวิ๋นรุ่ยขัดความคิดของเขา
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมอง เห็นถูจินกำลังคุยกับหญิงสาวสวมอาภรณ์เขียวคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า
“โฉวฮัวคำนับท่านหมอถู บรรพชนฝากความหวังที่ท่านแล้ว” หญิงสาวคนนี้สวมอาภรณ์สีเขียวกระโปรงสีขาว ผมดำยาวถึงเอว ร่างสูงชะลูด ใบหน้าหมดจด โดยเฉพาะผิวที่ขาวจนเหมือนกับหิมะ
“คุณหนูใหญ่หลิงกล่าวหนักไปแล้ว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ” ถูจินกล่าวอย่างจริงจัง
ถูจินถามไถ่หญิงสาวเบาๆ อีกสองสามประโยค สองฝ่ายคุยกันสักพักหนึ่ง ลู่เซิ่งก็ทราบถึงสถานะของหญิงสาวคนนี้
หลิงโฉวฮัว หลานสาวสายตรงของผู้อาวุโสที่สองหลิงเฉิงเช่อ มีคุณสมบัติธรรดา ไม่โดดเด่นอะไรในตระกูล
หลังจากคุยกันถึงอาการป่วยสักพัก ถูจินก็พาพวกลู่เซิ่งเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวที่ตกแต่งด้วยสีขาวบริสุทธิ์ภายใต้การห้อมล้อมของพวกองครักษ์
ด้านในห้องนอน ชายชราที่ผมหงอกหนวดขาวและมีร่างกายกำยำบึกบึนคนหนึ่ง กำลังเขียนพู่กันเหล็กสีดำอย่างรวดเร็วบนโต๊ะกลม
“เหล่าถูในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ไม่เจอกันมาหลายปี เจ้ายังเหมือนเดิมไม่มีผิด น่าอิจฉาจริงๆ” พอได้ยินเสียงฝีเท้า ชายชราก็วางพู่กันเหล็กลงและเดินเข้าไปรับถูจินด้วยรอยยิ้มกว้าง
ทั้งสองโอบกอดกันอย่างสนิทชิดเชื้อ และตบหลังอีกฝ่ายอย่างแรง
“ท่านก็เหมือนกัน แก่กว่าข้านิดเดียว กลับเหมือนอายุเยอะกว่าข้าไปสิบกว่าปี! ฮ่าๆๆๆ!” ถูจินหัวเราะร่าอย่างหาได้ยาก
“ไอ้โรคเก่าของข้ามันกำเริบอีกแล้วน่ะสิ หาหมอมาไม่น้อยก็ไม่มีวิธี หนำซ้ำโอสถหทัยโบราณที่เจ้าจ่ายให้ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วเช่นกัน ก็เลยได้แต่เชิญเจ้ามาอีกรอบอย่างช่วยไม่ได้” ผู้อาวุโสที่สองหลิงเฉิงเช่อโบกมือเป็นสัญญาณให้องครักษ์ทั้งหมดถอยไป ในห้องจึงเหลือแค่พวกถูจินและหลิงโฉวฮัวผู้เป็นหลานสาวเท่านั้น
“นี่คือศิษย์สองคนของข้า ข้าพาพวกเขามาเปิดประสบการณ์โดยเฉพาะ” ถูจินแนะนำคร่าวๆ
จากนั้นก็ใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณตรวจสอบตามปกติ
ถูจินให้ผู้อาวุโสสองนั่งลงข้างโต๊ะ จากนั้นก็จุดธูปพิเศษที่ใช้ฆ่าเชื้อ พร้อมกับละลายผงยาที่นำมาด้วยเพื่อล้างมือ
ลู่เซิ่งกับเต๋ออวิ๋นจดบันทึกและชมดูอยู่ด้านหลัง กระบวนการตรวจเรียบง่ายมาก ปัญหาของผู้อาวุโสสองยังคงอยู่ที่หัวใจ มิหนำซ้ำด้ายกระตุ้นวิญญาณยังช่วยเขาบรรเทาและรักษาโรคผ่านเคล็ดลับพิเศษได้ด้วย
ดูเหมือนกับว่าถูจินวางมือลงตรงหัวใจของผู้อาวุโสสองหลิงเฉิงเช่อ แล้วปล่อยด้ายกระตุ้นวิญญาณสีขาวหลายสายออกมาเบาๆ
ไม่นานนัก การรักษาครั้งแรกก็เสร็จสิ้นโดยไม่ได้ใช้ความพยายามมากเท่าไหร่
“ดีมาก เหล่าถู เจ้าพาศิษย์ไปพักผ่อนก่อน วันนี้ดึกแล้ว พวกเจ้าคงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง พักผ่อนให้เพียงพอเถอะ รอช่วยข้าเสร็จแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปเที่ยวเมืองล้อมขุนเขาเอง” ผู้อาวุโสสองมีน้ำใจอย่างยิ่ง
“อย่างนั้นขอขอบคุณเฉิงเช่อแล้ว” ถูจินตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
กระบวนการการรักษาใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น
เคล็ดลับที่ถูจินใช้ ทำให้ลู่เซิ่งได้เห็นทักษะเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาซ่อนเอาไว้อีกครั้ง นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีจุดไหนที่ควรค่าแก่การเรียนอีก
การรักษาครั้งแรกเป็นไปอย่างเรียบร้อย ถูจินตรวจสอบโรคของผู้อาวุโสสองเสร็จสิ้น หลังยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็ไปยังห้องของตัวเองด้วยการนำของเด็กหญิงรับใช้ประจำตระกูลหลิง
ทุกอย่างราบรื่นดี ไม่มีความยุ่งยากใดๆ โรคของหลิงเฉิงเช่อเป็นโรคเก่า ไม่ทันไรถูจินก็คงสภาพโรคไว้ได้
ถ้าราบรื่น อีกสองสามวันก็จะเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นค่อยไปเที่ยวรอบๆ เมืองล้อมขุนเขา
คืนนั้นลู่เซิ่งได้พักผ่อนอย่างหาได้ยากในห้อง
ตึงๆๆ…ตึงๆๆ!
อยู่ๆ เสียงเคาะประตูที่เร่งร้อนและรุนแรงก็ปลุกให้เขาตื่นจากฝัน
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นบนเตียงทันที ก่อนจะลุกขึ้นมองไปทางประตู ปราณมารระวังภัยที่เกาะติดกับประตูไม่ถูกแตะต้อง ตรงหน้าต่างกับสถานที่อื่นๆ มีค่ายกลระวังภัยที่ใช้ปราณมารติดไว้ฟุ้งกระจายอยู่ด้วย
‘อุตส่าห์อยากจะนอนหลับดีๆ สักหลายวันเพื่อสัมผัสชีวิตของคนธรรมดาสักหน่อย’ เขาขมวดคิ้วพร้อมพลิกตัวลงจากเตียง
“ใครหรือ”
เขามองเวลา ท้องฟ้ายังขมุกขมัว ด้านนอกได้ยินเสียงหมาเห่าไก่ขันที่เร่งร้อนได้เบาๆ
“เกิดเรื่องแล้วศิษย์น้อง! โรคของผู้อาวุโสสองกำเริบหนักขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้ใกล้ตายแล้ว อาจารย์กำลังรีบไปรักษา!” เป็นเต๋ออวิ๋น น้ำเสียงของเขารีบร้อน ลมหายใจปั่นป่วน เหมือนกับรีบวิ่งมาจากที่ไกล
“โรคกำเริบหนักขึ้นอย่างกะทันหันหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง รีบเดินไปเปิดประตู เต๋ออวิ๋นยืนเหงื่อแตกอยู่ที่ประตู
“ข้าถูกอาจารย์ปลุกอย่างกะทันหันตอนเช้าตรู่ ไม่รู้ว่าโรคของผู้อาวุโสสองเป็นอะไรไป อยู่ๆ ก็เกิดปัญหา คนของตระกูลหลิงมารวมตัวกัน อาจารย์ไปวินิจฉัยแล้ว!” เต๋ออวิ๋นรีบอธิบาย “อาจารย์ให้ข้ารีบพาเจ้าไป”
“ไปก่อนค่อยว่ากัน!” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาเห็นว่าคนที่อยู่ด้านข้างเต๋ออวิ๋นยังมีบุรุษหนุ่มพกดาบที่สวมเกราะหนังสีขาวอีกสองคน แสดงให้เห็นว่าตระกูลหลิงเกิดความสงสัยในตัวพวกเขาแล้ว
สถานการณ์คับขัน ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรมาก รีบติดตามเด็กหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่นำทางไปถึงห้องนอนที่เคยมาเมื่อตอนกลางวันพร้อมกับเต๋ออวิ๋น
ตอนนี้หน้าประตูห้องนอนมีคนหลายคนรอคอยด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ในนี้มีหลิงโฉวฮัวเด็กสาวที่ได้พบก่อนหน้านี้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีคนหนุ่มอยู่อีกคน พอเห็นพวกลู่เซิ่ง ดวงตาก็กลายเป็นเย็นชา จะเดินเข้าหา แต่ถูกหลิงโฉวฮัวที่อยู่ด้านข้างฉุดเอาไว้
“ท่านหมอหนุ่มทั้งสองรีบเข้าไปเถอะ ท่านหมอถูอยู่ด้านในแล้ว บางทีอาจต้องการการช่วยเหลือจากพวกท่าน ขอฝากท่านตาของข้าไว้กับพวกท่านแล้ว”
หลิงโฉวฮัวเดินไปกล่าวเสียงขรึมด้านหน้าเต๋ออวิ๋นอย่างจริงจัง
“จะต้อง…ไม่ทำให้ผิดหวัง!” เต๋ออวิ๋นฝืนสงบใจและตอบกลับ จากนั้นก็ลากลู่เซิ่งที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงผลักประตูเข้าไป
กลิ่นหอมในห้องนอนลอยปะทะจมูก ลู่เซิ่งมองเห็นธูปที่มีสีสันต่างกันสามแท่งถูกจุดอยู่บนโต๊ะทันที
‘ใช้แม้แต่ธูปยาฉุกเฉินสามชนิดแล้ว…สถานการณ์ไม่เข้าท่า…’
เขาคาดการณ์ในใจ
ตอนนี้เต๋ออวิ๋นก้าวเขย่งพุ่งไปถึงข้างเตียงนอน กำลังถามไถ่อะไรสักอย่างกับถูจินเบาๆ
ตอนนี้ถูจินเหงื่อแตกเต็มศีรษะ แสงของไข่มุกสีเหลืองอ่อนในห้องนอนส่องหน้าผากของเขา ขับสะท้อนเม็ดเหงื่อจำนวนนับไม่ถ้วน
เขาใช้มือซ้ายมือขวากดหน้าอกและไหล่ซ้ายของหลิงเฉิงเช่อเอาไว้ ด้ายกระตุ้นวิญญาณสีขาวจำนวนมากกำลังทะลักเข้าไปในร่างอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ลู่เซิ่งเห็นดังนั้น ตอนแรกยังงุนงง จากนั้นก็เหมือนว่าพบอะไรบางอย่าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน รีบพุ่งเข้าไปดึงมือของถูจินที่กดบนไหล่หลิงเฉิงเช่อออกทันที
เปรี้ยง
ด้ายกระตุ้นวิญญาณเส้นใหญ่พลันขาดสะบั้น
ถูจินโซเซถอยหลังไปหลายก้าว เกือบจะล้มลงกับพื้น
“เสี่ยวเยวี่ยเจ้าทำอะไร!? ถอยไป! ถ้ายังมัวโอ้เอ้ ชีวิตของเฉิงเช่อต้องมีอันตรายแน่!” ถูจินที่พยายามตั้งหลักรีบกล่าวเสียงดัง
“อาจารย์ท่านบ้าไปแล้วหรือ!? ใช้อายุขัยของตัวเองรักษาเขาเนี่ยนะ! เขาไม่ใช่ญาติไม่ใช่ครอบครัว ต่อให้รักษาได้แล้วท่านจะอยู่ได้อีกนานขนาดไหน” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยเสียงเฉียบขาดและโมโห
“ข้ารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่!” ถูจินที่ใบหน้าซีดขาวมีอารมณ์รุนแรงเป็นพิเศษ ตรงรากผมบนจอนสองข้างกลายเป็นสีขาวอย่างเลือนรางแล้ว ในเวลาสั้นๆ แค่นี้ เขากลับเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเหมือนกับแก่ลงสิบกว่าปี
ตอนนี้เต๋ออวิ๋นจึงค่อยรู้สึกตัว คิดจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมอาจารย์ แต่ก็ต้องตกใจเพราะความโกรธของอีกฝ่าย
“เฉิงเช่อเป็นสหายสนิทของข้ามาหลายปี ข้าไม่มีทางนิ่งดูดายโดยไม่ช่วยเหลือเด็ดขาด!” ถูจินแผดเสียงดังลั่น เบิกตาที่เต็มไปด้วยริ้วเลือด “เจ้าถอยไป!”
ตอนนี้หลิงโฉวฮัวกับบุรุษวัยกลางคนอีกคนเข้ามาในห้อง
พอเห็นการกระทำผิดปกติของศิษย์อาจารย์สามคน หลิงโฉวฮัวยังไม่ทันพูดอะไร บุรุษวัยกลางคนกลับผุดสีหน้าอึมครึมถึงขีดสุด
“หนึ่งพันตำลึง!” บุรุษวัยกลางคนกล่าวเสียงเย็น สองตาจับจ้องถูจินเขม็ง
“ถ้ารักษาบิดาข้าหาย พวกท่านศิษย์อาจารย์นำไปได้”
“ถ้ารักษาไม่ได้ พวกท่านก็เตรียมโดนฝังไปกับบิดาข้าได้เลย”
“นี่ไม่ใช่ปัญหาของเรา นี่มันไม่ใช่โรคแล้ว เป็นพิษ!” เต๋ออวิ๋นไอสองสามรอบขณะพยายามอธิบาย
“ข้าไม่สน ตอนนี้ ข้าเพียงต้องการให้บิดาข้าหาย” บุรุษวัยกลางคนแสดงสีหน้าเย็นยะเยียบ “ถ้ารักษาหาย พวกท่านไปได้ ถ้ารักษาไม่ได้ พวกท่านตาย ง่ายๆ แค่นี้”
“แต่…!” เต๋ออวิ๋นคิดจะอธิบาย แต่กลับถูกถูจินตะคอกห้ามไว้
“ต่อให้เจ้าไม่มา ข้าก็ไม่มีทางดูเฉิงเช่อตายไปเฉยๆ อยู่แล้ว!” เหงื่อเย็นผุดออกมาจากใบหน้าของถูจินอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณมากเกินไป ทำให้ส่งผลเสียต่อแหล่งกำเนิดในร่างกายตัวเองแล้ว
“อาจารย์ ข้า…” ลู่เซิ่งโกรธเช่นกัน อุตส่าห์อารมณ์ดีอย่างหาได้ยากทั้งที แต่ยังมีคนกล้าข่มขู่เขาอีก
“พอแล้วเสี่ยวเยวี่ย นี่เป็นการตัดสินใจของตัวข้าเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่น” ถูจินตัดบทเขาอีกครั้งและยกมือขึ้น “ตอนนี้ เจ้าถอยไปเสีย”
ลู่เซิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ถูจินกำลังใช้พลังชีวิตของตัวเองทำให้การทำงานของพิษช้าลง เมื่อครู่เขาลองฉวยจังหวะตรวจสอบสภาพในร่างกายหลิงเฉิงเช่อแล้ว
สถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด
หลิงเฉิงเช่อไม่เพียงต้องพิษรุนแรง หนำซ้ำยังเป็นพิษผสม ที่ผสมพิษที่แตกต่างกันมากกว่าร้อยชนิด นอกจากนี้สารกายยังเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก อวัยวะภายในมีแต่รูพรุน ภูมิคุ้มกันของร่างกายสูญเสียไปโดยสมบูรณ์
นี่ไม่ใช่แค่โดนพิษแล้ว นี่มันถูกยอดฝีมือเล่นงานจนอยู่ในสภาพปางตาย จากนั้นค่อยเติมพิษผสมมากกว่าร้อยชนิดใส่เข้าไปในทีเดียว
หากทิ้งไว้ที่นี่โดยไม่สนใจ ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามก็เตรียมงานศพได้เลย
ทั้งๆ ที่ตอนกลางวันยังดีอยู่แท้ๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เป็นวิชาแพทย์ของลู่เซิ่งก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ถูจิน
นี่มันเป็นคนที่ใกล้ตายชัดๆ!
……………………………………….