ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 617 ทดสอบ
บทที่ 617 ทดสอบ
รอบๆ กำแพงเก่าแก่สีเหลืองอมเทาด้านในหอคอยดวงใจขับขานคือตรอกที่คับแคบ
เวลายามพบคล่ำ แสงอาทิตย์สายัณห์สาดลอดเข้ามา ย้อมตรอกเกือบครึ่งเป็นสีแดงและย้อมกรอบประตูเป็นสีแดงอมเทาเช่นกัน
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกพร้อมกับเหลียวมองรอบๆ หนูที่มีผิวสีดำกลุ่มหนึ่งกำลังแย่งเศษอาหารกันข้างกองขยะ ดูเหมือนจะเป็นก้างปลาชนิดหนึ่งที่ถูกแทะจนเกลี้ยงแล้ว
ซู่ๆ
หนูหลายตัวตกใจจนหนีเตลิดเพราะสายตาของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งละสายตากลับมามองประตูหอคอยดวงใจขับขานด้านหน้า หอคอยดวงใจขับขานนี้ นอกจากประตูหน้าต่างแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยอื่นๆ แม้แต่น้อย
“ท่านจะเข้าไปไหม ถ้าไม่เข้าไปก็หลีกทางหน่อย” ตอนที่ลู่เซิ่งกำลังสำรวจรอบๆ เพื่อดูว่าจะเข้าไปได้อย่างไรนั้นเอง
ด้านหลังก็มีเสียงสตรีที่เย็นชาและแหบพร่าดังมา
ลู่เซิ่งหันกลับมา ด้านหลังมีบุรุษสตรีที่แต่งตัวแตกต่างกันสองคนยืนอยู่
คนหนึ่งเหมือนกับหญิงรับใช้ชราทั่วไปที่คนร่ำรวยให้การช่วยเหลือมา รูปโฉมภายนอกมีอายุราวสี่สิบกว่าปี
บุรุษอีกคนอย่างมากสุดมีอายุสิบกว่าปี ชุดแขนสั้นสีน้ำเงินปักลายดอกเหมย เป็นดอกเหมยในลักษณะต่างๆ หน้าตาไม่ชายไม่หญิง หล่อเหลาพอสมควร แต่ก็เห็นถึงความอึดอัดคับข้องใจและความหดหู่ได้จากบนตัว
ทั้งสองคนยืนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง
“พวกท่านตามสบาย” ลู่เซิ่งหลีกทางให้
ทุกคนสามารถเข้าไปในหอคอยดวงใจขับขานได้ โดยไม่มีการจำกัดอายุ ตำแหน่ง และสถานะ
หญิงชราคนนั้นสาวเท้าเดินผ่านด้านหน้าลู่เซิ่ง ก่อนจะเข้าประตูของหอคอยดวงใจขับขานโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ต่อมาหลังจากบุรุษหล่อเหล่าคนนั้นยืนลังเลอยู่หน้าประตูสักพัก ก็กัดฟันก้าวตามเข้าไป
ลู่เซิ่งไม่ได้รีบร้อนเข้าไป หากนึกทบทวนถึงข้อมูลของหอคอยดวงใจขับขานที่เก็บรวบรวมมาได้ในช่วงนี้
การตรวจสอบและการทดสอบด้านในหอคอยดวงใจขับขานมีอยู่หลากหลายชนิด ทั้งยังมีรูปแบบไม่ซ้ำกัน การทำงานของกลไกลก็ไม่ทราบว่าเป็นแบบไหน
แต่ว่าหอคอยดวงใจขับขานทั้งหมดมีคุณสมบัติพิเศษร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสามารถคัดเลือกอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติไม่เลว มีอำนาจจิตแรงกล้า และมีทัศนคติตรงกับนครตราชั่งได้อย่างแม่นยำ
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าประตูหอคอยดวงใจขับขาน ไม่ได้เข้าไป เพียงแต่จ้องมองคนอื่นๆ ที่มาทีหลังเข้าไปก่อน
ประตูของที่นี่เข้าได้ออกไม่ได้ พริบตาที่ทุกคนเข้าไป จะเห็นระลอกคลื่นสีดำเล็กๆ กระเพื่อมอยู่ด้านในประตูได้
‘ไม่มีปฏิกิริยาของพลังงาน ไม่มีเสียงของกลไก…หอคอยดวงใจขับขานแห่งนี้…ดูเหมือนไม่สามารถคำนวณรูปแบบได้…’ คนแทบทุกคนที่ลู่เซิ่งเห็นที่นี่ล้วนเตรียมตัวมาหลากหลายรูปแบบ ก่อนจะก้าวเข้าหอคอยดวงใจขับขาน
บางคนก็พกของพะรุงพะรัง บางคนก็พกไม่กี่อย่าง บางคนพกจี้มามากมาย ถึงขั้นมีบางคนพกสัตว์ป่ามาด้วย
ชมดูอยู่สองชั่วยามกว่าๆ ลู่เซิ่งไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยลุกขึ้นยืน
เขาเดินไปด้านหน้าประตู
หอคอยดวงใจขับขานสูงสามหมี่ กว้างหนึ่งหมี่กว่า บนกรอบไม่มีลวดลายรูปภาพใด เพียงมีตัวอักษรที่เหมือนคำจารึกอยู่ด้านบน
ลู่เซิ่งแยกแยะสักพัก ก็พบว่าตัวหนังสือนี้ไม่ใช่ภาษาภัยพิบัติ และไม่ใช่ภาษาใดๆ ที่เขารู้จัก
‘ในเมื่อหาแบบแผนไม่เจอ ก็ได้แต่ต้องลองเองแล้ว’
ลู่เซิ่งใช้มือยันกรอบประตู แล้วก้าวไปด้านหน้าทันที
ควับ
เยื่อบางที่อ่อนโยนและเปียกแฉะเลื่อนผ่านร่างเขาไปเหมือนกับตัดทะลุฟองสบู่
ตรงหน้าลู่เซิ่งกะพริบแวบหนึ่ง ก่อนจะทะลุเข้าบานประตูไป
เสียงเอะอะวุ่นวายบนถนนรอบๆ ตัวเงียบลงในพริบตา หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเหมือนกับตรอกหน้าประตูทางเข้าไม่มีผิด
สิ่งที่แตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือตรอกนี้ไม่มีใครสักคนเดียว
รอยกระดำกระด่างสีเทาตามกาลเวลาติดอยู่บนผนังทั้งสองด้าน มุมบางส่วนถึงขั้นกะเทาะหลุดร่วง เผยให้เห็นกำแพงในชั้นลึกที่เป็นสีขาวอมเทา
ลู่เซิ่งตบชุดคลุมสีเทาบนร่างตัวเอง ตอนนี้เขาแต่งตัวไม่ต่างจากนักศึกษาธรรมดาบนถนน
ชุดคลุมสีเทาคลุมถึงเข่า กางเกงตัวยาวสีขาว รองเท้าหนังใบเล็กสีน้ำตาล มัดย่ามสีน้ำเงินเข้มใบหนึ่งไว้บนร่าง แขวนน้ำเต้าเล็กๆ สีดำไว้ที่เอว
การแขวนน้ำเต้าเป็นลักษณะเด่นในนครตราชั่ง มีความหมายถึงขอให้ร่มเย็นเป็นสุข
สิ่งที่แตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เขาตัดผมตัวเองจนสั้น กลายเป็นผมสั้นที่หายาก
ยืนสังเกตอยู่ในตรอกสักพัก ลู่เซิ่งก็ค้นพบอย่างเลือนรางว่า เวลาที่อยู่ในตรอกเล็กนี้เหมือนจะยาวมาก
เขาเดินไปถึงปากตรอก แล้วลูบรอยยุบกับรอยขีดข่วนที่ปรากฏบนผิวของผนัง
รอยขีดข่วนเหมือนกับเกิดจากกรงเล็บแหลมคมบางชนิด
ปราณมารหลายสายซึมเข้าไปผ่านรอยขีดข่วน ความเร็วกัดกร่อนช้ามาก
‘ระดับการผุกร่อนอย่างน้อยหลายพันปี…’ ลู่เซิ่งได้รับบทสรุปในใจ
จากนั้นเขาก็เดินออกจากตรอกเล็ก ด้านนอกเป็นถนนที่โล่งกว้างเงียบสงัดแต่ยุ่งเหยิงแห่งหนึ่ง
ร้านค้าบนถนนสองฟากข้างว่างเปล่า ทอดตามองไกลผ่านหน้าต่าง ยังสามารถเห็นฝุ่นหนาที่จับอยู่บนชั้นสินค้าได้ เศษหินมากมายกองระเกะระกะบนพื้น ยังมีผงสีดำที่ไม่รู้ว่าคืออะไรบางส่วน
‘ที่นี่…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เขาเพิ่งจะมาจากถนนของนครตราชั่ง ที่นี่คล้ายกับถนนเส้นนั้นมาก แต่กลับแฝงกลิ่นอายเก่าแก่และไม่คุ้นเคย
โครงสร้างเล็กๆ ของสถานที่มากมายเองก็ไม่เหมือนกันด้วย
บนถนนมีหมอกขมุกขมัวลอยอยู่ ลมเย็นอันแผ่วเบาพัดผ่านถนนทั้งเขต
ลู่เซิ่งเดินไปถึงหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง แล้วมองเข้าไป
นี่เป็นร้านค้าที่เหมือนกับขายพวกขนมขบเคี้ยว จานกระเบื้องที่ใช้รองขนมอบวางอยู่บนโต๊ะ ยังมีแผ่นโลหะที่เหมือนกับรายการอาหารอยู่แผ่นหนึ่ง
‘นี่กำลังทดสอบอะไรอยู่ ความกล้าหรือ’ ลู่เซิ่งนิ่วหน้าขณะเดินเข้าไปในร้านค้า
“ใคร!” อยู่ๆ เสียงสตรีที่เคร่งเครียดก็ดังมาจากในม่านหน้าต่างมืดครึ้มที่อยู่ด้านในสุดของร้านค้า
ลู่เซิ่งเบือนหน้ามองไป ก่อนหน้านี้จิตวิญญาณของเขายังสัมผัสไม่ได้ว่าที่นี่มีคน นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีเสียงดังมา
ที่แห่งนี้เหมือนจะมีสิ่งที่รบกวนการรับรู้ดำรงอยู่
ในม่านประตูสีดำอมเทาเป็นความมืดมิดผืนหนึ่ง ต่อให้ใช้สายตาของลู่เซิ่งก็มองไม่เห็นว่าด้านในมีอะไร
“ใครอยู่ตรงนั้น!” เสียงสตรีเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่” ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
ภาษาที่อีกฝ่ายใช้เป็นภาษาภัยพิบัติสำเนียงประหลาด แต่เขาก็ฟังเข้าใจ
“จริงหรือ ท่านช่วยข้าได้จริงๆ หรือ” สตรีคนนั้นรีบถาม
“ถ้าหากว่าคำขอของท่านไม่ได้ยากเย็นเกินไป ข้าคิดว่าทำได้” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
สตรีเงียบเสียงลงไป จากนั้นก็เริ่มบอกคำขอของนาง
“ที่นี่…เมืองแห่งนี้ อยู่มาวันหนึ่งก็กลายเป็นแบบนี้ ไม่มีลางบอกเหตุเลย ตอนนั้นข้ายังซื้อแป้งที่จำเป็นในโรงโม่แป้งอยู่เลย น่าเสียดาย…” เสียงของสตรีเจือสะอื้นเล็กน้อยขณะเล่าเรื่อง
“สามีข้า…หลังจากข้ากลับมา ข้าก็ค้นพบอย่างกะทันหันว่าสามีข้ามีการเปลี่ยนแปลงประหลาด เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ประหลาด และทำให้ข้าหวาดกลัวยิ่ง! ดังนั้น ข้าจึงอยากขอให้ท่านไปยังใจกลางเมือง แล้วพาสามีของข้าที่ซ่อนอยู่ที่นั่นกลับมา และขอให้ท่านบอกเขาว่าน่าน่า…น่าน่ารอเขาอยู่ที่นี่มาโดยตลอด…ข้าไม่สนใจว่าเขาจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว…” สตรีนางนั้นพูดจบ เสียงก็ค่อยๆ เงียบงันลง
“ข้าจะพามาเอง” ลู่เซิ่งหยีตาพร้อมกับหมุนตัวจากไป
หลังออกมาจากร้าน เขาก็กวาดตามองร้านที่เหลือ เกรงว่าร้านจำนวนมากบนถนนเส้นนี้จะมีเรื่องประมาณนี้ซุกซ่อนอยู่
จากนั้นเขาก็สงบจิตใจ รู้สึกอย่างเลือนรางว่าสถานที่แห่งนี้เหมือนจะไม่ใช่ที่ที่นครตราชั่งสร้างขึ้น แต่เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามทดสอบ
ส่วนอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น คิดอยากได้อะไร ย่อมต้องเผชิญความเสี่ยงกับค่าใช้จ่ายที่สมน้ำสมเนื้อ
ลู่เซิ่งที่ออกจากร้านขนมอบตัดทะลุเขตถนนไปยังใจกลางเมือง หลังจากข้ามถนนหลายเส้น เขาก็เข้าไปในลานกว้างของสวนดอกไม้ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
รอบๆ ลานกว้างเป็นถนนที่ใช้เข้าออกเขตถนนแต่ละสาย มียักษ์โลหะสีดำตัวหนึ่งที่กะพริบแสงยืนอยู่ตรงกลาง
สัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังควงแขนทั้งแปดข้างและหมุนศีรษะล้านเลี่ยนไปสามร้อยหกสิบองศาเพื่อมองดูรอบๆ
ท่อนบนของสัตว์ประหลาดคือมนุษย์ ท่อนล่างคือก้อนขนาดยักษ์ เคลื่อนไหวโดยการกลิ้ง ส่งเสียงครืนๆ ทุ้มหนักตลอดเวลา
ลู่เซิ่งเพิ่งจะก้าวเข้าไปในลานกว้าง ก็ถูกสิ่งมีชีวิตยักษ์ที่สูงสิบกว่าหมี่ตัวนี้พบทันที
สัตว์ประหลาดตัวนี้ใช้ดวงตาสีดำที่เหมือนกับโคมไฟกวาดตามองมาจับจ้องลู่เซิ่ง
“หากต้องการผ่านที่นี่ เจ้าจะต้องตอบคำถามข้าข้อหนึ่ง…” เสียงของสัตว์ประหลาดทุ้มต่ำเหมือนอัสนีบาต ดังครืนครันไปทั่วท้องฟ้าเหนือลานกว้างอย่างต่อเนื่อง
“คำถามอะไร” ลู่เซิ่งยื่นจิตวิญญาณออกไปสัมผัสสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างระมัดระวัง
จิตวิญญาณเพิ่งจะแตะใส่หมอกเทา ก็โดนดูดซับไปไม่น้อย ก้อนหินบนพื้นมีผลสะกดการตรวจสอบปริศนา
“มีคนหลายคนตอบคำถามของข้า แต่มีคำตอบแค่ไม่กี่คำตอบเท่านั้นที่ทำให้ข้าพอใจได้” สัตว์ประหลาดกล่าวเสียงขรึม “ถ้าหากในห้าสิบอึดใจ คำตอบของเจ้ายังทำให้ข้าพอใจไม่ได้อย่างนั้นข้าจะกินเจ้า แล้วรอคอยคนต่อไป”
“เข้าใจแล้ว โปรดถามได้เลย” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เขาเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้คือสิ่งใด น่าจะเป็นหนึ่งในการทดสอบที่ถูกติดตั้งตรงนี้เพื่อใช้เป็นอุปสรรคในภารกิจ ซึ่งมีไว้ขัดขวางผู้ทดสอบโดยเฉพาะ
สัตว์ประหลาดส่ายศีรษะไปมา
“คำถามของข้าก็คือ เจ้านับได้ไหมว่าข้ามีแขนกี่ข้าง”
เขาส่ายแขนยาวบนร่างไปมาจนเกิดเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ แขนปัดป่ายกลางอากาศพร้อมส่งเสียงแหวกอากาศไม่หยุดยั้ง
ลู่เซิ่งตั้งใจนับ
“แปดข้าง” เขาตอบอย่างจริงจัง
“เจ้าแน่ใจหรือ นับดีๆ อีกทีซิ!” สัตว์ประหลาดถามต่อ
ลู่เซิ่งลังเล ก่อนจะนับอีกรอบ
“…อย่างนั้น…สี่ข้างหรือ” เขารู้สึกว่าในแขนแปดข้างของสัตว์ประหลาดตัวนี้เหมือนจะมีอยู่ครึ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนแขน
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” สัตว์ประหลาดโบกแขนเร็วกว่าเดิม แขนหกข้างของเขาถึงกับค่อยๆ กลายเป็นโปร่งแสง
“อย่างนั้นก็…สองข้างใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งรู้สึกไม่แน่ใจอีกครั้ง
“เจ้าดูอีกที!?” บนร่างสัตว์ประหลาดดีดแขนสองข้างออกมาแล้วโบกไปโบกมาอีกรอบ
ฟ้าวๆๆ…
เสียงแหวกลมจากการโบกแขนหนาแน่นกว่าเดิม
“สี่ข้างหรือ”
“ดูอีกที” มีแขนอีกสองข้างดีดออกมาจากร่องแยกบนตัวสัตว์ประหลาด
“หกข้างหรือ”
“ดูอีกรอบสิ” แขนสี่ข้างเพิ่มขึ้นบนข้างลำตัวของสัตว์ประหลาด และเริ่มโบก
“สิบข้าง?” ลู่เซิ่งไม่แสดงสีหน้า
“ฮ่าๆๆ น่าเสียดายยิ่ง เจ้าทาย…” ตูม!
เกิดเสียงดังกระหึ่ม
ลู่เซิ่งต่อยหมัดออกไปด้านหน้าดุจสายฟ้าฟาด เพียงพริบตาเดียว แขนข้างหนึ่งของเขาก็เสียบเข้าไปในส่วนหัวของสัตว์ประหลาด รอยแยกจำนวนมากแผ่ขยายจากฝ่ามือของเขาไปทั่วร่างสัตว์ประหลาดอย่างรวดเร็ว
“ถูกต้อง ข้าทายถูกแล้ว” ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักมือกลับโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“ครั้งหน้า อย่าถามคำถามปัญญาอ่อนแบบนี้อีกนะ” เขากระโดดไปด้านหน้าเบาๆ แล้วทิ้งตัวลงบนพื้น
เศษโลหะสีดำจำนวนมากตกลงด้านหลังไม่หยุด ก่อนจะกระแทกพื้นลานกว้าง ส่งเสียงดังสนั่น
……………………………………….