ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 622 หมอกกัดกร่อน (2)
บทที่ 622 หมอกกัดกร่อน (2)
สองเดือนต่อมา…
ในสำนักงานแห่งหนึ่งของเมืองต้นบุปผา
“เสี่ยวเซี่ย ทำไมกลับเร็วจัง”
ในโถงใหญ่ของสำนักงานที่ว่างเปล่ามีเด็กอายุสิบสองสิบสามปีสิบกว่าคนชุมนุมกันอยู่ เด็กๆ หลายคนกำลังเล่นเกมกด บางคนก็เล่นหมากรุก บางคนพิงหน้าต่างอ่านหนังสือ อีกหลายคนกำลังเล่นคอมพิวเตอร์ด้วยกัน
ตู้เซี่ยดูนาฬิกา ถึงเวลาแล้ว ควรกลับบ้านได้สักที จึงลุกขึ้นยืนและวางบทกลอนในมือลง
พอเห็นเธอลุกขึ้น เด็กสาวงดงามที่นอนสวมหูฟังอยู่บนโซฟาใกล้ๆ ก็เอ่ยถาม
ตู้เซี่ยมองเด็กสาวคนนี้ เธอมีชื่อว่าโจวเฉวียนอู่ เป็นสมาชิกของเก๋อซาเช่นกัน หนำซ้ำยังเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาด้วย
ไม่นานก่อนหน้านี้มีบางประเทศตั้งค่าหัวของเธอและตั้งชื่อให้เธอว่ามารนรกอย่างเป็นทางการ เงินค่าหัวทะลุไปถึงสามหมื่นเจ็ดพันสองร้อยล้านดอลลาร์ยูโร
นี่เทียบเท่ากับหนึ่งในสิบของรายรับรวมหนึ่งปีของสหพันธรัฐยูโร แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเธอ
โจวเฉวียนอู่เป็นผู้รวบรวมเก๋อซาที่กระจัดกระจายอยู่ด้านนอกไว้ด้วยกัน แล้วก่อตั้งองค์กรที่ชื่อว่าหมอกกัดกร่อนขึ้น เพื่อปกป้องเก๋อซาจำนวนมากไม่ให้ถูกหน่วยงานของรัฐไล่ล่า
“อื้อ ถึงเวลากลับบ้านแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นพี่กับพ่อแม่จะเป็นห่วง” ตู้เซี่ยตอบอย่างเรียบเฉย
“ทำไมไม่ย้ายออกมาอยู่กับพวกเราล่ะ เธอเอาแต่อดทนอดกลั้น การใช้ชีวิตอยู่ในโลกของคนธรรมดาไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอและพวกเขาหรอกนะ” โจวเฉวียนอู่สวมกระโปรงสั้นสีขาว ใส่เสื้อยืดเอวลอยจนเห็นสะดือ ปล่อยผมสีดำเงางามที่ยาวสลวยถึงเอวให้กองอยู่บนโซฟา ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลอ่อนโยน
ตู้เซี่ยกวาดตามองขาขาวผ่องเรียวยาวที่เธอเผยออกมา ก่อนจะหยุดมองลวดลายสีม่วงอมดำที่เหมือนกับรอยสักด้านนอกขาอ่อน
นั่นคือลวดลายที่คมกริบเหมือนกับดาบโค้ง ด้ามดาบกับตัวดาบต่างมีการฉลุจนเหมือนเถาวัลย์ ซึ่งยืดยาวไปถึงด้านในขาอ่อน
เมื่อบวกกับกระโปรงสั้นสีขาวกับเส้นโค้งของขาเรียวยาวที่ขาวผ่อง จึงทำให้คนอดอยากค้นหาตามลวดลายคมกริบไปจนถึงใต้กระโปรงไม่ได้
ตู้เซี่ยเลื่อนสายตาไปมองดูอาทิตย์อัสดงที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าด้านนอกหน้าต่าง
“ตอนนี้ฉันไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เสี่ยวชิวล่ะ”
“เขาออกไปกับพวกเฟยเหนี่ยว เห็นบอกจะไปเที่ยวเล่นกัน” โจวเฉวียนอู่ตอบอย่างเกียจคร้านและนอนต่อไป เธอลืมตาสีม่วงที่งามเหมือนคริสตัลขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนเพลงในเครื่องเล่นเพลง
“เที่ยวเล่น?” ตู้เซี่ยขมวดคิ้ว “ดึกขนาดนี้แล้ว พวกเขาไปนานแล้วใช่ไหม”
“ใช่ เธอโทรศัพท์ไปถามดูสิ” โจวเฉวียนอู่ว่า
ตู้เซี่ยหยีตาและกวาดมองโถงใหญ่ของสำนักงาน จากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับตบกระโปรง กระโปรงขนสัตว์สีน้ำตาลกับถุงน่องสีขาวบนร่างเปื้อนรอยสีเทาจางๆ ส่วนหนึ่ง
พอเธอลุกขึ้น เด็กผู้ชายผมแดงที่กำลังเล่นเกมในโถงใหญ่ก็ทิ้งจอยสติ๊กในมือ ก่อนจะบิดขี้เกียจและลุกขึ้นเช่นกัน
เด็กผู้หญิงผมเป็นลอนสีทองที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่อีกคนก็วางโทรศัพท์ลงแล้วลุกขึ้น พลางมองไปยังตู้เซี่ยขณะที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่ง
พวกเขาสามคนเคลื่อนไหวด้วยกันมาโดยตลอด ถ้าหากบอกว่ามารนรกเป็นผู้นำของหมอกกัดกร่อน อย่างนั้นผู้นำของพวกเขาก็คือตู้เซี่ย
“ไปเถอะ ไปพาเสี่ยวชิวกลับมา” ตู้เซี่ยสางผมยาวสีบรอนซ์เพื่อทำให้มันนุ่มกว่าเดิม
“ถือโอกาสช่วยซื้อบันทึกความฝันกาลเวลาที่ออกใหม่ให้ฉันด้วยได้ไหม เป็นฉบับที่เพิ่งวางขายเมื่อเดือนที่แล้ว” เด็กชายผมแดงเขยิบเข้ามาถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เรื่องเล็กๆ แต่ก่อนหน้านั้น ช่วยฉันพาเสี่ยวชิวกลับมาก่อน” ตู้เซี่ยกล่าวอย่างราบเรียบ
“เข้าใจแล้ว” เด็กชายผมแดงโบกมือไปมาด้านหน้าหว่างคิ้ว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มทะเล้น
การลุกขึ้นของพวกเธอสามคนดึงดูดความสนใจของสมาชิกที่เหลือในโถงใหญ่ทันที เพื่อนสนิทที่กำลังเล่นเกมด้วยกันถอนใจไม่อยากให้เด็กชายผมแดงไป ขอให้เล่นด้วยกันอีกสักสองสามตา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เด็กชายขอโทษและปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
“พรุ่งนี้มีกิจกรรม มาเร็วๆ หน่อยล่ะ ฉันติดต่อทางโรงเรียนให้เธอแล้ว” โจวเฉวียนอู่ที่นอนอยู่บนโซฟากล่าวอย่างเกียจคร้าน
“รู้แล้ว” ตู้เซี่ยพาอีกสองคนเดินไปเปิดประตู ก่อนจะตั้งคอเสื้อขึ้นเพื่อกันลม
ติ๊งๆๆๆๆๆ
จู่ๆ โทรศัพท์ของตู้เซี่ยก็ดังขึ้น เธอก้มหน้าหยิบออกมาดูหน้าจอ เป็นเบอร์ของเสี่ยวชิวนั่นเอง
“ฮัลโหล ตอนนี้นายอยู่ไหน ถ้าไม่กลับมาได้เห็นดีกันแน่” ตู้เซี่ยทำตัวสงบเสงี่ยมพูดน้อยเมื่อออยู่ต่อหน้าพ่อแม่และพี่ชายในบ้าน แต่พออยู่ด้านนอก เธอกลับมีนิสัยเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
เหมือนกับพลังของตัวเธอ ในหมอกกัดกร่อนมีแต่เธอเท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับมารนรกโจวเฉวียนอู่ได้โดยไม่ตกเป็นรอง
แม้ทั้งสองคนจะไม่เคยต่อสู้กันจริงๆ แต่ก็อยู่อีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละขอบเขตกับสมาชิกคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง
ในครอบครัว แม้ตู่เซี่ยกับตู้ชิวจะเป็นฝาแฝดกัน แต่ทั้งสองกลับมีพลังต่างกันราวฟ้ากับเหว
“เสี่ยวชิว?” ปลายสายไม่มีเสียงตอบ พลันทำให้ตู้เซี่ยสงสัยเล็กน้อย
มีเสียงสะอื้นที่กลั้นไว้ดังมาจากในโทรศัพท์อย่างเลือนราง
“…พี่…พี่เซี่ย…เสี่ยวชิวเขา…ตายแล้ว…! ฮือๆ” เสียงร้องไห้ซึ่งตามมาด้วยเสียงพูดกระท่อนกระแท่นของเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังเข้าหูตู้เซี่ย
ดวงตาของตู้เซี่ยพลันนิ่งค้าง แสงสว่างอันน่าอัศจรรย์กะพริบในม่านตาสีดำขลับ
“บอกซิว่าเธอกำลังล้อเล่นอยู่”
“พวก…คนจาก…คนจากหงส์จักรพรรดิหาตัวพวกเขาเจอ…เขื่อนระเบิดไปแล้ว…ระเบิดไปหมดแล้ว!” เด็กผู้ชายที่อยู่ปลายสายบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างตะกุกตะกัก
ตูม
โทรศัพท์ในมือตู้เซี่ยระเบิดเป็นผุยผงทันที
เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ตอบสนองอยู่ครู่ใหญ่ๆ
เด็กสาวผมสีทองที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งหยุดชะงัก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เด็กชายผมแดงผุดสีหน้าเหลือเชื่อ จากนั้นก็รู้สึกตัวอย่างฉับพลัน รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรตรวจสอบ
ผลลัพธ์ของการตรวจสอบไม่เป็นอย่างหวัง เพื่อนผู้รอดชีวิตของเสี่ยวชิว เพื่อนที่จับกลุ่มกันทางด้านนั้น ยังมีเสียงไซเรนและเสียงรถพยาลที่กำลังเร่งรุดไปถึงที่เกิดเหตุดังทะลุเข้ามาจากในโทรศัพท์
ตุบ…
เด็กชายเผลอทำโทรศัพท์ตกพื้น อยากก้มเก็บ แต่พอเห็นสีหน้าของตู้เซี่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ตกใจจนไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก
ทั้งสามไม่พูดอะไรกันต่อ
“ตาย…แล้วเหรอ” ตู้เซี่ยมองอากาศตรงหน้าอย่างงุนงง สีหน้าเหม่อลอยโดยสิ้นเชิงอยู่ชั่วขณะ
…
รอจนตู้เซี่ยได้สติกลับมา ก็เป็นอีกหนึ่งอาทิตย์กว่าๆ แล้ว
งานศพของตู้ชิวจัดขึ้นที่ฌาปนสถานในเมือง มีคนมามากมายไม่ขาดสาย
ตู้เซี่ยนั่งเหม่อลอยอยู่ทางซ้ายของรูปน้องชาย พร้อมกับขอบคุณแขกเหรื่อที่มาอย่างเฉยชาท่ามกลางเสียงร้องไห้ของผู้เป็นแม่
ตู้สยงผู้เป็นพี่นั่งอยู่ด้านข้าง เขามีสีหน้าโศกเศร้าเช่นเดียวกัน
แขกทุกคนต่างเข้ามาเยี่ยม เขาต้องรับมือกับคำถามและคำปลอบโยนสารพัดของอีกฝ่าย ในฐานะพี่คนโตของครอบครัว เขาไม่สามารถแค่กล่าวขอบคุณก็จบเรื่องเหมือนตู้เซี่ยได้
ตู้ซวี่หนิงผู้เป็นพ่อยืนอยู่หน้าประตูโถงใหญ่กับคุณลุง คอยต้อนรับแขกเข้าโถง ดวงตาเขาบวมและแดงเรื่อ แสดงให้เห็นว่าร้องไห้เช่นกัน
“เสี่ยวชิวตายได้ยังไงกัน” คำถามที่แขกถามเยอะที่สุดคือคำถามนี้
“ตอนนั้นเขาไปเล่นอยู่ข้างเขื่อน แล้วเขื่อนก็ระเบิด ไม่รู้เพราะอะไร เขากับเพื่อนอีกหลายคนต่างก็…” นี่เป็นคำตอบที่ตระกูลตู้ตอบ และเป็นคำตอบที่ตำรวจบอกเช่นกัน
แต่ตู้เซี่ยทราบว่าไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น บางทีพี่ชายและพ่อแม่อาจเชื่อคำอธิบายนี้ แต่เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
ด้วยความสามารถของเสี่ยวชิว ต่อให้สู้ตัวเธอไม่ได้ ก็คงไม่เกิดอันตรายถึงชีวิตเพราะการระเบิดที่เกิดอย่างกะทันหันแน่นอน
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือการหาตัวฆาตกรตัวจริงที่ลงมือให้เร็วที่สุด โจวเฉวียนอู่เริ่มตรวจสอบแล้ว สถานะแท้จริงของเธอคือจอมพลสตรีประจำสหพันธ์ มีอำนาจและตำแหน่งสูงสุดโดยกำเนิด
แต่ว่าตู้เซี่ยไม่ได้หวังพึ่งช่องทางนี้ช่องทางเดียว
งานศพดำเนินเป็นเวลานานมาก ตู้เซี่ยติดตามอยู่ด้านหลังพี่ชายกับพ่อแม่อย่างว่าง่าย พร้อมกับคอยจัดการงานศพของน้องชายตลอดเวลา
จนกระทั่งตกดึก ก็เหลือคนมาไม่กี่คนอีกแล้ว ทั้งสามจึงได้พักผ่อนในโถงรองด้านข้าง โดยมีคนจากฌาปนสถานมาทำหน้าที่แทน
“ไม่เป็นไรนะ” อยู่ๆ ด้านหน้าตู้เซี่ยก็มีทิชชูแผ่นหนึ่งโผล่มา
เธอรับมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะแหงนหน้ามองพี่ชายตู้สยงที่รักเธอกับน้องชายมากที่สุด
ตู้สยงโศกเศร้าและห่อเหี่ยวเล็กน้อย ขอบตาก็แดงก่ำ แต่กลับฝืนทำเป็นเข้มแข็ง
ตู้เซี่ยรู้ว่าเขาเสียใจไม่น้อยกว่าตนเอง ถึงอย่างไรยามปกติตู้ชิวผู้เป็นน้องก็ติดพี่ชายคนนี้มากกว่าตัวเธอเสียอีก
“หนูไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบเบาๆ
“ถ้าเสี่ยวชิวยังอยู่ คงไม่อยากเห็นเธอซึมแบบนี้หรอก” ลู่เซิ่งปลอบอย่างจริงจัง
เขาเองก็โมโหเช่นกัน ยังผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ น้องๆ ที่อยากปกป้องในผลกรรมกลับตายไปแล้วคนหนึ่ง
นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นที่ตนอ่อนแอที่สุดด้วย
ส่วนที่ขอบตาแดงหรือที่โศกเศร้า ล้วนเป็นปฏิกิริยาของร่างกายร่างนี้
“ตำรวจกำลังตรวจสอบสาเหตุอยู่ ยังมีเงินค่าชดเชยอีก พ่อกับแม่กำลังต่อรองกับพวกเขาอยู่ ถ้าหากมีความจำเป็น จะฟ้องสำนักไฟฟ้าพลังน้ำที่รับผิดชอบในท้องที่ด้วย”
“หนูรู้ค่ะ…” ตู้เซี่ยพยักหน้า
ลู่เซิ่งลูบผมของตู้เซี่ย เขาจะไม่ทำผิดพลาดอีกแล้ว การเสียน้องชายไปคนหนึ่งทำให้ผลกรรมไม่ได้รับจิตวิญญาณส่วนหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงอาศัยการลูบผมมอบกลิ่นอายแก่นหยางเล็กๆ ให้แก่ตู้เซี่ย
กลิ่นอายนี้มีบนตัวพ่อแม่ของตู้สยงเช่นกัน
“ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยไหมคะ” ตู้เซี่ยเป็นฝ่ายเชิญชวนอย่างหาได้ยาก
ลู่เซิ่งงุนงง ก่อนจะพยักหน้าทันที
ทั้งสองบอกกล่าวกับพ่อแม่ แล้วออกจากฌาปนสถานมาเดินบนเส้นทางบนภูเขารอบๆ โดยมีตู้เซี่ยอยู่ด้านหน้า ลู่เซิ่งอยู่ด้านหลัง
หลังเดินออกมาเป็นระยะทางหนึ่ง ตู้เซี่ยก็เอ่ยทันทีว่า
“ห้องของเสี่ยวชิวรักษาไว้แบบเดิมได้ไหมคะ”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“พี่บอกพ่อแม่แล้ว”
เงียบงันลงสักพัก ตู้เซี่ยก็ปัดฝุ่นบนก้อนหินใหญ่ออกพร้อมกับยืนพิง
ลู่เซิ่งยืนข้างๆ เธอ พลางทอดตามองหญ้าสีเหลืองบนภูเขาที่พัดไหวตามลม
“ความตายของเสี่ยวชิว การตรวจสอบของฝ่ายตำรวจมีปัญหา ไม่เหมือนเป็นอุบัติเหตุธรรมดา” เขาพึมพำ “พี่ไม่เชื่อผลลัพธ์การตรวจสอบ พี่ก็เลยเตรียมจะตรวจสอบเอง”
ตู้เซี่ยงุนงง
“พ่อกับแม่…รู้เรื่องไหมคะ” เธอลังเลเล็กน้อย
“ไม่รู้ แต่พี่จะใช้ช่องทางของตัวเองตรวจสอบ ไม่ต้องห่วงนะ” ลู่เซิ่งเบ่งกล้ามแขนและพูดล้อเล่น “ช่วงนี้พี่ออกกำลังกายทุกรูปแบบเลยล่ะ”
ตู้เซี่ยได้ยินจากพ่อกับแม่ว่า พี่ชายฝึกมวยมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“พี่คะ…” ตู้เซี่ยอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก เธออยากบอกพี่ชายมากว่าเสี่ยวชิวไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่ถูกคนฆ่าตาย
ทว่าต่อให้พี่ชายที่เป็นคนธรรมดารู้ความจริงแล้ว นอกจากโกรธแค้นและอับจนหนทางแล้ว จะทำอย่างไรได้อีก
ดังนั้นเธอจึงเตรียมจะลงมือตรวจสอบเอง ถ้าหากเป็นสุนัขรับใช้ประจำจักรวรรดิอย่างหงส์จักรพรรดิจริงๆ ล่ะก็… ก็ถึงเวลาตอบรับแผนการใหญ่ของโจวเฉวียนอู่แล้ว
“ไม่ต้องห่วง พี่จะจัดการเอง นอกจากนี้ ถ้ามีอะไรกวนใจล่ะก็ เธอบอกพี่ได้เสมอเหมือนกันนะ พี่จะช่วยเธอแบกรับเอง” ลู่เซิ่งบีบแก้มของเธออย่างอ่อนโยน
“อื้อ!” ตู้เซี่ยสัมผัสกับความอบอุ่นที่ไม่ได้เจอมานาน ขอบตาเปียกชื้นและคัดจมูกเล็กน้อย แต่ก็พยายามกลั้นน้ำตาไว้
พรึ่บ
เธอพลันหมุนตัวหนีและหลับตา
“อย่ามองหนูนะ!”
ลู่เซิ่งชะงักมือ ส่ายหน้าอย่างจนใจ
“พี่กลับไปก่อนเถอะ หนูขออยู่คนเดียวเงียบๆ” ตู้เซี่ยเอ่ยเสียงทุ้ม
“ก็ได้ พี่จะอยู่แถวนั้นนะ” ลู่เซิ่งค่อยๆ เดินจากไปอย่างจนปัญญา
รอเขาเดินไปไกลแล้ว ตู้เซี่ยจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาไม่ได้เป็นสีดำอย่างในตอนแรกอีกต่อไป หากเป็นสีทองเข้มสว่างไสว
สีทองนับไม่ถ้วนกะพริบระยิบระยับในนัยน์ตาเหมือนกับแสงดาว
‘ไม่ว่าแกจะเป็นใคร’
เธอกำหมัดแน่น ดวงตาปรากฏจิตสังหารอันเย็นเยียบ
‘ฉันจะหาตัวแกแล้วฆ่าแกซะ!’
ซู่…
ก้อนหินด้านหน้าเธอบิดเบี้ยว ป่นเป็นผง และลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ถูกเปลวไฟสีทองห่อหุ้มไว้ พริบตาเดียวก็ถูกเผาจนไร้ร่องรอย
…
แสงสีแดงสาดลงบนโซฟาอย่างงดงาม
โจวเฉวียนอู่นอนอยู่บนโซฟากลางโถงใหญ่ในตึกสำนักงาน แขนข้างหนึ่งห้อยตกพื้น นิ้วชี้ที่เรียวยาวสวยงามแตะอยู่บนฝักกระบี่สีดำเก่าแก่ซี่งมีขนาดที่ยาวมาก
“พันธนาการแรกหายไปแล้ว” ขณะมองอาทิตย์อัสดงนอกหน้าต่าง อยู่ๆ โจวเฉวียนอู่ก็หัวเราะคิกคัก
แม้ว่าในโถงใหญ่จะมีแค่เธอคนเดียวก็ตามที
“มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ” เงาคนสูงใหญ่ในเงามืดถามเบาๆ
โจวเฉวียนอู่จับฝักกระบี่สีดำบนพื้นอย่างแผ่วเบา
“พันธนาการเป็นจุดอ่อน และจุดอ่อนก็ต้องตาย…”
……………………………………….