ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 623 หยั่งเชิง (1)
บทที่ 623 หยั่งเชิง (1)
เขตหลันจื่อในเมืองต้นบุปผา ด้านหน้ารถเข็นขายขนมเปี๊ยะอบคันหนึ่ง
“ขอชิ้นสองดอลลาร์ยูโรสองชิ้นครับ!” ไป๋เฉาอันถูมือพลางเป่าปาก อากาศหนาวเกินไปแล้ว
“อ้าว ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อครับ!”
“นี่ เงินครับ”
ไป๋เฉาอันส่งเงินไป แล้วรับขนมเปี๊ยะอบห่อกระดาษมากัดแรงๆ คำหนึ่ง ผิวนอกขนมเปี๊ยะหอมกรอบอร่อย ด้านในเป็นไส้เนื้อที่สดนุ่ม ไป๋เฉาอันกัดคำโตพร้อมกับเคี้ยวด้วยความพึงพอใจ
เขาชอบขนมเปี๊ยะอบมาก เหมือนกับที่เขาชอบฆ่าคน
ฆ่าหนึ่งคน กินขนมเปี๊ยะอบหนึ่งชิ้น นี่เป็นนิสัยที่เขาทำจนชินมาหลายปี
นอกจากนี้เขายังได้ตั้งกฎข้อหนึ่งให้กับตัวเองโดยเฉพาะนั่นคือ ถ้าฆ่าผู้ชายจะกินขนมเปี๊ยะอบไส้เนื้อ ถ้าฆ่าผู้หญิง จะกินขนมเปี๊ยะอบไส้ผักกาดขาว
อากาศตอนเช้าเย็นสดชื่น ไป๋เฉาอันกินขนมเปี๊ยะหมดในไม่กี่คำ จากนั้นก็ซุกมือในกระเป๋าและเดินไปยังหน้าตึกใหญ่สิบสามชั้นที่มีคนเข้าออกไม่มากแห่งหนึ่ง
‘ที่นี่สินะ อยู่ติดกับหน่วยงานรัฐงั้นเหรอ ลำบากนิดหน่อยแฮะ จัดการไอ้นั่นก่อนก็แล้วกัน’
ครั้งนี้ในภารกิจที่รับมาจากเบื้องบน แม้จะต้องฆ่าคนธรรมดาถึงสามคน แต่ไป๋เฉาอันยังคงส่งเสริมจริยธรรมทางวิชาชีพของตัวเอง โดยพยายามจะลงมือด้วยวิธีที่เป็นความลับมากที่สุด
ในเมื่อเป้าหมายทั้งสองเป้าหมายลงมือจัดการยาก อย่างนั้นก็หาเป้าหมายที่ลงมือได้ง่ายที่สุดก่อน
เขาเม้มปากและกลืนขนมเปี๊ยะอบ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในประตูทางเข้ารถไฟใต้ดิน พร้อมกับฉวยโอกาสตอนเบียดฝ่าฝูงชน หยิบโทรศัพท์ออกมาดูรูปเป้าหมายที่เก็บเอาไว้
นักเรียนมัธยมปลายที่หล่อเหลาและมีสีหน้าเอาจริงเอาจังปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา ด้านล่างระบุว่า ตู้สยง อายุ18 ปี สถานที่ที่เข้าออกเป็นประจำได้แก่ โรงยิมกวงเหอ โรงยิมสุริยะวิถี และโรงฝึกต้นบุปผา
เขากดปุ่มเล็กๆ ด้านข้างหน้าจอ ข้อมูลรายละเอียดที่ละเอียดมากกว่าเดิมพลันเด้งออกมาหลายแถว
ด้านในเป็นข้อมูลอื่นๆ ที่ตู้สยงถนัด
‘แค่คนธรรมดาคนเดียว กลับต้องให้ฉันลงมือเอง…ดูเหมือนจะไปข้องเกี่ยวกับคนใหญ่คนโตเข้าสินะ’ ไป๋เฉาอันคาดเดาในใจ
ยิ่งเป็นเป้าหมายแบบนี้ เขายิ่งต้องระวังตัว สำหรับเก๋อซาแล้ว ผู้ไล่ตามดวงดาวจากประเทศบริวารอย่างพวกเขาย่อมไม่สะดุดตา ถูกบดขยี้ตายได้อย่างง่ายดาย
ทว่าสำหรับคนธรรมดา ผู้ไล่ตามดวงดาวกลับเป็นตัวตนอันเหี้ยมหาญเหนือจินตนาการ สำหรับพวกเขา การฆ่าคนไม่ได้ลำบากไปกว่าการฆ่าไก่เลย
‘รีบเผด็จศึกดีกว่า หาที่ที่เหมาะสมหน่อย…’ ไป๋เฉาอันเปิดปฏิทินดูเวลา ‘เอาเป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน หลังจัดการเสร็จจะได้ไปฉลองวันเกิดกับแม่ที่บ้านด้วย’ ไป๋เฉาอันพับโทรศัพท์ปิดแล้วหาวทีหนึ่ง
…
‘คนที่ขวางเราต้องตายให้หมด!’
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ พร้อมกับเงยหน้าลูบผมเปียกไปด้านหลัง
ความรู้สึกที่ผลกรรมขาดไปหนึ่งในสี่ส่วนสร้างความไม่พอใจให้เขามาก
และความตายของน้องชายที่เป็นเก๋อซาก็ทำให้เขารู้ว่า มีการคุกคามที่น่าหวั่นสะพรึงซุกซ่อนอยู่ในฉากหลังของโลกใบนี้
ปัจจุบันตู้ชิวตายแล้ว อย่างนั้นรายต่อไปอาจเป็นตู้ซวี่หนิงผู้เป็นพ่อหรือหลี่ช่านผู้เป็นแม่ของร่างกายร่างนี้ก็ได้ แต่ตู้เซี่ยมีโอกาสมากกว่า
‘ตอนแรกคิดจะก้าวเดินทีละก้าว ทำไมทุกครั้งที่ถึงตอนท้ายจะต้องโดนบังคับทุกที…’
เขาหยิบผ้าขนหนูมาเงียบๆ แล้วเช็ดน้ำบนใบหน้าจนแห้ง
‘ไม่ได้อยากทำเลย…’
เขาเดินออกจากห้องน้ำ หลี่ช่านผู้เป็นแม่นอนเอียงศีรษะหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
ตู้ซวี่หนิงยังจัดการเรื่องราวของตู้ชิวอยู่ ตู้เซี่ยไปรวมตัวกับเพื่อนด้านนอก จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา
เปลือกนอกเป็นการชุมนุม แต่ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า ตู้เซี่ยน่าจะไปตรวจสอบการตายของเสี่ยวชิวตามลำพังมากกว่า
ตู้เซี่ยแข็งแกร่งมากๆ ลู่เซิ่งไม่เคยสู้กับเก๋อซามาก่อน จึงตัดสินไม่ได้ว่าขีดจำกัดของพลังแห่งเทพชนิดนี้อยู่ตรงไหน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้จิตวิญญาณสัมผัสหยั่งเชิง
ระดับพลังของตู้เซี่ยที่รู้จากการหยั่งเชิงและทดสอบอย่างระมัดระวังหลายครั้ง ทำให้เขาต้องถอนใจชมเชย
ความรู้สึกสังหรณ์ที่ปราดเปรียวถึงขีดสุด ซึ่งกินอาณาเขตถึงหนึ่งร้อยเมตร หนำซ้ำยังมีสัญชาตญาณหลบหลีกต่อการคุกคามนอกรัศมีร้อยเมตรอย่างหยาบๆ ด้วย
มีการระเบิดพลังจิตที่เรียบง่าย น่าจะเป็นการควบคุมเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งบางชนิด ซึ่งแทบไม่มีสิ่งใดที่หลอมละลายไม่ได้
และสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ความสามารถธรรมดาที่ใช้ได้ทุกเวลาสำหรับตู้เซี่ยเท่านั้น
ลู่เซิ่งยังไม่อาจสัมผัสพลังในระดับชั้นที่ลึกยิ่งกว่าได้
หลังห่มผ้าห่มให้หลี่ช่านแล้ว ลู่เซิ่งก็กลับไปห้องตัวเอง แล้วเปิดคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม
‘จะรอต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องรีบเริ่มแผนการให้เร็วที่สุด’
‘ดีปบลู’
เขานึกเงียบๆ ด้านหน้าคอมพิวเตอร์
ชิ้ง
เครื่องมือปรับเปลี่ยนเด้งขึ้นด้านหน้าเขาในพริบตา จากนั้นลู่เซิ่งก็มองด้านในกรอบที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ด้านล่างสุด
[วิชาโจมตีผสานหลายสำนัก: ขั้นสูง (หลอมรวมสำนัก: มวยสุริยะวิถี วิถีกำหนดหัตถ์ หัตถ์ขวางนภา ฟันฝ่ามือ ฟรีสไตล์คิกบ๊อกซิ่ง…)] ต่อจากนั้นเป็นวิชาต่อสู้หลากหลายรูปแบบอีกสิบกว่าชนิดที่แพร่หลายในโลกนี้
สิ่งเหล่านี้เป็นวิชามวยจากสำนักต่างๆ ที่ลู่เซิ่งศึกษาด้วยตัวเองในช่วงนี้
สำหรับเขาแล้ว พวกมันส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย เขาจึงนำแก่นสำคัญของวิชามวยชนิดต่างๆ มารวมกันเป็นหนึ่ง จนกลายเป็นวิชาต่อสู้ผสานหลายสำนักนี้
วิชาต่อสู้ชนิดนี้ได้คัดท่าไม้ตายและแก่นสำคัญของสำนักมากมายออกมา แล้วเชื่อมต่อกันเพื่อให้เกิดอานุภาพสูงสุด
แต่นี่เป็นขีดจำกัดที่ลู่เซิ่งทำได้แล้ว
เขากวาดตามองในกรอบสักพักหนึ่ง หลังจากสัมผัสมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาก็มีการคำนวณต่อมรรคายุทธ์ของโลกใบนี้อย่างคร่าวๆ แล้ว
ปราณโซ่ภายในชนิดนี้ไร้รูปร่าง ไม่ใช่เลือดลมในศาสตร์การแพทย์ และไม่ใช่สนามแม่เหล็กมีชีวิตหรืออะไร หากเป็นวิธีการฝึกฝนที่ใช้กระตุ้นกายเนื้อ เหมือนกับวิชาพัฒนาศักยภาพชนิดหนึ่งมากกว่า
ปราณโซ่ภายในสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย ทั้งยังยกระดับภูมิคุ้มกัน แต่สิ่งนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนไหนบอกได้
‘ตอนแรกคิดว่าจะค่อยๆ ศึกษาดู รอจนถึงขั้นสุดยอดค่อยใช้พลังอาวรณ์ แต่ตอนนี้…’ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่ามีมือมืดค่อยๆ อ้อมผ่านตัวตู้เซี่ย แล้วยื่นเข้าหาตนเองกับพ่อแม่อยู่
‘เริ่มกันเลย’ เขากดปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย กรอบทั้งกรอบพลันกะพริบ พร่ามัวลงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนจะชัดขึ้นทันที
‘ยกระดับวิชาโจมตีผสานหลายสำนักถึงขีดสูงสุด’ เขานึกในใจพร้อมกับเพ่งสมาธิกับสายตาไปบนกรอบ
ซู่…
พลังอาวรณ์ค่อยๆ ลดลงหนึ่งหน่วย กลายเป็นกระแสความอบอุ่นที่เหมือนกับเส้นด้ายเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนหลอมรวมเข้ากับทั่วร่างของลู่เซิ่งอย่างเชื่องช้า
เขายืนอยู่ด้านหน้ากระจกตู้เสื้อผ้า กล้ามเนื้อและผิวหนังทั่วร่างสั่นไหวอย่างช้าๆ ร่างกายที่ตอนแรกมาถึงขีดจำกัดแล้วพลันลุกไหม้ขึ้นเหมือนกับฟืนแห้งที่ถูกจุดไฟภายใต้การกระตุ้นของพลังอาวรณ์
เสียงแปลกประหลาดที่เกิดจากการที่เลือดเนื้อเสียดสีกันดังมาจากทั่วร่างลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
ร่างกาย…กำลังทะลวงขีดจำกัด พละกำลังไต่ระดับทะยานขึ้นจากสามร้อยกิโลกรัมในตอนแรกอย่างรวดเร็ว
ขณะพลังอาวรณ์หลอมรวมอย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งมองตนเองในกระจก ร่างกายสูงขึ้นนิดหน่อย กล้ามเนื้อทั่วร่างอำพรางไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากเค้าโครงเป็นสัดเป็นส่วนชัดเจน
ผิวหนังค่อยๆ เป็นสีสำริดจางๆ
วิชาต่อสู้ผสานที่ผสมผสานข้อดีของสำนักเกือบทุกสำนักไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจนและไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจนเช่นกัน
จุดเด่นที่เห็นได้ชัดที่สุดของมันคือการเฉลี่ยและสมดุล
พละกำลัง ความเร็ว การป้องกัน ความอดทน ยังมีความแข็งแกร่งของกายเนื้อและความต้านทานของอวัยวะภายในที่เหมือนกับวิชาแข็งกร้าว
วิชาต่อสู้ผสานวิชานี้เหมือนกับวิชาภายนอกเล็กน้อย และเหมือนวิชาแข็งกร้าวอย่างวิชาระฆังคุ้มกายหรือภูษาเหล็กนิดหน่อย
เดิมทีวิชาต่อสู้ผสานแบบนี้จะไม่มีจุดเด่นที่โดดเด่นออกมาเพราะธรรมดาเกินไป แต่ว่าภายใต้การผลักดันจากพลังอาวรณ์ของลู่เซิ่ง ความธรรมดาจึงกลายเป็นจุดเด่นไปแทน
การเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติจบลงอย่างรวดเร็วยิ่ง
ลู่เซิ่งสูงขึ้นถึงหนึ่งเมตรเก้าสิบเซนติเมตร กล้ามเนื้อที่สมดุลและบึกบึนปรากฏให้เห็นชัดเจน
บุกคลิกมีความก้าวร้าวที่เห็นได้ชัดเพิ่มขึ้นมา นี่เป็นผลกระทบจากคุณสมบัติในวิชาต่อสู้ผสาน
‘ใช้พลังอาวรณ์ไปแค่หน่วยเดียวเอง…ถึงจะเป็นเพราะวิชาต่อสู้อยู่ในระดับต่ำก็เถอะ แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เราฝึกถึงจุดสูงสุดแล้ว พอใช้พลังอาวรณ์ก็เลยทะลวงข้อจำกัดได้ทันที’ ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง
เขามองดูเนื้อหาของกรอบในเวลานี้
[วิชาต่อสู้ผสานหลายสำนัก: ขีดจำกัด (คุณสมบัติพิเศษ: วิชามวยไร้เสียง, ขีดจำกัดกายเนื้อ)]
‘พละกำลังยกระดับขึ้นเกือบหนึ่งเท่ากว่าๆ ในพริบตา…’ ลู่เซิ่งมีสีหน้าพอใจขณะสัมผัสร่างกายในตอนนี้
นี่หมายความว่าความคิดของเขาเมื่อก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง การฝึกฝนตามลำดับขั้นตอนและการใช้พลังอาวรณ์ทะลวงก้าวสำคัญในตอนสุดท้ายช่วยประหยัดพลังอาวรณ์ได้มากโข ในขณะเดียวกันยังไม่ต้องห่วงด้วยว่ารากฐานจะไม่แข็งแรง
‘น่าเสียดาย ถ้าไม่ใช่เพราะเวลากระชั้นเข้ามา ก็อยากจะไต่ไปจุดสูงสุดทีละก้าวๆ มากกว่า’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ ‘ความเข้ากันได้ในระบบพลังของโลกใบนี้แข็งแกร่งมาก ต่อให้ไปอยู่ต้าอินหรือนครตราชั่ง ก็สามารถหลอมรวมได้อย่างรวดเร็ว’
เรียบง่าย เกรี้ยวกราด ไม่ซับซ้อน
ที่นี่มีจุดเด่นทางมรรคายุทธ์ที่ชัดเจนมาก
‘ต่อกันเลย ขอดูหน่อยว่าเราจะไปถึงระดับไหนได้ ไปถึงขีดสูงสุดก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยไปทดลองระดับพลังของเก๋อซา’
ลู่เซิ่งเดินไปปิดม่านหน้าต่าง แล้วล็อกประตูห้อง
จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นห้อง พร้อมกับปรับลมหายใจและค่อยๆ เข้าสู่ห้วงสมาธิ
ตอนนี้ได้แต่เรียนรู้วิชาต่อสู้ที่บรรลุถึงขีดจำกัดแล้วต่อไปเท่านั้น
ลู่เซิ่งกดปุ่มเรียนรู้หลังกรอบด้านล่างอย่างผ่อนคลาย
‘เรียนรู้วิชาต่อสู้ผสานหลายสำนักหนึ่งระดับ’
เขาไม่ได้เพิ่มระดับทั้งหมดในคราวเดียว เพราะระบบพลังของโลกที่แข็งแกร่งแบบนี้มีค่าแก่การสัมผัสกระบวนการการยกระดับ
หลังผ่านไปสองลมหายใจ กรอบก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้งหลังจากพร่ามัว เสียพลังอาวรณ์ไปหนึ่งหน่วย
[วิชาต่อสู้ผสานหลายสำนัก: ช่วงขีดจำกัด (คุณสมบัติพิเศษ: วิชามวยไร้เสียง, ทะลวงขีดจำกัดกายเนื้อ, ช่วงปราณโซ่ภายใน)]
‘ปราณโซ่ภายใน’ ลู่เซิ่งงุนงง เขาลองสัมผัสอย่างละเอียด ด้วยพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขา กลับเพียงแค่พอจะสัมผัสได้ว่าในร่างกายมีกลุ่มปราณขมุกขมัวที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดสายหนึ่งกำลังเต้นอย่างช้าๆ ด้วยจังหวะที่แน่นอนเหมือนกับการเต้นของหัวใจเท่านั้น
‘ที่แท้ปราณโซ่ภายในก็ไม่ใช่เรื่องแต่งของโลกใบนี้…แต่มีอยู่จริงๆ…’ ลู่เซิ่งนึกถึงพวกผู้เข้มแข็งอย่างปรมาจารย์มรรคายุทธ์ รวมถึงจอมกระบี่และจอมยุทธ์ที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ สุดยอดผู้เข้มแข็งท่ามกลางเหล่ามนุษย์พวกนี้มีประวัติความเป็นมาดุจเทพนิยาย ตอนนี้ดูเหมือนอัศจรรย์พันลึก แต่พอมองดูอีกที ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีความน่าเชื่อถือเลย
‘ขอดูหน่อยซิว่าปราณโซ่ภายในนี้จะไปได้ถึงระดับไหน’ ลู่เซิ่งไม่รีบร้อน หลังจากผ่านการสร้างรากฐานในช่วงเวลานี้ กายเนื้อยังสามารถรับภาระจากการยกระดับแค่นี้ได้อยู่
‘ต่อเลย’
……………………………………….