ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 625 เตรียมตัว (1)
บทที่ 625 เตรียมตัว (1)
ลู่เซิ่งลูบบาดแผลบนมือ รู้สึกแสบๆ ร้อนๆ เล็กน้อย จากนั้นมองฝ่ามืออีกที มีหลายจุดที่ปรากฏรอยดำเกรียมเล็กๆ
เขามองไปยังทางต้นเสียงเมื่อครู่นี้
เขาในตอนนี้ไม่สามารถไล่ตามทันได้ นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายจะโผล่มาปะทะกับเขาตรงๆ
‘กลับก่อนก็แล้วกัน ยังไม่ถึงเวลา’
ลู่เซิ่งปล่อยจิตวิญญาณออกไปสัมผัสสภาพรอบๆ เป็นครั้งสุดท้าย หลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครโผล่มาอีก จึงค่อยหมุนตัวเดินไปยังทิศทางของบ้าน
แกร๊ก
ตอนที่ลู่เซิ่งเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นตู้เซี่ยขวางอยู่ด้านหน้าประตู สองตาจ้องมองโทรศัพท์ในมือ ไม่เข้าไปและไม่ออกมา
เหมือนกับเธอรู้แต่แรกแล้วว่าเขาจะเปิดประตูเข้าบ้าน จึงตั้งใจยืนรอเขาอยู่ตรงนี้
“พี่ ช่วงนี้ด้านนอกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ พี่ต้องระวังไว้ด้วยนะคะ อย่าไปที่เปลี่ยวล่ะ” ตู้เซี่ยพลันเงยหน้ากำชับ
“อืม พี่รู้แล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า “พ่อแม่ล่ะ”
“แม่กำลังทำกับข้าว ส่วนพ่อ…ยังอยู่ที่ฌาปนสถานอยู่ค่ะ…” เสียงของตู้เซี่ยเบาลงเล็กน้อย
“ดีแล้ว…” ลู่เซิ่งลูบผมของตู้เซี่ย “อย่าเอาแต่ยืนนิ่งอยู่นี่สิ ไปพักผ่อนเถอะ”
“…อื้อ” ตู้เซี่ยพยักหน้า “จริงสิ ตอนที่พี่กลับมา ไม่ได้เจอเรื่องอะไรใช่ไหมคะ”
“ไม่เจอนะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำไมเหรอ” ลู่เซิ่งทำหน้าเหลอหลา “ทำไมถามแบบนี้ล่ะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ…เห็นในข่าวบอกว่า ช่วงนี้รอบๆ บ้านพวกเราวุ่นวาย…” ตู้เซี่ยก้มหน้าอธิบาย ดวงตาหลุกหลิก
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องห่วง พี่เป็นมืออาชีพนะ” ลู่เซิ่งทำท่าเบ่งกล้ามแขน
“มาช่วยยกข้าวหน่อยจ้า” หลี่ช่านที่อยู่ด้านในเรียกทั้งสองเสียงดัง
“มาแล้วค่ะ”
“รู้แล้วครับ”
ลู่เซิ่งกับตู้เซี่ยรีบไปช่วย
คืนหนึ่งผ่านไปโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก วันต่อมา บาดแผลบนมือลู่เซิ่งดีขึ้นแล้ว เขาจึงเตรียมยกระดับต่อไป
เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี มีเวลาไปเข้าร่วมการชกมวยใต้ดินระดับอาชีพ เพื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับหัวกะทิของโลกใบนี้อย่างแท้จริงได้แล้ว
ลู่เซิ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะทำให้วิชาต่อสู้ผสานหลายสำนักเพิ่มระดับไปจนถึงระดับสิบแปดได้ระหว่างทาง
พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นถึงหกร้อยกิโลกรรม ในทางเดียวกัน ปราณโซ่ภายในของเขาก็ชัดเจนกว่าเดิมเช่นกัน ตราประทับสีเขียวเข้มบนไหล่ยิ่งเห็นได้ชัดกว่าเดิม
…
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งยกมือขึ้นป้องกันหมัดที่คู่ต่อสู้ต่อยมา แตะมืออีกข้างใส่ท้องของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาแต่ว่องไวปานแสง
โครม!
กล้ามเนื้อและท้องของอีกฝ่ายกระเพื่อมออกไปรอบๆ เหมือนกับกระแสคลื่น กระอักเลือดออกมาคำโต พร้อมปลิวกระเด็นออกไปสองเมตรกว่าๆ ก่อนจะหล่นลงพื้นลุกไม่ขึ้นอีก
โอ้!
สนามมวยใต้ดินที่อยู่รอบๆ เกิดเสียงโห่ร้องเชียร์ด้วยความตื่นเต้นมากมายทันที
โค้ชคนหนึ่งชูมือขวาของลู่เซิ่งขึ้นสูง ไม่เห็นเขาทำสีหน้าอะไรอยู่เพราะว่าสวมหน้ากากผีสีดำน่ากลัวเอาไว้
“ผู้ชนะคือ เซอแมน!” คลื่นเสียงอันยิ่งใหญ่กลบเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นของผู้ชมไม่ได้
สิ่งที่แตกต่างจากโลกภายนอกก็คือ ลู่เซิ่งในตอนนี้ไม่มีความยินดียินร้ายใดๆ
‘อ่อนแอเกินไปแล้ว ไม่มีคู่ต่อสู้ที่ทำให้เราเอาจริงได้สักคน…’
แสงแฟลชกับเสียงโห่ร้องอันหนาแน่นในบริเวณรอบๆ ทำให้เขานึกรำคาญ
กลับไปถึงด้านหลังเวที เจ้าของโรงยิมการต่อสู้ผสานที่พาเขาเข้าร่วมการแข่งขันตัวสั่น พอเห็นลู่เซิ่งลงเวทีมา เขาก็รีบเข้าไปโอภาปราศรัยและแจ้งรายรับกับชื่อเสียงมากมายที่ได้จากการเข้าร่วมการแข่งขันในช่วงนี้ทันที
“ยังมีคนที่เก่งกว่านี้ไหม” ลู่เซิ่งกลับตัดบทเขา
นิคผู้เป็นเจ้าของโรงยิมที่กลายเป็นนายหน้าให้แก่ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็งุนงง
“ได้เงินฟรีๆ แถมยังกระทืบพวกอ่อนๆ ได้ง่ายๆ ยังไม่ดีอีกหรือ จำเป็นต้องไปเสี่ยงท้าสู้คู่ต่อสู้ที่เก่งกว่าด้วยหรือไง”
เมื่อมาถึงระดับการแข่งขันของลู่เซิ่งในตอนนี้ ก็สามารถท้าสู้ราชามวยอาชีพได้แล้ว เขาเอาชนะได้สิบสามครั้งติดต่อกัน แถมแต่ละครั้งยังชนะด้วยหมัดเดียวอีกต่างหาก เขาไม่กังขาในพลังของลู่เซิ่ง แต่ราชามวยพวกนั้นก็ไม่ใช่พวกไก่กาเช่นกัน เกิดเจอคู่ต่อสู้ที่ทำให้บาดเจ็บพิการเข้าคงจะขาดทุนป่นปี้แล้ว
“เป้าหมายที่ผมเข้าร่วมการแข่งขันคือการท้าสู้กับคนที่เก่งกว่า สู้ไก่อ่อนพวกนี้ไปก็เสียเวลาผมเปล่าๆ คุณ เข้าใจไหม” ลู่เซิ่งใช้สายตาดุร้ายกวาดมองนายหน้า แม้อีกฝ่ายจะเป็นเจ้าของโรงยิมซึ่งมีพลังไม่เลวเช่นกัน แต่พอโดนจ้องแบบนี้ก็ยังทำหน้าย่นอยู่ดี
นิคกัดฟันและคุร่นคิดเล็กน้อย
“ด้วยผลงานของเธอ ศึกหน้าฉันจะให้ลีปิสมา เขาเป็นราชามวยในท้องที่ของเมืองต้นบุปผานี่เอง”
“โอเค”
หลายวันต่อมา ราชามวยลีปิสถูกต่อยจนเลือดออกภายใน ต้องรักษาที่โรงพยาบาลหนึ่งวันหนึ่งคืนจึงค่อยรักษาชีวิตไว้ได้
หลายวันต่อมา ลู่เซิ่งได้สู้กับราชามวยอีกหลายคน แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม ราชามวยต้านกำปั้นเขาได้ครั้งเดียว จากนั้นทุกอย่างก็เป็นอันจบ
ถัดจากนั้นเขาก็ใช้ชื่อปลอมอย่างเซอแมนไปเข้าร่วมการแข่งชกมวยตามที่ต่างๆ
พละกำลังของเขาไม่มีช่องโหว่ให้โจมตี แต่ในด้านกระบวนท่า ในนี้มีราชามวยระดับอาชีพสองคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาไม่น้อย
ลู่เซิ่งค้นพบอย่างงุนงงว่า โลกมรรคายุทธ์ที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนมานานของตนกลับเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
โดยเริ่มจะพัฒนาไปยังขอบเขตปรมาจารย์ที่ไร้สิ่งเจือปน
เขาได้สร้างชื่อเสียงขึ้นในโลกระดับอาชีพอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นเพราะว่าออกหมัดได้เร็วเกินไป ทั้งยังมีพละกำลังมากเกินไป กับรอยสักสีเขียวเข้มบนไหล่
ทางการที่จัดการแข่งชกมวยขึ้นได้มอบฉายาราชามวยลวงตาให้เขา
ไม่นานนัก หรือในเวลาสองสัปดาห์ การแข่งขันชกมวยระดับอาชีพใต้ดินของสหพันธรัฐ ก็ถูกลู่เซิ่งทะลวงจนหมด และชิงเข็มขัดทองของราชามวยแห่งสหพันธรัฐ มาได้สำเร็จ
ขณะเดียวกันเขายังได้เปลี่ยนสถานะไปตระเวนท้าสู้ตามสำนักต่างๆ ด้วย
สำนักใหญ่ๆ มีชื่อเสียงบางส่วนซึ่งมีปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ที่เก่งกาจอย่างแท้จริงถูกเขาเข้าไปขอคำชี้แนะ ในนี้มีทักษะจำนวนไม่น้อยที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา
หลังจากลู่เซิ่งท้าสู้อย่างต่อเนื่อง ขอบเขตมรรคายุทธ์ของเขาก็ค่อยๆ เกิดการลอกคราบในระหว่างการขัดเกลาทักษะลักษณะนี้
…
ชายแดนของสหพันธรัฐ เขตเฝ้าระวังที่เจ็ด ทะเลทรายทางถนนตะวันตก
ตูม!
เสียงระเบิดกึกก้องดังมาอย่างรุนแรง คลื่นอากาศสีขาวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างหลายสิบเมตรกลุ่มหนึ่งระเบิดออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็วในลักษณะวงแหวน
เนินทรายแห่งหนึ่งถูกระเบิดเป็นพื้นราบในพริบตา ทรายจำนวนมากโปรยปรายลงมาดุจห่าฝน
บนพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดและแขนขา รถทหารกับซากสีดำเกรียมของรถถังกระจัดกระจายอยู่รอบๆ
มีซากเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงหนักอีกหลายลำกำลังลุกไหม้ ควันดำหนาลอยขึ้นท้องฟ้า ก่อนจะถูกพายุพัดจนบิดเบี้ยวและกระจัดกระจายออกไป
“เป็นแค่กองพันยานเกราะธรรมดา ต้องให้ฉันออกโรงเองเลยเหรอ” เด็กสาวผมแดงที่กำลังเลียอมยิ้มคนหนึ่งพูดขึ้น เธอเอียงหัวเหน็บโทรศัพท์ไว้กับคออยู่ข้างเนินทราย
“อื้อๆ…รู้แล้ว อย่าให้เหลือคนรอดสนะ ไม่ต้องห่วง…”
“ฉันรู้ว่าควรทำยังไงน่า”
“เสี่ยวไป๋ล่ะ กลับไปหรือยัง”
สวีเจินเจินใช้สองมือควบคุมโน้ตบุ๊คที่อยู่ด้านหน้าอย่างช่ำช่องพร้อมกับฟังเนื้อหาในโทรศัพท์ไปด้วย
“อะไรนะ ตายแล้วหรือ” อยู่ๆ เธอก็ใจหวิว ก่อนจะทำโทรศัพท์ตกบนทรายโดยไม่ทันระวัง
เสียงในโทรศัพท์ยังคงดังมา
“ไป๋เฉาอันออกไปได้ช่วงหนึ่งแล้ว ตอนนี้เป้าหมายยังเดินเหินได้อยู่เลย ฉันลองติดต่อกับเสี่ยวไป๋ดูแล้ว แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ เบื้องบนเดาว่าอาจเป็นเพราะคนคนนั้นรู้ตัวแล้ว…”
“ก็เลยถูกจัดการงั้นเหรอ” สวีเจินเจินเม้มปากพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเป่าเม็ดทรายที่เกาะอยู่ด้านบน
“ตอนแรกเสี่ยวอวี๋เตรียมจะลงมือแล้ว แต่ฉันขวางไว้ก่อน เกิดว่าคนคนนั้นรู้ตัวแล้วล่ะก็ อาศัยแค่พลังของผู้ไล่ตามดวงดาว ไม่มีทางเข้าใกล้ได้แน่” เสียงผู้หญิงในโทรศัพท์ฟังดูกังวลอยู่บ้าง
“ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” สวีเจินเจินคายอมยิ้มในปากออก ก่อนกล่าวอย่างไม่นำพา
“ฆ่าคนของฉันไปแล้ว อยากจะเห็นพอดีว่า คนในเรื่องเล่าคนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน ใช้อะไรถึงเทียบเคียงกับมารนรกได้”
“งั้นก็ได้ ถ้าเป็นเธอ ต่อให้สู้ไม่ได้ก็สามารถหลบหนีได้” ทางปลายสายตอบรับเช่นกัน
สวีเจินเจินวางสาย ถอนใจเฮือกหนึ่ง แม้ไป๋เฉาอันจะเป็นผู้ไล่ตามดวงดาวที่เพิ่งดัดแปลงไม่นาน แต่ความภักดีต่อเธอนั้นไม่มีอะไรน่าสงสัย
“น่ารำคาญ…จริงๆ!”
ตูม!
เสาเพลิงสายหนึ่งระเบิดขึ้นใกล้ๆ อย่างฉับพลัน เสาเพลิงสีแดงสูงสิบกว่าเมตรพุ่งขึ้นจากพื้น แล้วระเบิดทะเลทรายรอบๆ เป็นหลุมใหญ่
…
กลางดึก เมืองต้นบุปผา
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิในห้องนอนพร้อมกับประสานมุทราแปลกประหลาดหลายท่า นี่เป็นวิธีการอันเรียบง่ายในการปรับเลือดลม
เขาปรับตัวเข้ากับวิชาต่อสู้ผสานหลายสำนักขั้นที่สิบแปดได้แล้ว จึงคิดจะเลื่อนระดับอย่างเป็นทางการอีกรอบในคืนนี้
เขาได้สร้างพื้นฐานร่างไว้ดีแล้ว ครั้งนี้ควรจะยกระดับเยอะๆ ได้สักที
‘ในเมื่อนักลอบสังหารในที่ลับมาหาเราแล้ว อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงกว่าที่จะไปหาตู้ซวี่หนิงกับหลี่ช่านเช่นกัน ต้องเร่งมือจัดการปัญหาให้เร็วที่สุดซะแล้วสิ’
พลังที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่พอใช้แน่นอนหากเผชิญกับเก๋อซาพลังแห่งเทพ
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิปรับสภาพลมหายใจ
‘ดีปบลู’
ชิ้ง
เครื่องมือปรับเปลี่ยนสีฟ้าเด้งออกมา
ลู่เซิ่งกดปุ่มปรับเปลี่ยน จากนั้นก็มองไปยังเนื้อหาบนกรอบด้านล่างสุดในตอนนี้
[วิชาต่อสู้ผสานหลายสำนัก: ขีดจำกัดอันดับสิบแปด (คุณสมบัติพิเศษ: วิชามวยไร้เสียง, ทะลวงขีดจำกัดกายเนื้อระดับเก้า, ปราณโซ่ภายในระดับเก้า, การดูแลแห่งแม่ธรณี)]
‘ยกระดับเถอะ ขอดูหน่อยซิว่าการดูแลแห่งแม่ธรณีคืออะไรกันแน่’ ลู่เซิ่งกดปุ่มเรียนรู้ด้านหลังกรอบ
พลังอาวรณ์หกหน่วยหายไปในพริบตา
พอวิชาต่อสู้ยกระดับถึงขีดจำกัดอันดับสิบเก้า สิ่งอื่นๆ ก็ยกระดับตามมา ร่างกายสัมผัสได้ว่ามีกระแสความอบอุ่นกระจายไปทุกที่ กล้ามเนื้อกำลังแข็งแกร่ง ทนทาน ทรงพลังขึ้น ผิวหนัง อวัยวะภายใน และกระดูกก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
‘ต่อเลย’ ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หลับตาลงและกดบนปุ่มเรียนรู้อีกรอบ
กรอบพร่ามัวและชัดเจนขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เวลาค่อยๆ ผันผ่าน
หนึ่งชั่วโมง
สองชั่วโมง
สามชั่วโมง
ขนาดร่างกายของลู่เซิ่งไม่ได้ขยายใหญ่มากเกินไป หากหยุดอยู่ในสภาพพิเศษที่สมดุลถึงขีดสุด ตราประทับบนไหล่เหมือนกับทั้งทำให้เขารักษาขนาดร่างกายและรักษาการทวีขึ้นของพลังได้
ยิ่งระดับการเรียนรู้สูงเท่าไหร่ ตราประทับบนไหล่ลู่เซิ่งก็ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่านั้น
ไม่นานนักห้องทั้งห้องก็ปรากฏแสงสีเขียวชั้นหนึ่งขึ้นอย่างขมุกขมัว
เงาผู้หญิงงดงามที่พร่ามัวสายหนึ่งในแสงสีเขียวโผล่ขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง แล้วยื่นสองแขนมาวางบนไหล่ของเขาเบาๆ
เธออ้าปากเล็กช้าๆ พร้อมกับพ่นงูสีแดงตัวเล็กๆ จำนวนมากออกมา พวกมันทะลักเข้าไปในตราประทับบนไหล่ลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ
ลู่เซิ่งลืมตาขั้นอย่างฉับพลัน ก่อนจะยื่นมือไปจับคอของผู้หญิงบนไหล่
เปรี้ยง!
เงาระเบิด ผู้หญิงหายตัวไป มีแต่เสียงหวีดร้องเบาๆ ดังมาจากในอากาศอย่างเลือนราง
……………………………………….