ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 626 เตรียมตัว (2)
บทที่ 626 เตรียมตัว (2)
ช่วงสำคัญที่ลู่เซิ่งกำลังยกระดับเรียนรู้เมื่อครู่นี้ อยู่ๆ ก็มีพลังสายหนึ่งเข้ามาในร่าง หมายจะเข้าร่วมวงจรการยกระดับพลังของเขา
พลังงานสายนี้เหมือนมีคุณสมบัติแลกเปลี่ยน ทางหนึ่งเติมพลังงานเข้ามา ทางหนึ่งดึงปราณโซ่ภายในส่วนเล็กๆ ออกไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
การแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้รับความยินยอมเช่นนี้ ลู่เซิ่งจะอนุญาตได้อย่างไร
เขาจึงลืมตาขึ้นตะปบมือใส่อีกฝ่าย แต่กลับคว้าโดนอากาศ
“ฉันไม่ต้องการสิ่งแปลกปลอม” เขาเหลียวมองรอบๆ ไม่ได้พบปัญหาใดๆ ผู้หญิงคนเมื่อครู่เหมือนกับหายไปเสียเฉยๆ
“เป็นของเล่นหรือขยะอะไรไม่รู้ล่ะ! ถ้ามาอีก ฉันจะฆ่าแกซะ!” เขาเตือนเสียงเย็น
ซู่…
เวลานี้กรอบชัดเจนขึ้นจากความพร่ามัว
[วิชาโจมตีผสานหลายสำนัก: ขีดจำกัดอันดับเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ด (คุณสมบัติพิเศษ: วิชามวยพินาศ, ขีดจำกัดร่างคงกระพันระดับเก้า, ปราณโซ่ภายในระดับสามร้อยเก้าสิบ, คุณสมบัติวิญญาณอนัตตา, การจับตามองแห่งแม่ธรณี)]
‘วิญญาณบนร่างผู้หญิงคนเมื่อครู่…ยิ่งใหญ่มาก…แต่เหมือนไม่มีจิตสำนึกส่วนตัว…เป็นการจับตามองของแม่ธรณีอะไรนี่สินะ’
ลู่เซิ่งเคยสัมผัสชีวิตเหนือธรรมชาติมามากมาย จึงรู้จักตัวตนที่ไม่มีจิตสำนึกส่วนตัวอย่างพลังจิตวิญญาณแบบนี้มาก่อน แต่ว่าจิตวิญญาณไร้จิตสำนึกที่ยิ่งใหญ่เหี้ยมหาญแบบนี้ เขาเพิ่งจะเคยพบเป็นครั้งแรก
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวตามกฎบางอย่าง
เหมือนกับว่าการแลกเปลี่ยนเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ การใคร่ครวญ และความคิดที่ใช้เข้าควบคุมใดๆ
ในพริบตาที่จิตวิญญาณของลู่เซิ่งสัมผัสกับอีกฝ่าย เขาก็สัมผัสได้ถึงความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วนที่ซ่อนแฝงอยู่ด้านใน
มิหนำซ้ำจิตวิญญาณสายนี้ของอีกฝ่ายยังไม่เหมือนองค์ประกอบรวม แต่เหมือนกับบางสิ่งบางอย่างที่แข็งแกร่งซึ่งเกิดจากการเอาจิตนับไม่ถ้วนมากองรวมกันมากกว่า
‘การจับตามองแห่งแม่ธรณี…น่าจะเป็นพวกโชคเสริมพลังอะไรเทือกๆ นั่นล่ะมั้ง’ ลู่เซิ่งไม่เข้าใจความแตกต่าง เพียงรู้สึกว่าตราประทับนี้เหมือนกับทำให้ตัวเองได้รับพลังจากแผ่นดินได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เหมือนกับเพียงแค่เขายืนอยู่บนพื้นดิน ก็จะรับการสนับสนุนพลังที่ไร้สิ้นสุดได้แล้ว
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เรามีพลังถึงระดับไหนแล้ว เดี๋ยวลองหาเก๋อซาสักคนมาทดสอบดูดีกว่า’
พลังอาวรณ์หนึ่งแสนกว่าหน่วยถูกใช้จนหมดเกลี้ยง ลู่เซิ่งถึงขั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ขอบเขตของตนในเวลานี้ใกล้เคียงกับระดับของร่างหลักแล้ว
นอกจากนั้นวิชามวยผสานที่เรียนรู้มาถึงตอนนี้ยังบริสุทธิ์ยิ่งกว่าวิถีแปดมารสูงสุดเสียอีก
เขาไม่มีการควบคุมปราณมารและวิชาทางจิตวิญญาณ
เขามีแค่ความสามารถเดียว นั่นก็คือวิชามวย
นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พลังของร่างนี้ไล่ทันร่างหลักได้ทัน เพราะเขาเน้นที่จุดเดียวนั่นเอง
ร่างหลักนอกจากการฝึกฝนร่างกายและวิชาต่อสู้แล้ว ยังมีอิทธิฤทธิ์อย่างอื่นอีกมากมาย อิทธิฤทธิ์เหล่านี้ได้รับพลังจากพลังอาวรณ์ไปเท่าๆ กัน ดังนั้นวิถีแปดมารสูงสุดจึงสิ้นเปลืองกว่าวิชาต่อสู้ผสานมาก
‘เอาแต่เน้นอย่างใดอย่างหนึ่งมาโดยตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ ถึงจะเป็นเพราะว่าขอบเขตจิตวิญญาณของเราสูงพอก็เถอะ แต่การที่กายเนื้อทะลวงอุปสรรคอย่างต่อเนื่องจนบรรลุความสำเร็จนี้ได้ ก็เป็นความดีความชอบของมันนี่เอง’
เพียงแต่สิ่งที่ไม่เข้าใจเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พลังของเก๋อซาเป็นแบบไหนกันแน่ ยังมีร่างกายร่างนี้สามารถแสดงอานุภาพได้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่
นอกจากนี้ลู่เซิ่งยังเข้าใจด้วยว่า ต่อให้ระดับจะเท่ากับร่างหลักแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้สู้จริงได้
บอกได้แค่ว่าระดับได้มาถึงจุดสูงสุดที่เทียบเท่ากับจิตวิญญาณแล้ว หากต้องการพัฒนาให้มากกว่านี้ จะต้องพัฒนาจิตวิญญาณและกายเนื้อควบคู่กัน
เมื่อไม่เหลือพลังอาวรณ์อยู่อีก ลู่เซิ่งก็ได้แต่พักผ่อนฟื้นฟู
คืนนั้นเขาไม่ได้หลับ พอวันต่อมาก็ออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามกีฬาพันพฤกษาที่ชานเมืองทันที
ตามการนัดแนะทางโทรศัพท์ นายหน้าที่เขาสังกัดอยู่ได้ใช้รายรับทั้งหมดในช่วงนี้เป็นเดิมพัน เพื่อท้าสู้กับจักรพรรดิมวยเงาหฤโหดอัลติส ที่เป็นหมายเลขหนึ่งของวงการมวยในปัจจุบัน
การท้าสู้ในครั้งนี้จัดขึ้นในที่ลับ ดำเนินการบนเวทีมวยใต้ดินที่อยู่ใกล้กับสนามกีฬา
ตอนแรกอัลติสไม่อยากจะเข้าร่วมเพราะเขารวยอยู่แล้ว แต่หลังจากทราบว่าลู่เซิ่งมีตราประทับสีเขียวบนไหล่ เขาก็ตอบรับโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทว่าเงื่อนไขคือมีแต่เขากับลู่เซิ่งสู้กันตามลำพังเท่านั้น ไม่อนุญาตให้มีใครคอยดู และห้ามไม่ให้มีกล้องวงจรปิด
ลู่เซิ่งตอบรับ แม้ว่านายหน้าจะคัดค้านหัวชนฝา หาวิธีต่างๆ นานา มาปฏิเสธ แต่ว่าด้วยอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของอัลติส การแข่งขันระหว่างสองฝ่ายจึงถูกจัดขึ้นตามนัด
ลู่เซิ่งเฝ้ารอคอยการแข่งครั้งนี้ โดยเฉพาะตอนที่ทราบว่าอีกฝ่ายมีตราประทับบนไหล่เช่นกัน ความต้องการหยั่งเชิงในใจเขาจึงรุนแรงกว่าเดิม
ในโลกใบนี้ ถ้าหากไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น พลังที่ยกระดับขึ้นของร่างนี้จะสามารถเก็บกลับนครตราชั่งได้ทั้งหมด เป็นเพราะโลกสองใบไม่ค่อยแตกต่างกันนัก กอปรกับระบบที่ลู่เซิ่งเดินเป็นทิศทางที่เรียบง่ายที่สุดและมีความเข้ากันดีที่สุดด้วย
ดังนั้นพลังส่วนใหญ่จึงเข้ากับนครตราชั่งได้
พอลู่เซิ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมอยู่ขับรถไปถึงสนามกีฬา ก็มีคนมารอที่นั่นอยู่นานแล้ว
ผู้มาพาลู่เซิ่งเลี้ยวซ้ายเข้าไปในลานจอดรถใต้ดิน วกอ้อมในลานจอดรถไปมา ไม่นานก็เข้าไปในเส้นทางลับเส้นหนึ่ง
หลังจากตัดทะลุผ่านเส้นทางโลหะใต้ดินที่ลึกยาว ไม่นานลู่เซิ่งก็ถูกพาเข้าไปในโถงใหญ่มืดครึ้มที่เหมือนกับโรงละคร
กลางที่นั่งหลายแถวในโถงใหญ่มีชายร่างสูงใหญ่บึกบึนที่มีใบหน้าเอาจริงเอาจังคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงคนเดียว
เขาโกนหัวจนโล้น ใส่ต่างหูสีเงิน สักรอยสักสีเขียวที่ดูเหมือนกับเถาวัลย์ที่มีหนามไว้บนคอ
“ฉันควรเรียกนายว่าอะไรดี” เขาค่อยๆ ลุกขึ้นและมองลู่เซิ่งที่เข้ามา “นึกไม่ถึงว่าผ่านไปตั้งหลายปี ในที่สุดก็มีราชามวยที่สู้กับฉันได้คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในสหพันธรัฐ แล้ว”
“อัลติสเหรอ” ลูเซิ่งถาม
“ฉันเอง ขอฉันดูตราประทับของนายหน่อยได้ไหม” อัลติสถอดผ้าคลุมสีแดงที่คลุมร่างตัวเองออก เผยให้เห็นตราประทับสีเขียวที่มีลักษณะเหมือนกันบนไหล่
“แน่นอน” ลู่เซิ่งถอดเสื้อออกเพื่อให้เห็นตราประทับสีดำอมเขียวบนไหล่เช่นกัน
“เอาล่ะ…มาเริ่มกันเลย” อัลติสเดินออกจากที่นั่ง ดวงตาที่มองลู่เซิ่งดุร้ายขึ้นอย่างช้าๆ
…
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่เซิ่งก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากลานจอดรถ
อัลติสประกาศทางอินเทอร์เน็ตว่า ฉายาจักรพรรดิมวยมีเจ้าของคนใหม่แล้ว
สมาพันธ์ราชามวยอันดับหนึ่งซึ่งเป็นองค์กรมีอำนาจในโลกประกาศว่าฉายาจักรพรรดิมวยคนใหม่คือ เงามาร
ผู้จัดการหลายคนของสมาพันธ์ราชามวยอันดับหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง
“จำเป็นต้องเตรียมรถไปส่งคุณไหมครับ” คนคนหนึ่งถามเบาๆ
“ไม่ต้อง ทุกอย่างให้ทำตามเดิม ฉันไม่ต้องการให้พวกคุณมายุ่มย่ามกับชีวิตของฉัน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“แต่คุณอัลติสสั่งว่า…” ผู้จัดการคนหนึ่งกล่าวอย่างลำบากใจ
“ทำตามที่ฉันบอกซะ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเด็ดขาด
เขาไม่ได้ต่อสู้กับอัลติสจริงๆ พอได้ประจัญหน้ากัน อีกฝ่ายก็ขอยอมแพ้โดยที่ไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ
อัลติสได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังมีความแตกต่างมหาศาลอยู่ดีเมื่อเผชิญหน้ากับลู่เซิ่ง
ต่อให้ยกตัวอย่างว่าเป็นช้างกับมดก็ยังบรรยายความแตกต่างของคนทั้งสองไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากทราบถึงพลังของลู่เซิ่งแล้ว อัลติสก็มอบฉายาจักรพรรดิมวยให้อย่างแน่วแน่ทันที แถมยังขอเป็นลูกน้องของลู่เซิ่งอีกต่างหาก
เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักเก๋อซา ในทางตรงกันข้าม เป็นเพราะรู้จักเก๋อซา รู้จักผู้ไล่ตามดวงดาว ถึงขั้นรู้จักคุณสมบัติพลังของพวกเขา อัลติสถึงยอมเป็นลูกน้องของลู่เซิ่ง
เนื่องจากว่าพลังของลู่เซิ่งบริสุทธิ์สุดขีดซึ่งแตกต่างจากเก๋อซา ดังนั้นต้องไม่มีความข้องเกี่ยวกับเก๋อซาแน่
ลู่เซิ่งรู้ว่าการสวามิภักดิ์ของอัลติสหมายถึงอะไร
ฉายาจอมปลอมอย่างจักรพรรดิมวยนั้นหนักอึ้งเกินไป ต่อให้อัลติสจะก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังคงใช้อำนาจของตระกูลสร้างขุมกำลังขนาดยักษ์ที่มีหน้าที่ในการปกป้องขึ้นเพื่อรักษาฉายานี้ไว้อยู่ดี
ถ้าไม่ทำแบบนี้ เขาก็รับมือเก๋อซาคนไหนไม่ได้ทั้งนั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขากังวลมาโดยตลอดว่าจะรับมือกับความแข็งแกร่งของเก๋อซาได้อย่างไร ตอนนี้พอได้เห็นความหวังจากตัวลู่เซิ่ง เขาย่อมตัดสินใจเลือกทันที
ส่วนลู่เซิ่งก็แค่ผลักเรือตามน้ำเท่านั้น จากนั้นพอใช้วิชาจิตโน้มน้าวสักเล็กน้อย ก็สามารถเก็บบริษัทในสังกัดของอัลติสเข้ากระเป๋าได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นแค่การสยบโดยเปลือกนอก แต่ก็ถือว่ามากพอแล้ว
เขาย่อมไม่ใช่ลงมือเพราะเงิน แต่เป็นเพราะมีแผนการของตัวเอง
หลังจากสลัดพวกผู้จัดการที่อยู่ด้านหลังเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนที่นั่งในรถบัส
เขาได้พบคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาหมดแล้ว แต่สิ่งที่สร้างความผิดหวังให้แก่เขาก็คือ นอกจากเก๋อซา โลกใบนี้ก็ไม่มีกองกำลังที่สองซึ่งพอจะงัดข้อกับพวกนั้นเหลืออยู่จริงๆ
และเก๋อซาก็เน้นที่คุณสมบัติโดยกำเนิดมากเกินไป ไม่มีก็คือไม่มี มีก็คือมี ความแข็งแกร่งของความสามารถเป็นพรสวรรค์ ไม่ใช่มาจากการเติบโต
ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอจะถูกกำหนดตั้งแต่แรก นี่เป็นระบบที่ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ล้วนๆ
ลู่เซิ่งซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
‘ตอนนี้ใช้พลังอาวรณ์ไปหมดแล้ว วิธีการเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้คือหาพลังอาวรณ์มากกว่าเดิม จากนั้นก็ศึกษาการจับตามองแห่งแม่ธรณีต่อ บางทีอาจจะเจอโอกาสในการพัฒนาขั้นต่อไปก็ได้’
‘วัตถุฝากฝังมีพลังอาวรณ์ที่มีจำนวนเยอะที่สุดคือวัตถุโบราณ ขุมกำลังของอัลติสใช้ประโยชน์ได้พอดี’
ลู่เซิ่งซึ่งนั่งอยู่บนรถคำนวณแผนการต่อจากนี้ในใจ
ไม่นานรถก็จอดที่สถานี เขาลงจากรถ จากสถานีถึงบ้านยังเหลือเส้นทางระยะสั้นๆ
ระหว่างผ่านด้านหน้าป้ายร้านคาราโอกะร้านหนึ่งบนถนนเส้นหนึ่ง อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็คล้ายสัมผัสอะไรได้ จึงเหลียวมองรอบๆ
รอบๆ เงียบสงัด
แกรกๆ…
หนูตัวใหญ่ที่ทั้งอ้วนทั้งดำตัวหนึ่งวิ่งฉิวออกมาจากถังขยะใบหนึ่ง แล้วมุดเข้าไปในท่อระบายน้ำใต้ดิน
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา ฝีเท้าที่ตอนแรกผ่อนช้าลงก้าวเดินต่อไป แต่จิตวิญญาณกลับล็อกอยู่ที่เด็กสาวผมแดงคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนบันไดชั้นสองของร้านคาราโอเกะ
เด็กสาวกระจายคลื่นความร้อนที่บ้าคลั่งออกมาอย่างเปิดเผย นี่ไม่ใช่อุณหภูมิที่จับต้องได้ หากเป็นความรู้สึกจากวิญญาณและดวงจิตของเธอ
เหมือนกับตัวเธอคือร่างแปลงของเปลวเพลิง
เก๋อซาหรือ
ลู่เซิ่งเลียริมฝีปากพร้อมกับเดินต่อไปโดยแสร้างทำเป็นไม่รู้อะไร
ได้พบกับพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้พอดี ขอดูหน่อยเถอะว่าพลังแห่งเก๋อซานี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน
บางทีอาจเอามาชดเชยพลังอาวรณ์ที่แห้งขอดได้ด้วย
…
สวีเจินเจินกัดอมยิ้มในปากพลางดึงกระโปรงแดงบนร่าง
กระโปรงขนสัตว์สีแดงแนบเนื้อ หมวกสีแดง ถุงน่องสีดำ และรองเท้าสีแดง
เมื่อรวมการแต่งกายแบบนี้ที่เข้ากับทรงผมที่ยาวถึงไหล่ เธอจึงดูเหมือนกับเด็กสาวที่ขึ้นปกนิตยสารได้ทีเดียว
‘ไม่มีพลังแห่งเก๋อซา และไม่ใช่ผู้ไล่ตามดวงดาว เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น’ เธอสังเกตลู่เซิ่งที่เดินผ่านด้านล่างอย่างละเอียด
ความรู้สึกของเธอไม่มีทางผิด อีกฝ่ายไม่ใช่เก๋อซาและไม่ใช่ผู้ไล่ตามดวงดาวแน่ๆ แต่ว่าไป๋เฉาอันถูกฆ่าได้อย่างไร และศพที่ถูกฆ่าไปอยู่ที่ไหน
คำถามมากมายเหล่านี้ต้องมีคนอธิบาย
“ดังนั้น…จัดการทีละคนก็แล้วกัน เริ่มจากหมอนี่ก่อน ดูว่าคนที่ฆ่าเสี่ยวไป๋จะมีปฏิกิริยาแบบไหน” สวีเจินเจินกัดอมยิ้มจนแหลกพร้อมกับทิ้งแท่งพลาสติในมือทิ้งไป จากนั้นก็เหยียบลงบนกรอบหน้าต่างด้านหน้า และยืมแรงกระโดดออกไปโดยไม่สนใจเลยว่าจะมีใครมองเห็นใต้กระโปรง
“น้องสาว อยากจะเล่นเกมสนุกๆ กับพี่ไหม” อยู่ๆ เสียงเด็กชายที่ฟังดูหยอกเย้าก็ดังมาจากด้านหลังตัวเธอ
“สนุกมากเลยนะ”
สวีเจินเจินพลันหันไปมอง เห็นเด็กชายหน้าตาหล่อเหลาผู้มีผมสีแดงเหมือนกันถือบางอย่างไว้ในมือ กำลังมองตัวเองด้วยรอยยิ้ม
รอจนเห็นของที่อีกฝ่ายถือไว้ในมือแล้ว ม่านตาของสวีเจินเจินก็หดตัวลงอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่งรออยู่ที่หัวโค้งนานมาก เขาเดินอยู่ในตรอกเล็กที่ยาวสิบกว่าเมตรมาเกือบสามรอบแล้ว
น่าเสียดายที่หลังจากกลิ่นอายด้านหลังกระเพื่อมอย่างรุนแรงอยู่สักพัก ก็ดับลงอย่างรวดเร็ว
ถูกคนตัดหน้าไปแล้ว
พอเขากวาดจิตวิญญาณก็รู้ทันทีว่าด้านหลังเกิดอะไรขึ้น มีคนมาขวางมือสังหารไว้แล้ว ตอนแรกเขาคิดจะลองดูว่าเก๋อซานั้นแข็งแกร่งขนาดไหน น่าเสียดาย…
……………………………………….