ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 627 ฆาตกร (1)
บทที่ 627 ฆาตกร (1)
ลู่เซิ่งรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญดู สุดท้ายก็ไม่ได้กลับทางเดิม
จากการประเมินมือมืดหลังฉาก อีกฝ่ายไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แค่นี้แน่
เขาเดินตามตรอกออกไปด้านนอก ตอนที่ใกล้จะถึงบ้าน ลู่เซิ่งก็เห็นตู้เซี่ยพิงบันไดเข้าออกตึกอยู่อาศัย และส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือสีชมพูอยู่
พอเห็นเขามา ตู้เซี่ยก็รีบลดโทรศัพท์ลง
“กลับมาแล้วเหรอคะพี่”
“อื้อ ทำไมมายืนอยู่ด้านนอกล่ะ” ลู่เซิ่งพูดพลางพยักหน้า
“อยากสูดอากาศที่สดชื่นสักหน่อยน่ะค่ะ” ตู้เซี่ยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ เธอย่อมไม่มีทางบอกว่า เธอยืนรออยู่ที่นี่มาครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้วเพื่อยืนยันความปลอดภัยของอีกฝ่าย
“รีบเข้าบ้านเถอะ” ลู่เซิ่งลูบผมของเธอ
“อื้อ” ตู้เซี่ยพยักหน้าอย่างแรง เธอเป็นคนเรียบง่าย แม้แต่ยิ้มก็เพียงยิ้มน้อยๆ เท่านั้น คนที่ไม่เข้าใจหากมองไกลๆ ส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่น่าคบหาไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่
แต่เธอเพียงแค่ไม่ชอบพูด ไม่ชอบแสดงตัว และไม่ชอบปัญหาเท่านั้น
หลังจากเข้าไปในลิฟท์ ลู่เซิ่งก็มองตู้เซี่ยเป็นครั้งสุดท้าย
เห็นเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เหมือนกำลังจะรับโทรศัพท์
ลู่เซิ่งมองอยู่สักพัก พอยืนยันได้จากสีหน้าของเธอว่าไม่มีปัญหาหรือความยุ่งยากอะไรจริงๆ จึงค่อยเดินเข้าห้องรับแขก
ตู้ซวี่หนิงผู้เป็นพ่อนั่งข้างโต๊ะกินข้าวอย่างเหน็ดเหนื่อย กำลังอ่านเอกสารชุดหนึ่งที่วางอยู่บนนั้น
หลี่ช่านผู้เป็นแม่ทำกับข้าวเสียงดังอยู่ในห้องครัว
กลิ่นหอมของไข่เจียวลอยออกมาช้าๆ ฟุ้งไปทั่วห้องรับแขก
ลู่เซิ่งหาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง ความเจ็บปวดจากความตายของตู้ชิว ตอนนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจของครอบครัวอยู่
“ช่วงนี้การเรียนเป็นยังไงบ้าง มีผลกระทบอะไรไหม” ตู้ซวี่หนิงวางเอกสารลงและถามลูเซิ่งเสียงทุ้ม
“ดีครับ” ลู่เซิ่งทิ้งการเรียนไปตั้งนานแล้ว วิชาจิตโน้มน้าวทำให้เขาไปโรงเรียนสัปดาห์ละครั้งเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่การแนะนำก็เพียงพอแล้ว
ส่วนเรื่องอื่นๆ มีครูใหญ่กับคุณครูคอยช่วยเหลือ ทุกอย่างจึงไม่ใช่ปัญหา
“ช่วยดูแลน้องหน่อยนะ ตอนนี้สภาพเสี่ยวเซี่ย…ผิดปกติอยู่บ้าง” อย่างไรตู้ซวี่หนิงก็เป็นผู้บริหารที่ดูแลพนักงานหลายสิบคน จึงมีความรู้สึกไว
“ไม่ต้องห่วงครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ตู้เซี่ยก็วางจานลงเป็นคนแรก บอกว่าจะไปเล่นกับเพื่อน ดึกๆ ค่อยกลับ จากนั้นก็ออกประตูไปเองโดยไม่สนใจคนอื่น
ทว่าต่อให้เธอจะไปแล้ว ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าใกล้ๆ มีกลิ่นอายแข็งแกร่งซ่อนอยู่ น่าจะเป็นคนที่ตู้เซี่ยวางไว้เพื่อปกป้องพวกเขา
ดูเหมือนเธอจะมีกองกำลังอยู่ด้วย
ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ตามไป เพียงกระจายจิตวิญญาณออกไปรอบๆ เพื่อใช้เตือนภัยเท่านั้น
หลายวันต่อจากนั้น ลู่เซิ่งฝึกฝนอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันก็ติดต่อขอให้อัลติสซื้อวัตถุโบราณที่มีตำนานเรื่องเล่าขานทุกชนิดจากทั่วทั้งโลกมาให้
ตัวอัลติสมีบริษัทใหญ่มูลค่าหลายพันล้าน การซื้อวัตถุโบราณส่วนหนึ่งไม่นับเป็นอะไร
ใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน ก็ได้รับวัตถุโบราณหลากหลายรูปแบบเป็นจำนวนสิบกว่าชิ้นแล้ว
ลู่เซิ่งหาเวลาไปพบกับอัลติส วัตถุโบราณที่รวบรวมมามีส่วนหนึ่งที่มีพลังอาวรณ์อยู่จริงๆ แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เพียงแค่ชิ้นละไม่กี่สิบหน่วย หรือไม่กี่ร้อยหน่วยเท่านั้น
เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ลู่เซิ่งก็ดูดซับได้หนึ่งพันกว่าหน่วย สำหรับระดับของเขาในตอนนี้ นี่มันเหมือนกับเอาแก้วตักน้ำมาดับไฟที่ลุกไหม้รถชัดๆ
เขากำลังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาออกไปเพื่อหยั่งเชิงว่าพลังของเก๋อซาอยู่ในระดับไหนพอดี อาศัยจังหวะที่ตู้เซี่ยคอยปกป้องครอบครัวในที่ลับ ยังมีโอกาสอยู่ส่วนหนึ่ง
แต่อยู่ๆ ปัญหาใหม่ก็มาเยือนอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางที่กลับจากโรงฝึก ลู่เซิ่งถือกระเป๋าหนังสือ แสงอาทิตย์ขับเงาของเขาให้ทอดยาวอยู่บนพื้น และโยกไหวตามการเดิน
ลู่เซิ่งเดินไปตามตรอกเหมือนยามปกติ เพียงแค่หักเลี้ยวทางโค้งเส้นหนึ่งด้านหน้า แล้วตัดทะลุผืนหญ้ารกร้างผืนเล็กๆ อีกแห่ง ก็จะไปถึงด้านหลังเขตเล็กๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ของบ้านได้แล้ว
ทว่าในตอนที่เขากำลังจะถึงทางโค้งนั้นเอง
แอ๊ด
ประตูบ้านเช่าบานหนึ่งทางฝั่งขวาเปิดออกอย่างกะทันหัน เด็กชายหน้าตกกระใบหน้าหน้าซีดเซียวเดินออกมาจากด้านใน
เด็กชายสวมใส่ชุดวอร์มสีเทา รองเท้าขาวสะอาดเหมือนกับของใหม่ คล้ายว่าเพิ่งจะซื้อมาจากชั้นวางแล้วเอามาสวมทันที
พอเห็นว่าลู่เซิ่งสังเกตเห็นเขา เด็กชายก็ฉีกยิ้ม แล้วยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เหมือนกำลังจะล้วงอะไรออกมา
ลู่เซิ่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรเช่นกัน ก่อนจะเดินผ่านด้านหน้าเขาไป
เขาสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นคาวเลือดน่ากลัวที่เหมือนกับมีกองภูเขาศพทะเลเลือดฟุ้งกระจายอยู่บนร่างของเด็กชาย เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าฆ่าคนไปมากเท่าไหร่แล้ว ถึงสั่งสมกลิ่นคาวเลือดได้ขนาดนี้
นอกจากสิ่งเหล่านี้ ลู่เซิ่งยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ดวงตาของอีกฝ่ายยังฉายจิตสังหารและการเหยียดหยามออกมา เห็นได้ชัดว่าหมายหัวตนอยู่
‘เป็นคนที่จะมาฆ่าเราเหรอ’ ลู่เซิ่งตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้โดยการหันหลังให้แก่เด็กชายและเดินไปยังทางโค้ง
หนึ่งก้าว สองก้าว
ไม่มีการเคลื่อนไหว
สามก้าว สี่ก้าว
ยังคงไม่มีการตอบสนอง
ลู่เซิ่งอดเหลียวไปมองไม่ได้ เด็กชายยังคงอยู่ที่เดิม ใบหน้าเปื้อนยิ้ม มือถืออะไรบางอย่าง ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในท่วงท่าก่อนหน้า
‘ไม่ใช่ว่ามาหาฉันหรอกเหรอ’ ลู่เซิ่งสงสัยเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เลี้ยวเข้าทางโค้งเพื่อกลับบ้าน
เด็กชายเห็นเป้าหมายหายไปจากปากทางโค้ง ในใจอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
“นี่ ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะ พี่ฉันไม่มีทางหาเรื่องเธอเด็ดขาด” เขาหันไปมองในบ้านอย่างจนปัญญา
ตู้เซี่ยสะบัดดาบโค้งซึ่งเรืองแสงสีเงินในมือ คมดาบวาดผ่านอากาศและส่งเสียงแหวกลมอย่างต่อเนื่อง
เปลวเพลิงสีทองเข้มหลายสายกลุ่มหนึ่งวนเวียนเริงระบำอยู่รอบๆ ตัวเธอเหมือนสิ่งมีชีวิต
“แกควรจะรู้ผลลัพธ์ตั้งแต่วินาทีแรกที่มาที่นี่แล้ว” ตู้เซี่ยเอ่ยอย่างราบเรียบ “แกรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ยังมา หรือก็คือ แกแน่ใจว่าต่อให้ฉันจับแกได้ ก็ต้องปล่อยแกไปเพราะเกรงกลัวชื่อของพี่ชายแก ดังนั้นแกเลยไม่กลัว”
เด็กชายทำหน้าเหยเก สายตาแข็งทื่อเล็กน้อย
“ฉันแค่นึกว่าจะโชคดีเท่านั้น ครั้งนี้ฉันผิดเอง ฉันจะชดเชยให้เธอเอง”
“ชดเชยเหรอ ชดเชยพี่ชายให้ฉัน หรือชดเชยพ่อแม่ใหม่ให้ล่ะ” ตู้เซี่ยผุดสีหน้าเยาะเย้ย
“ตอนนี้คนของหงส์จักรพรรดิประกาศแล้วว่าจะส่งคนมากำจัดเธอ หมอกกัดกร่อนเองก็ถูกรั้งไว้ทางเหนือ เธอรับมือได้แค่คนเดียวเท่านั้นนะ” เด็กชายเห็นท่าไม่ดี จึงรีบอธิบาย หมายจะเกลี้ยกล่อมให้ตู้เซี่ยยอมแพ้
“ต่อให้เธอแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องรับมือกับยอดฝีมือระดับเดียวกันตั้งหลายคน เธอแน่ใจเหรอว่าจะปกป้องพี่เธอกับพ่อแม่เธอได้ ถ้าเธอปล่อยฉันไป พี่ฉันจะติดหนี้บุญคุณเธอ ถึงเวลาที่จำเป็น เธอจะสามารถ…”
สวบ
ดาบโค้งในมือตู้เซี่ยแทงเข้าไปในอกของเด็กชาย จากนั้นก็ถูกชักออก
“เธอ…!” เด็กชายโซเซถอยหลังไปหลายก้าว ปากแผลบนอกกะพริบแสงสีขาวสะดุดตา คล้ายกับในร่างของเขาไม่มีเลือดเนื้อหรือวัยวะภายใน หากเป็นแสงสีขาวที่บริสุทธิ์
ตู้เซี่ยมองยังไม่มองเขา ด้วยความสามารถของเธอ หากต้องการฆ่าเก๋อซาธรรมดา ไม่จำเป็นต้องใช้สองกระบวนท่า
สาเหตุที่ก่อนหน้านี้สะกดเด็กชายเอาไว้ เป็นเพราะกริ่งเกรงว่าพี่ชายของเธอจะนึกสงสัย
ตู้เซี่ยมองร่างของเด็กชายที่เอียงล้มลงและค่อยๆ ลุกไหม้กลายเป็นฝุ่นสีขาว ดาบโค้งในมือกลายเป็นเพลิงสีทองพร้อมกับสลายหายไป เปลวเพลิงรอบๆ ตัวกระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวกวง”
“อยู่นี่…” เด็กสาวผมทองที่ร่างอาบเลือดคนหนึ่งยกมือขานรับตรงมุมหนึ่ง
“พี่ ถ้าพี่มาช้าไปก้าวเดียว ก็คงต้องเก็บศพฉันแล้ว”
“ลำบากเธอแล้ว” ความละอายใจฉายแวบขึ้นในดวงตาของตู้เซี่ย จากนั้นเธอก็เดินไปหาเด็กสาวที่กึ่งนั่งอยู่บนพื้น
“พี่…มีคนมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ…” เด็กสาวผมทองกล่าวอย่างจนใจ “ฉันเพิ่งจะจัดการไปสองคน แป๊บเดียวก็เจอไอ้หมอนี่เข้า ถึงแม้ว่าอสรพิษไหมขาวจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้พักผ่อนฟื้นฟูก็ถูกมันลอบโจมตีเสียก่อน…”
“ฉันรู้”
ตู้เซี่ยพยักหน้า
ช่วงนี้เธอตระเวนตรวจสอบไปทั่ว กลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนกว่าเดิมถึงตาข่ายที่ใหญ่ถึงขีดสุด ซึ่งกำลังปกคลุมมาหาตนเองโดยที่มองไม่เห็น
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เหมือนกับมือมืดหลังฉากนั้นจะรู้ถึงแผนการของเธอไม่น้อย จึงมีการจัดการอย่างเฉพาะเจาะจง
การที่วันนี้ขัดขวางอสรพิษไหมขาวได้อย่างราบรื่นถึงขนาดนี้ ทำให้ตู้เซี่ยรู้สึกว่าราบรื่นเกินไป ถึงขั้นรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่อีกฝ่ายจงใจมอบให้
ความตายของน้องชายทำให้ช่วงนี้อารมณ์ของเธอปั่นป่วน นอกจากนี้การตรวจสอบและการหาเรื่องคนอย่างไร้ความเกรงกลัวไปทั่ว ก็ทำให้แรงกดดันที่เธอได้รับมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ทางองค์กรเองก็กำลังเกิดความขัดแย้งกับองค์กรขนาดยักษ์ทางเหนืออยู่
โจวเฉวียนอู่ที่เป็นผู้นำไม่มีเวลาลงมือช่วยเหลือเธอ เรื่องราวเกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองเสื่อมโทรมและความสำเร็จล้มเหลวขององค์กร โจวเฉวียนอู่ได้แต่ทิ้งคนให้เธอสิบกว่าคนเพื่อเป็นกองกำลังใต้อาณัติที่เธอสั่งการได้เท่านั้น
…
‘หายไปอีกแล้ว…’ ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง
พริบตาเมื่อครู่มีกลิ่นอายพลังงานอันแข็งแกร่งสายหนึ่งระเบิดออกมา จากนั้นกลิ่นอายของเด็กชายคนนั้นก็หายไปทันที
‘น่าจะเป็นคนของตู้เซี่ย หรือไม่ก็เป็นตัวเธอลงมือเอง’
แค่สัมผัสกับการระเบิดพลังเมื่อก่อนหน้า ลู่เซิ่งก็คำนวณอย่างหยาบๆ ได้แล้วว่าน่าจะเป็นระดับผู้ถืออาวุธ
ระดับแบบนี้ส่งผลคุกคามอย่างใหญ่หลวงเมื่ออยู่ในเมืองใหญ่จริงๆ เกิดว่าระเบิดพลังโดยสิ้นเชิง จะทำให้คนหลายพันหลายหมื่นคนบาดเจ็บล้มตายได้ทีเดียว
ลู่เซิ่งขบคิดในใจ กลิ่นอายพลังงานเมื่อครู่นี้ถูกเก็บไปทันทีที่สัมผัสได้ สามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก แสดงว่าไม่ใช่ระดับพลังสูงสุดของอีกฝ่าย แต่ไม่ทราบว่านี่เป็นระดับไหน
‘สองครั้งแล้ว ไม่ให้โอกาสกันเลยจริงๆ…ดูเหมือนต้องหาโอกาสเองซะแล้วสิ’ ลู่เซิ่งลูบคาง รู้สึกว่าจะนั่งรอความตายอยู่แบบนี้เฉยๆ ไม่ได้
เขาจำเป็นต้องคลำหาความลับของเก๋อซาให้ออกเพื่อทำความเข้าใจจุดเด่นของพลังแบบนี้โดยเร็วที่สุด
แค่ผู้ไล่ตามดวงดาวที่เป็นลูกน้องของเก๋อซาก็ครอบครองความสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาเป็นระยะทางสั้นๆ แล้ว อย่างนั้นเกรงว่าตัวเก๋อซาคงไม่ธรรมดาเหมือนกัน ไม่แน่ว่าหลังจากกินแล้ว…ไม่สิ หลังฆ่าแล้วจะมีพลังอาวรณ์เข้ามาในบัญชี
‘ดูเหมือนต้องรุกด้วยตัวเองแล้ว…’
หลายวันต่อจากนั้น ลู่เซิ่งพบเจอกับการลอบฆ่าอีกหลายครั้ง แต่ว่าตอนที่เขาเตรียมจะลงมือ นักลอบสังหารก็หายตัวไปอย่างอธิบายไม่ได้เสียก่อน
ขุมกำลังของตู้เซี่ยร้ายกาจจริงๆ
หลังจากคิดจะลงมือหลายครั้งแต่ไม่ประสบผล ในที่สุดลู่เซิ่งก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเรียกอัลติสมาถามหาที่อยู่ที่เก๋อซาอาจจะปรากฏตัวทันที
เขาเล่นงานขุมกำลังของน้องสาวไม่ได้ อย่างนั้นก็เล่นงานขุมกำลังที่เป็นศัตรูกับเธอก็แล้วกัน
จากข้อมูลที่ส่งมาจากทางอัลติส ลู่เซิ่งได้ทราบว่า โลกมีองค์กรใหญ่ทั้งหมดสามองค์กรที่กระจายไปทั่วประเทศ
องค์กรที่กระจายอยู่ในสหพันธรัฐ มีชื่อว่าหงส์จักรพรรดิ
นอกจากนี้ที่ต่างประเทศยังมีอีกสององค์กรใหญ่ องค์กรแรกชื่อละอองดาว อีกองค์กรชื่อเสาพิภพดารา
นอกจากนี้แล้ว ยังมีองค์กรลึกลับขนาดต่างๆ อีกมากมาย ต่างก็เป็นองค์กรที่พวกเก๋อซาก่อตั้งขึ้นเอง ในนี้มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอสลับกันไป
อัลติสอธิบายว่า ที่เขาปลอดภัยไร้เรื่องราวมาโดยตลอด ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือลูกชายของน้องสาวของเขาเป็นเก๋อซา และเป็นสมาชิกของละอองดาว
ส่วนองค์กรอื่นๆ นอกจากหงส์จักรพรรดิในสหพันธรัฐ อัลติสก็ไม่รู้จักแล้ว
“องค์กรน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองต้นบุปผามีองค์กรไหนบ้าง ตรวจสอบได้ไหม” ลู่เซิ่งถามทางโทรศัพท์โดยตรง
“ง่ายมากครับ เมืองต้นบุปผามีแค่องค์กรเดียว ชื่อหมอกกัดกร่อน ผู้นำคือมารนรก เป็นผู้ก่อการร้ายน่ากลัวระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงระดับชาติทีเดียว” อัลติสตอบจากโทรศัพท์ดาวเทียมเข้ารหัส
“หมอกกัดกร่อน? มารนรกหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง การที่มีองค์กรเดียวกลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขา
“ผมมีข้อมูลของมารนรกเยอะมาก คุณต้องการไหม” หลังจากอัลติสรับการโน้มนำจากวิชาจิตโน้มนำ ก็บอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่ลู่เซิ่งจนหมดสิ้น
“ได้ นายส่งมาที่โทรศัพท์ของฉันก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งตอบอย่างแน่วแน่
เขาพิงราวกั้นบนดาดฟ้า พร้อมกับกระจายจิตวิญญาณออกไปตรวจสอบสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรอบๆ รวมถึงป้องกันไม่ให้โทรศัพท์ถูกเจาะด้วย
ไม่นานนัก อีเมลฉบับหนึ่งก็ถูกส่งมาในโทรศัพท์ของเขา
……………………………………….