ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 630 เทพ (2)
บทที่ 630 เทพ (2)
“พี่ใหญ่ตู้ พี่ไม่ชอบหนูเหรอคะ ไม่ชอบชือชือเหรอ พวกเรามาเล่นเกมสนุกๆ ด้วยกันไม่ดีหรือคะ” หลินชือชือควบคุมอากาศ พร้อมกับมองลู่เซิ่งด้วยสายตาน่าสงสาร
ในที่สุดลู่เซิ่งก็รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีแขกมาที่บ้านยัยหนูนี่มานาน ถ้าหากเธอเป็นเด็กสาวงดงามจริงๆ บางทีอาจจะไม่ใช่แบบนี้ แต่กลับกัน…
ความเอือมระอาแวบขึ้นในดวงตาของลู่เซิ่ง เขามองข้ามความสามารถทำให้ขาดอากาศหายใจ แล้วต่อยหมัดไปด้านหน้า
เปรี้ยง
ร่างท่อนบนของหลินชือชือระเบิดออกโดยสิ้นเชิง แมลงสีดำนับไม่ถ้วนบินออกมา แล้วเกาะไปทั่วห้อง
แมลงที่เหมือนกับด้วงพวกนี้ขยับขาสิบกว่าข้าง บ้างก็อยู่บนผนัง บ้างก็อยู่บนพื้น บางส่วนอยู่บนเตียง โต๊ะ และเก้าอี้
“จริงๆ เลย…ไม่เล่นกับฉันยังพอว่า ยังจะมา…ยังจะมาทำลายแบบจำลองที่ฉันรักที่สุดอีก!”
แมลงจำนวนมากรวมตัวกันที่มุมหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นกายเนื้อใหม่ของหลินชือชือ
ตอนแรกเธอเพียงแค่คิดจะบีบคั้นผู้มาสักหน่อยเท่านั้น ถือว่าเห็นแก่หน้าของอา กลับนึกนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้อย่างรุนแรงขนาดนี้ หลินชือชือจึงโกรธแล้ว
หนวดที่เกิดจากการรวมตัวของแมลงจำนวนมากบินไปห้อมล้อมลู่เซิ่ง
เปรี้ยง!
เงาหมัดระเบิดขึ้นพร้อมกัน
แค่พริบตาเดียว หนวดทั้งหมดก็กลายเป็นแมลงกระจัดกระจายไป
ลู่เซิ่งชักมือกลับพร้อมกับถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ การโจมตีแบบนี้ไม่มีผลต่อเขาโดยสิ้นเชิง
“ฉันจะกินพี่ซะ!” แมลงที่เหลืออยู่ของหลินชือชือรวมตัวกันกลายเป็นมนุษย์ร่างยักษ์ที่มีเขาวัวสีดำ
โฮก!
เธอโน้มตัวกระโจนใส่ลู่เซิ่ง ร่างที่สูงถึงสามเมตรกว่าๆ ปกคลุมตำแหน่งทั้งหมดที่ลู่เซิ่งหลบได้เอาไว้แทบทั้งหมด
แสงสีเทาขมุกขมัวปรากฏขึ้นบนผิวของเธอ
“จงสัมผัสความหวาดกลัวเสียเถอะ! ร่างสมบูรณ์! นิล…”
หลินชือชือยังตะโกนชื่อท่าไม้ตายออกมาไม่ทันจบ ก็ถูกลู่เซิ่งกดศีรษะด้วยมือข้างหนึ่ง แสงสีขาวจางจำนวนมากกระจายออกมาจากร่างลู่เซิ่ง ไม่นานนักก็แผ่ขยายไปทั่วร่างของหลินชือชือ
“มา มองตาของฉันนี่…” ลู่เซิ่งวางศีรษะหลินชือชือลงด้านหน้าตนเอง
“จงมองดวงตาของฉัน…เธอเห็นอะไร”
“ผู้ชาย…”
ลู่เซิ่งสีหน้าแข็งทื่อ
“…เธอเห็นดอกไม้ไร้สิ้นสุด และตัวเธอก็โดยสารเรือไม้ลำเล็กสีเหลืองอ่อนอยู่ในนั้น…’ เขาเริ่มใช้คำพูดโน้มนำ
“ผู้ชายบนเรือสุดยอดเลย…”
ลู่เซิ่งข่มความโกรธเอาไว้ “เธอโดยสารเรือเล็ก…มาถึงข้างทะเลสาบน้ำพุร้อนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง…ในทะเลสาบ…”
“ผู้ชายสองคนกำลังหยอกล้อกันอยู่…” หลินชือชือทำหน้าบ้าผู้ชาย เริ่มยิ้มอย่างซึมเซาขณะน้ำลายสอ
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าเส้นเลือดบนหน้าผากปูดขึ้นกว่าเดิม ยัยหนูนี่จะจินตนาการบรรเจิดไปแล้ว วิชาจิตโน้มนำตามการพัฒนาไม่ทันอยู่บ้าง
“ไม่ใช่…ในทะเลสาบมีไอความร้อนอันอบอุ่น กับไอหมอกที่ขมุกขมัวเหมือนผ้าห่มที่ผ่านการตากแดด…เธอเดินเข้าไป ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก…แล้วค่อยๆ นอนลง…” ครั้งนี้ลู่เซิ่งใช้พลังทั้งหมดจริงๆ แล้ว
เดิมการสะกดจิตของเขามีระดับมากกว่าพัน ขอแค่เคลื่อนไหว ทำท่ามือท่าเดียว ก็สามารถสะกดจิตคนได้นับไม่ถ้วน
แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงเคลื่อนไหว ยังใช้สายตา คำพูด และเสียงสร้างสภาพแวดล้อมขมุกมัวที่เหมาะสมและจำเป็นออกมาอีกด้วย
ครั้งนี้เขาต้องการควบคุมเก๋อซาประหลาดที่อยู่ตรงหน้าให้จงได้
ผู้นำเจ็ดก่อนหน้านี้อาจจะมีภูมิต้านทานด้านจิตแข็งแกร่งเกินไป แต่ครั้งนี้เก๋อซาคนนี้เห็นได้ชัดว่ามีข้อบกพร่องด้านจิตใจที่ชัดเจนมาก ขอแค่ราบรื่น…
ไม่นานนัก ในที่สุดหลินชือชือก็อยู่ในสภาวะกึ่งสะลึมสะลือ
ลู่เซิ่งรีบคว้าโอกาสส่งคำสั่งสำหรับควบคุมที่ตนเตรียมไว้เข้าไป จากนั้นก็แทรกความทรงจำกับภาพประทับใจใหม่เข้าไปส่วนหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นคนที่หลินชือชือนับถือมากที่สุด
กระบวนการทุกอย่างใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็ประสบความสำเร็จ
ครั้งนี้ลู่เซิ่งไม่เพียงมอบคำสั่งสำเร็จ ในการควบคุมครั้งนี้ตัวเขายังได้เพิ่มพันธนาการไปอีกหลายชั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำลายอย่างคาดคิดไม่ถึงด้วย
“เอาล่ะ…ตอนนี้พวกเรานั่งคุยกันดีๆ ได้แล้ว” หลังจากปลุกหลินชือชือให้ฟื้นสติขึ้นมา ลู่เซิ่งก็หาเก้าอี้สะอาดมานั่งหันหน้าเข้าหากันคนละตัว
“ตอนนี้ ฉันขอถามเธอว่า เธอรู้จักมารนรกไหม” ลู่เซิ่งถามตรงๆ
“มารนรก…ผู้ควบคุมแกนหลักของแผนการสร้างเทพ…” หลินชือชือที่นั่งบนเก้าอี้กล่าวอย่างเฉื่อยชา
“แผนการสร้างเทพหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง “เธอรู้ได้ยังไง”
“ฉันเป็นหนึ่งในสายลับของแผนการที่แทรกซึมอยู่ด้านในหงส์จักรพรรดิ” หลินชือชือตอบอย่างเรียบเฉย
“สายลับเหรอ” ลู่เซิ่งทราบทันทีว่าตนเองคว้าได้สมบัติมาโดยไม่ได้ตั้งใจเข้าแล้ว
“ไหนลองเล่าหน่อยว่าแผนการสร้างเทพคืออะไร” ลู่เซิ่งปล่อยจิตวิญญาณออกมาป้องกันการสอดแนมและการดักฟังที่อาจปรากฏขึ้นรอบๆ ทันที
“…ในมิติของโลกใบนี้หลังจากใช้พลังเทพรังสรรค์จะมีมิติโบราณที่ลึกลับ แข็งแกร่ง และอันตรายดำรงอยู่ ทางเข้ามิติมีป้ายหินตั้งอยู่ บนนั้นบันทึกไว้ว่า ขอแค่ใครเข้าไปด้านในผ่านทางเข้าได้ ก็จะได้รับโอสถวิญญาณหงส์นภามาร ซึ่งเป็นยาวิเศษในตำนานทันที” หลินชือชือตอบเสียงทุ้ม
“โอสถวิญญาณหงส์นภามาร…”
…
ลู่เซิ่งออกมาจากคฤหาสน์ของหลินชือชือแล้ว เขาสั่งให้เธอซ่อนตัวให้ดี และทิ้งเบอร์โทรใหม่ของตนเองไว้เพื่อใช้ติดต่อกับอีกฝ่าย แต่วิธีการติดต่อน่าจะใช้สัญญาณลับแบบใหม่ที่ประดิษฐ์ขึ้นมากกว่า
หลังจากออกมาแล้ว ลู่เซิ่งก็ตรงกลับบ้านทันที วันนี้พ่อกับแม่ทำงานล่วงเวลา ที่บ้านจึงเหลือแค่ตู้เซี่ยคนเดียว
เธอนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาตามลำพัง ดวงตาจ้องจอภาพ แต่สายตากลับไม่โฟกัส ไม่ทราบว่ากำลังนึกอะไรอยู่
ผมยาวสีน้ำตาลตกอยู่บนสองขาที่วางขวางอยู่
“ยังไม่หลับอีกเหรอ” ลู่เซิ่งดูเวลา สี่ทุ่มกว่าๆ แล้ว
“พี่ พี่ไปไหนมาเหรอ” ตู้เซี่ยเงยหน้ามองลู่เซิ่ง ในที่สุดดวงตาก็มีโฟกัสแล้ว
“ออกไปจัดการธุระนิดหน่อยน่ะ มีอะไรรึเปล่า” ลู่เซิ่งเปลี่ยนรองเท้าเข้าบ้าน แล้วเดินไปเติมน้ำแก้วหนึ่งหน้าเครื่องกดน้ำ
“ฉันเป็นห่วงพี่นิดหน่อยน่ะค่ะ” ตู้เซี่ยตอบอย่างสงบนิ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก แทนที่จะห่วงพี่ ห่วงตัวเองมากๆ ดีกว่านะ” ลู่เซิ่งว่า ก่อนจะยื่นมือไปลูบผมของตู้เซี่ยตอนที่เดินผ่านด้านหน้าเธอ
เก๋อซาเป็นแค่เด็กธรรมดาที่ครอบครองพลังอันแข็งแกร่ง ลู่เซิ่งสะท้อนใจเล็กน้อย เป็นเพราะครอบครองพลังพิเศษที่ยากจินตนาการ พวกเขาจึงนำพาความปรารถนาและความตั้งใจของตัวเองเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่อย่างอุกอาจ และทำทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด
แต่ว่าจิตใจของพวกเขาก็ยังเป็นแค่เด็กอยู่ดี
“อีกสองวัน หนูอาจจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ นะคะ” ตู้เซี่ยพลันจับข้อมือลู่เซิ่งไว้
“ต้องไปนานมาก”
ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งเครียด แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า “แค่ออกไปเที่ยวเฉยๆ จะไปกี่วันล่ะ”
“น่าจะสัก…หนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ค่ะ…” ตู้เซี่ยพยายามรักษาความเยือกเย็นไว้ แต่กลางหว่างคิ้วก็ยังปรากฏความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ทำให้เธอดูเปราะบางน่าสงสารเป็นพิเศษ
สามคน!
เก๋อซาระดับเดียวกับเธอสามคนประกาศสงครามกับเธอพร้อมกัน
เมื่อวานนี้ เธอโทรศัพท์หาโจวเฉวียนอู่ไม่หยุด แต่ก็ยังคงไร้ข่าวคราว
ตั้งแต่วินาทีนั้น เธอก็เหมือนรู้อะไรบางอย่างแล้ว
“ไปเถอะ ไปผ่อนคลายหน่อยก็ดีเหมือนกัน…” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ตู้เซี่ยเม้มปาก จับข้อมือของลู่เซิ่งไว้แน่น หัวใจเธอดั่งถูกมีดกรีดเฉือน แต่กลับพยายามแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่เป็นอะไร เพื่อไม่ให้ครอบครัวเป็นห่วง
“สมมุติว่า…สมมุตินะคะ ถ้าเกิดมีคนมาหาหนูหลังจากหนูไปแล้ว พวกพี่พยายาม…” ตู้เซี่ยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
ศึกครั้งนี้ เธอไม่รู้ว่าตนเองจะรอดกลับมาหรือไม่ ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าควรจะสารภาพอย่างไรดี แม้ว่าเธอจะเตรียมวิธีป้องกันไว้แล้วก็ตาม กระนั้น…
ลู่เซิ่งมองความผิดปกติของตู้เซี่ยออก นึกสะท้อนใจและเข้าใจว่าแรงกดดันมหาศาลที่เกิดจากสถานการณ์ในช่วงนี้อาจทำให้เธอรับไม่ไหวบ้างแล้ว
แต่เขาก็ทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน
เขาต้องการจังหวะที่เหมาะสม จังหวะที่สามารถกำจัดปัญหาและความยุ่งยากทั้งหมดได้อย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนี้มันยังมาไม่ถึง
พอดีที่ความอ่อนแอของตู้เซี่ยล่อพวกเสือสิงกระทิงแรดมาได้มากกว่าเดิม ถ้าหากว่าใช้จังหวะนี้จัดการทุกอย่างได้ อย่างนั้นก็จะดีที่สุด
“ไปพักผ่อนเถอะนะ” ลู่เซิ่งสลัดมือออก แล้วเดินไปยังห้องน้ำ
ตู้เซี่ยที่นั่งบนโซฟาชักมือกลับอย่างช้าๆ และขดตัวไม่พูดอะไรอีก
ลู่เซิ่งอาบน้ำเสร็จและเข้านอนตามปกติ ก่อนนอนเขาได้รับข้อความหนึ่ง เป็นข้อความเกี่ยวกับปัญหาในวันพรุ่งนี้
ในทางเดียวกันหลินชือชือซึ่งเป็นสมาชิกหนึ่งในนี้ได้กลายเป็นสายลับของลู่เซิ่งด้วยการสะกดจิตจากวิชาจิตโน้มนำโดยสิ้นเชิงแล้ว
คนที่เข้าร่วมศึกกลุ้มรุมในครั้งนี้มีเก๋อซาระดับมารสามคนที่อยู่ในระดับเดียวกับตู้เซี่ย
เก๋อซาธรรมดากับเก๋อซาระดับมารมีข้อแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่ข้อแตกต่างด้านพลังเท่านั้น ยังมีด้านจิตใจด้วย
เก๋อซาระดับมารจะไม่มีช่องโหว่ทางจิตใจที่เห็นได้ชัด พวกเขาต่างก็ผ่านการทดสอบต่างๆ นานา มา จนสุดท้ายค่อยสำเร็จเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสุดยอดท่ามกลางเก๋อซาด้วยกัน หากเผชิญหน้ากับเก๋อซาธรรมดา จะสามารถสังหารได้หมดทุกคน
หลังจากรู้ตัวเก๋อซาระดับมารสามคนที่เตรียมจะรุมตู้เซี่ยแล้ว ลู่เซิ่งก็ได้ส่งข้อความหาอัลติส ถึงเวลาใช้การเตรียมตัวที่เตรียมไว้สักที
เขาได้เตรียมให้พ่อกับแม่ของร่างร่างนี้ออกเดินทางเพื่อหลบภัยแล้ว
ที่หลบภัยคือที่พักชั่วคราวของเก๋อซาคนหนึ่งซึ่งตู้เซี่ยได้จัดการไว้แล้ว ถึงเวลานั้นขึ้นอยู่กับว่าใครโชคดีเจอที่หลบภัยก่อน
วันต่อมา ลู่เซิ่งออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ และไปยังสำนักงานใหญ่ของหมอกกัดกร่อนตามข้อมูลที่หลินชือชือส่งมา ก่อนจะพบว่าไม่มีใครสักคนเดียว
จากนั้นก็ไปยังโรงแรมอีกสองแห่งในเมืองต้นบุปผา และแยกกันพักในโรงแรมแห่งละครึ่งชั่วโมงกว่าๆ
ต่อมาค่อยเข้าพบกับเพื่อนสนิทของหลินชือชือที่เธอนัดหมายมาให้
นี่เป็นเก๋อซาอีกคนหนึ่ง เป็นเด็กสาวงดงามที่ทดลองชิมผลไม้ต้องห้าม หรือก็คือถูกหลินชือชือเปิดประสบการณ์ให้จนใจแตก
เนื่องจากมีช่องโหว่ขนาดใหญ่ในใจ ลู่เซิ่งจึงควบคุมอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็นัดพบกับเก๋อซาคนอื่นๆ ในเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับเธอต่อ
ในเวลาสองวันที่สั้นสุดขีด ลู่เซิ่งตระเวนไปทั่ว ทว่าข้อมูลกับร่องรอยเกี่ยวกับเขากลับลดน้อยลงเรื่อยๆ
…
สามวันต่อมา
เมฆสีขาวผืนใหญ่ลอยไปมากลางท้องฟ้าสีครามบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่รกร้าง
จานกลมสีสำริดขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันอยู่กลางซากสิ่งปลูกสร้างกลุ่มใหญ่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้า
บนจานกลมสลักรูปภาพ ลวดลาย และสัญลักษณ์ซับซ้อนไว้มากมายนับไม่ถ้วน มีความกว้างหลายพันเมตร หากมองไกลๆ จะดูเหมือนกับนาฬิกาแดดขนาดยักษ์
ผิวจานกลมแบ่งออกเป็นเขตลวดลายสัญลักษณ์สิบกว่าชั้น ทุกๆ ชั้นมีรูปภาพต่างๆ ที่มีลักษณะแปลกประหลาดติดอยู่
“ที่นี่นี่เอง…”
โจวเฉวียนอู่ที่ถือกระบี่ทอดตามองจานกลมยักษ์ที่ปักเอียงๆ บนทุ่งหญ้าอยู่ไกลๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวังและรอคอย
กระแสลมเย็นส่งเสียงคร่ำครวญพลางพัดชายเสื้อและชายกระโปรงบนร่างเธอ แต่เธอกลับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย
“นั่นคือนาฬิกาเทพงั้นหรือ” โจวหนานเฟยเดินออกมาจากด้านหลังลูกสาว ทหารที่ใส่เกราะรบสีดำเต็มอัตราหลายกลุ่มกรูผ่านด้านข้างเขาไปเหมือนกับกระแสคลื่น พร้อมกับเร่งรุดไปยังจานกลมยักษ์อย่างรวดเร็ว
รถหุ้มเกราะและรถถังหลายคันค่อยๆ ขับผ่านด้านข้างทั้งสองไป
“ครั้งนี้จะต้องสำเร็จแน่…หนูรอครั้งต่อไปไม่ได้แล้ว…” โจวเฉวียนอู่มองดูจานกลมยักษ์อย่างงมงาย นิ้วมือกระชับกระบี่ในมือแน่นขึ้น
โจวหนานเฟยมองลูกสาวแวบหนึ่ง
“สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับครั้งนี้ เกิดว่าเปิดการทำงานแล้วได้รับโอสถวิเศษ จะต้องแก้ไขทุกสิ่งได้แน่”
“นี่เป็นเป้าหมายของหนู…สัตว์ประหลาดบนร่างพวกเรา…จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป…อย่างแน่นอน!” โจวเฉวียนอู่เดินไปยังจานกลมยักษ์ด้วยฝีเท้าที่มั่นคงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เก๋อซามีอายุขัยแค่ห้าปี
อีกห้าปี ความสามารถในร่างพวกเขาจะกลืนกินย้อนกลับ แล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุด พร้อมกับกินทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นค่าใช้จ่ายที่ทำให้พวกเขาได้รับพลังอันแข็งแกร่ง
…
อีกด้านหนึ่งของทุ่งหญ้า
ถุย
หลินชือชือพ่นน้ำลายลงบนพื้นพร้อมกับใช้เท้าขยี้ๆ
เธอสวมแว่นกันแดด มองดูนาฬิกาบนข้อมือ ด้านหลังเธอยังมีสมาชิกที่บ้างสูงบ้างต่ำคล้ายๆ กันอีกสิบกว่าคน
แสงสว่างขับสะท้อนประกายน้ำมันอ่อนๆ บนกล้ามเนื้อกำยำของพวกเขา
พวกเขาทุกคนรวมถึงหลินชือชือต่างสวมเสื้อกล้ามสีดำ กางเกงยีนส์ และแว่นกันแดด ทุกคนๆ สูงมากกว่าหนึ่งเมตรเก้าสิบเซนติเมตร หนักมากกว่าสองร้อยกิโลกรัม
เสื้อกล้ามตัวเดียวไม่อาจอำพรางกล้ามเนื้อบึกบึนน่ากลัวได้
พั่บๆๆๆ!
อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเฮลิคอปเตอร์บินมาแล้วค่อยๆ ลดระดับลง
ห้องโดยสารเปิดออก
ลู่เซิ่งกับชายฉกรรจ์ผิวขาวที่สวมชุดคนรับใช้สองคนกระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์
“จิ่วหนานล่ะ” ลู่เซิ่งรับแว่นกันแดดที่ลูกน้องส่งมาให้ แล้วใช้สายตาเฉียบขาดกวาดผ่านทุกคน ทำให้ทุกคนอดใจสั่นไม่ได้
“อยู่นี่ครับ!” ชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมซึ่งตัวใหญ่ถึงสองเมตรลุกขึ้นจากพื้น
“หลิงเอ๋อร์กับอวี๋เอ๋อร์ ในที่สุดพวกเธอก็เลือกตัวเลือกที่ถูกต้องแล้ว” จิ่วหนานมองชายฉกรรจ์สวมชุดคนรับใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังลู่เซิ่งพลางทอดถอนใจ
“นายท่านต้องการพลังของพวกเรา นี่เป็นสาเหตุที่พวกเราเลือก” ชายฉกรรจ์สองคนก็คือแม่บ้านสาวสองคนที่ลู่เซิ่งช่วยออกมาจากการระเบิดนั่นเอง
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว
แขนของพวกเธอในตอนนี้หนาเท่ากับเอวในอดีต สองขายามยืนอยู่บนพื้นไม่ต่างจากเสาค้ำสองต้น ผมยาวถึงไหล่เหมือนกับนักล่า ทั่วร่างเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและไอสังหาร
“จัดการเรียบร้อยหรือยัง” ลู่เซิ่งตัดบทการรำลึกความหลังของคนทั้งสาม ดวงตาเป็นประกายเย็นเยียบขณะมองจานกลมยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปซึ่งคนธรรมดามองไม่เห็น
“เตรียมเรียบร้อยแล้ว!” คนสิบกว่าคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน
ลู่เซิ่งแกะกระดุมของเสื้อเชิ้ตดำบนตัวออก พร้อมกับค่อยๆ สวมแว่น
“ไปเถอะ…ให้ไก่อ่อนพวกนั้นได้รู้ว่า อะไรคือสัจธรรมแห่งพลัง” เขาสาวเท้าเดินไปยังจานกลมเป็นคนแรก
“โอ้!” ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งตามหลังไปติดๆ ไม่มีใครเกรงกลัว ต่อให้พวกเขารู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเผชิญคือสุดยอดเก๋อซาแห่งสามองค์กรใหญ่ของโลกก็ตาม
……………………………………….