ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 643 สัมผัส (1)
บทที่ 643 สัมผัส (1)
ลู่เซิ่งที่ออกมาจากคฤหาสน์ของจ้าวเซิ่งอิงมีอัญมณีสีดำอมเทาที่เรืองแสงสีม่วงก้อนหนึ่งเพิ่มมาในมือ
นี่เป็นศิลาเงินม่วง ขอแค่เป็นผู้อยู่อาศัยในนครหลวงอย่างเป็นทางการ ล้วนใส่เงินน้ำแข็งและสินทรัพย์ส่วนใหญ่เข้าไปไว้ด้านในได้
เดิมของสิ่งนี้ไม่ใช่ที่เก็บสมบัติ แต่เป็นเพราะมันมีความล้ำค่าค่อนข้างสูง และสามารถบันทึกลวดลายพลังงานที่เสถียรได้ประมาณหนึ่ง เลยมีการใช้กันอย่างแพร่หลายคล้ายๆ บัตรหักบัญชี (บัตรเดบิต)
ศิลาเงินม่วงในมือลู่เซิ่งมีการฝากค่าจ้างเป็นจำนวนเงินน้ำแข็งยี่สิบหมื่นไว้แล้ว
จ้าวเซิ่งอิงยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ แถมยังเป็นดอกไม้ในเรือนแก้ว จึงถูกกล่อมจนถือเป็นจริงเป็นจริงเสียแล้ว
แต่ลู่เซิ่งไม่คิดจะเปลี่ยนนางให้กลายเป็นมนุษย์พิเศษที่มีกล้ามเนื้อพัฒนาจนเกินไปแต่อย่างไร ถ้าหากทำแบบนั้นจริงๆ แม้จะยังแก้ตัวกับจ้าวเซิ่งอิงได้ แต่ตระกูลจ้าวไม่ใช่คนโง่
ตอนที่เพิ่งออกมาเมื่อครู่ เขาสัมผัสได้แล้วว่ามีสายตาซึ่งมีพลังน่าหวั่นสะพรึงอย่างน้อยสิบกว่าสายกวาดไปมาบนร่างของตัวเอง
ลู่เซิ่งอมยิ้มน้อยๆ ขณะโยนศิลาเงินม่วงในมือเล่นเบาๆ อารมณ์เบิกบานอย่างยิ่ง จากนั้นก็เก็บมันไว้ในอกเสื้อ พร้อมกับเดินไปตามถนนต่อ หักเลี้ยวผ่านทางแยกหลายสาย ไม่นานก็มาถึงเขตการค้าระดับสุดยอดที่ครึกครื้นแห่งหนึ่ง
อาคารในเขตการค้าแขวนป้ายโฆษณาไว้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่โอสถ ค่ายกล กระดาษยันต์ อักขระวิเศษ ไปจนถึงอาวุธเทพ สมบัติลับ ข้อมูล และของขลัง มีร้านค้าอยู่ทุกแบบ
แต่ว่าบนถนนกลับไม่มีเสียงเอ็ดตะโร มีเพียงแค่เสียงสัตว์กลายพันธุ์ของเหล่าลูกค้าที่นั่งมาร้องเป็นบางครั้งเท่านั้น
เหล่าลูกค้าที่เข้าออกร้านส่วนใหญ่ก้าวย่างอย่างรีบเร่ง บ้างก็ซ่อนสถานะโดยการสวมชุดคลุมสีดำ บ้างก็เหลียวมองซ้ายขวาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ลู่เซิ่งเดินไปตามทางขวาของถนนสักพัก ไม่นานก็เล็งร้านที่ขายวัตถุดิบพิเศษไว้กลุ่มหนึ่ง
เขาเลือกร้านๆ หนึ่งแล้วเดินเข้าไป
วัตถุดิบพิเศษที่ระดับต่อไปของวิชาไร้ขอบเขตต้องการในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่มีชื่อว่าศิลาธรรมะ ทั้งยังเป็นศิลาธรรมะมืดมน นี่เป็นวัตถุดิบพิเศษที่ดีปบลูเรียนรู้ตามความทรงจำและความรู้ของลู่เซิ่งจนได้ผลว่าเหมาะแก่การเลื่อนระดับมากที่สุด
ร้านชื่อแล้วแต่กรรม ชื่อของร้านธรรมดามาก จำนวนคนเข้าออกมีอยู่ไม่น้อย ประตูร้านไม่ใหญ่นัก เพียงแค่พอให้คนสองคนเรียงแถวเดินเข้าออกเท่านั้น
ลู่เซิ่งรอให้นักศึกษาแขนเสื้อยาวสองคนด้านในออกมาก่อน จึงค่อยเบี่ยงตัวเดินเข้าไป
ด้านในร้านเป็นโถงใหญ่ทำจากหินสีขาวอมเทา สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่คือที่กั้นเล็กๆ มากมายที่ซอยแบ่งเป็นห้องแยก
นี่ทำให้ลู่เซิ่งนึกถึงห้องส่วนตัวในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่บนโลกใบเดิม พวกมันก็ซอยแบ่งกันเป็นแถวๆ อย่างแน่นขนัดแบบนี้เหมือนกัน
ห้องส่วนตัวทุกห้องเข้าไปยืนหรือนั่งได้คนเดียว หากเข้าไปสองคนจะเบียดเสียดกันจนอึดอัด
ไม่มีใครทักทายกัน ไม่มีใครมาอธิบาย ได้แต่มองดูลูกค้าจำนวนไม่น้อยเข้าๆ ออกๆ ห้องส่วนตัวเหล่านี้เป็นระยะเท่านั้น
ลู่เซิ่งเหลียวมองทางขวามือ เห็นก้อนหินสีขาวก้อนหนึ่งตั้งอยู่บนพื้น บนก้อนหินสลักคำอธิบายไว้หลายแถว
‘ซื้อขายยุติธรรม ใจคนมีคุณธรรม’
‘หนึ่งคนหนึ่งห้อง ซื้อแล้วไม่คืนเงิน ’
ลู่เซิ่งเลียนแบบคนอื่นๆ อย่างค่อนข้างรู้สึกสนใจ โดยการหาห้องห้องหนึ่งแล้วผลักประตูเข้าไป
ประตูไม้สีขาวอมเทาค่อยๆ เปิดออก จากนั้นก็ปิดลงแล้วก็ลงสลักหลังจากลู่เซิ่งเข้าไป
ในห้องส่วนตัวมีแค่กระจกผลึกทรงสามเหลี่ยมขนาดหนึ่งคนครึ่งบานหนึ่งเท่านั้น
มีตัวหนังสือตัวเล็กๆ และภาพสินค้าหลายแถวปรากฏอยู่ในกระจก
‘ซื้ออัตโนมัติจริงๆ เหรอเนี่ย’ ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ เดินถึงหน้ากระจกผลึก จิตวิญญาณสั่นไหวเล็กน้อย บนกระจกพลันกะพริบอย่างรวดเร็วขณะที่จิตวิญญาณของเขาแตะใส่เบาๆ
สินค้ามากมายพากันโผล่แวบขึ้นบนผิวกระจกอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งมองปราดเดียวก็จดจำข้อมูลจำนวนมากที่กระจกแสดงให้เห็นได้ทันที
มองผ่านๆ ดูสักพัก สินค้าของร้านแล้วแต่กรรมมีทั้งหมดสามสิบอย่าง ที่เหลือเป็นข้อมูลสินค้า ไม่มีสิ่งที่เขาต้องการ
จากนั้นลู่เซิ่งก็ออกมาจากห้องแยกแล้วเปลี่ยนไปร้านอีกร้าน ด้านในมีรูปแบบเหมือนกัน ไม่มีใครมาทัก มีแค่แผ่นศิลาอธิบายกฎระเบียบก้อนหนึ่งตั้งอยู่หน้าประตูเท่านั้น
ที่นี่ปล่อยให้ลูกค้าเลือกกระจกผลึกเองเช่นกัน ไม่มีเสียงต่อราคา มีแต่เสียงฝีเท้าเร่งรีบที่กำลังเข้าออกเท่านั้น
ไม่นานนัก เพิ่งเข้าร้านมาได้แค่สามร้าน ลู่เซิ่งก็เจอศิลาธรรมะที่ตัวเองต้องการ แถมยังเป็นศิลาธรรมะชนิดพิเศษที่เคยถูกปราณหยินกัดเซาะเสียด้วย เหมาะจะให้เขาใช้งานได้พอดี
ราคาเองก็ไม่แพง หนึ่งก้อนแค่เงินน้ำแข็งหนึ่งพันห้าร้อย ลู่เซิ่งซื้อมาพร้อมกันสี่ก้อน จ่ายเงินน้ำแข็งไปหกพัน แถมยังกลายเป็นสมาชิกระดับทองแดงของร้านที่มีชื่อบึงเนตรนิลนี้ด้วย
จากนั้นเขาก็ออกมา แล้วซื้อวัตถุดิบกางค่ายกลที่เอาไว้ใช้ในเวลาปกติอีกบางส่วน จึงค่อยกลับเรือนเล็กของตัวเอง
วัตถุดิบพร้อมแล้ว พลังอาวรณ์เองก็เต็มเปี่ยม ถึงแม้พลังจิตวิญญาณจะยังไม่บรรลุเงื่อนไข แต่ลู่เซิ่งเชื่อในดีปบลู
คืนนั้นเขาตัดสินใจฝ่าด่านทันที
…
ยามพลบค่ำ
ในคฤหาสน์เงียบสงัดเป็นพิเศษ เส้นสายโลหิตเส้นเล็กๆ แวบผ่านความมืดบนพื้นในลานเรือน
การบิดเบี้ยวกึ่งโปร่งแสงเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสูญหายบนประตูลานกับรั้วรอบๆ
โครม
ลู่เซิ่งปิดประตูห้องแล้วยื่นมือไปกดประตูเบาๆ
แวบ รอยมือสีเลือดสายหนึ่งสว่างขึ้น มันฝังอยู่กลางประตูห้องอย่างประณีต
ลู่เซิ่งก้มหน้าประสานมุทราหลายสิบท่าด้วยสองมือดุจสายฟ้าฟาด
“ทำงาน!”
เขาพลันส่งเสียงตะโกน
ห้องทั้งห้องมีเสียงดังหวึ่งๆ ตาข่ายสีเขียวอ่อนจำนวนเหลือคณานับสว่างขึ้น ตาข่ายพวกนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ครอบคลุมที่ว่างทุกชุ่นอย่างสมบูรณ์
ตาข่ายสว่างอยู่ราวสองสามอึดใจ จากนั้นก็ริบหรี่ลง โปร่งแสง แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งค่อยคลายมุทรา แล้วหมุนตัวเดินไปยังกลางห้อง
ตรงนั้นได้กางค่ายกลสีดำขนาดเล็กที่กว้างสามหมี่กว่าๆ เอาไว้แล้ว ผลึกสีเขียวทรงขนมเปียกปูนสองก้อนที่สูงเท่าครึ่งเอวคว่ำอยู่บนพื้นสองด้านของค่ายกล แสงสีทองที่อ่อนโยนและไม่แยงตาไหลเวียนอยู่ในตัวผลึก
ลู่เซิ่งนั่งลงกลางค่ายกลก่อนจะหลับตาและเพ่งสมาธิ
‘ดีปบลู’ เขานึกเงียบๆ
ชิ้ง กรอบสีฟ้าเด้งออกมาโดยพลัน
สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุของเขาเป็นอับดับแรก คือวิชาหลักอย่างวิชาไร้ขอบเขต
[วิชาไร้ขอบเขต: ขอบเขตที่หก—ย้อนต้นกำเนิด ย้อนต้นกำเนิดรูปจิตระดับหนึ่ง (คุณสมบัติพิเศษ: โลกมารจิต, วิถีแปดมารสูงสุด, หยุดเวลา, เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณ, หลอกธรรมชาติ…)]
‘วิชาไร้ขอบเขตมีภาพอนาคตไร้ขีดจำกัด น่าเสียดายที่พร่ามัว รวมถึงไม่มีหลักทฤษฎีมากพอมาเติมเต็ม เลยพัฒนาได้ยาก…แต่วิชาอื่นๆ มีภาพอนาคตจำกัดเกินไป…’ ลู่เซิ่งรู้สึกจนปัญญาขณะมองดูวิชาหลักวิชานี้ ยิ่งมาถึงช่วงหลังๆ ข้อจำกัดของวิชาไร้ขอบเขตก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น การยกระดับในแต่ละระดับเชื่องช้าอย่างมากยังพอว่า วัตถุดิบที่ต้องการยังต้องคลำหาและทดลองเองอีกต่างหาก
ต่อให้เป็นศิลาธรรมะที่ใช้ในครั้งนี้ ก็เพียงแค่เหมาะจะใช้เท่านั้น แต่หากบอกว่าเหมาะสมเป็นพิเศษ ทั้งยังขุดค้นศักยภาพระดับนี้ไปถึงขีดจำกัดได้ ก็บอกได้ยากแล้ว
แต่ลู่เซิ่งไม่มีปัญญาหาวิชาอื่นๆ มาครอบครองเช่นกัน แม้แต่วิชาไร้ขอบเขตก็เป็นวิชาที่เขาได้มาจากการรวมมรรคายุทธ์นับไม่ถ้วนไว้ด้วยกันแล้วสรุปผลออกมา เป็นผลงานการรวบรวมมรรคายุทธ์ของตัวเอง
‘วิชาของสาวกจันทราแดงใช้ได้แค่เอามาพิจารณาเท่านั้น น่าเสียดาย ถ้าหากได้วิชาหลักที่มีระบบสมบูรณ์มาสักชุดจริงๆ ก็คงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้แล้ว’ เขาทอดถอนใจ จนปัญญาก็ส่วนจนปัญญา แต่การเลื่อนระดับก็ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ
ลู่เซิ่งสงบอารมณ์ ก่อนจะยื่นมือคว้าออกไป
พึ่บ พึ่บ พึ่บ!
เกิดเสียงดังติดต่อกันสามครั้ง ศิลาธรรมะสีขาวบริสุทธิ์สามก้อนลอยออกมาจากมุมห้อง แล้ววนเวียนรอบๆ ตัวเขา
ลู่เซิ่งดีดนิ้ว กระแสอากาศไร้รูปร่างสามสายกระแทกศิลาธรรมะจนกลายเป็นฝุ่นผงสีขาวจำนวนมากแล้วโปรยปรายออกมาในพริบตาเดียว
ซู้ด…
เขาสูดหายใจลึก ฝุ่นผงสีขาวจำนวนมากหมุนลอยเข้าไปในปากเขาเหมือนถูกวังวนชักนำ
ขณะที่ดูดซับฝุ่นผงเข้าไป เขาก็กดปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จากนั้นเพ่งสายตาที่ปุ่มเรียนรู้ด้านหลังวิชาไร้ขอบเขต
‘เรียนรู้วิชาไร้ขอบเขต ยกขอบเขตขึ้นหนึ่งระดับ’
ชิ้ง!
กรอบพลันพล่ามัวแทบจะในพริบตาที่ยืนยัน
สิบอึดใจ…ยี่สิบอึดใจ…
หนึ่งนาที…สองนาที…
อึดใจเดียวก็ผ่านไปสิบกว่านาที
ลู่เซิ่งอยู่ในท่านั่งมาโดยตลอด
ในที่สุดกรอบก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
[วิชาไร้ขอบเขต: ขอบเขตที่หก—ย้อนต้นกำเนิด ย้อนต้นกำเนิดระดับหนึ่ง: มรรคาหทัย]
ลู่เซิ่งกวาดตามองคุณลักษณะด้านหลังต่อ เนื้อหาส่วนใหญ่ด้านในใกล้เคียงกับก่อนหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
เขาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตวิญญาณอย่างละเอียด
ไม่มีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ แต่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปริมาณจิตวิญญาณกำลังเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วสูง
‘ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้วเหรอ ไม่เลวแฮะ’
ด้านกายเนื้อมีผลกระทบไม่มาก อาจเป็นเพราะวิชานี้มาจากโลกมารสวรรค์ที่ไม่ถนัดด้านการฝึกร่างกายก็ได้
ถึงขั้นที่การพัฒนากายเนื้อในครั้งนี้ยังสู้การหลอมรวมกายเนื้อในโลกใบก่อนให้เข้ากับร่างหลักไม่ได้ด้วยซ้ำ
‘ตามข้อมูลของวิชา ครั้งนี้เราควรจะไปถึงจุดสูงสุดของระดับเจ้าแห่งอาวุธได้แล้ว จิตวิญญาณบรรลุถึงธรณีประตูของการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ และไปถึงขั้นเข้าไปหรือไม่อาจเข้าไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ครั้งหน้าน่าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตลวงตาแล้ว’
ลู่เซิ่งอ่านข้อมูลวิชาที่ดีปบลูเรียนรู้ออกมาในใจอย่างรวดเร็ว ศิลาธรรมะสามก้อนนี้เติมเต็มช่องว่างและข้อบกพร่องด้านกฎธรรมชาติให้แก่มิติรูปจิตอย่างใหญ่หลวง
มีส่วนช่วยต่อโลกรูปจิตถึงขีดสุด
หลังจากช่องว่างได้รับการเติมเต็ม ดีปบลูก็ใช้ช่องทางพิเศษเพิ่ม มันก็ช่วยกลั่นกรองและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณของลู่เซิ่งได้อย่างรวดเร็ว
ต่อจากนั้นอีกห้าวันต่อมาเขาก็ไม่ได้ไปที่ไหนอีก นอกจากการไปชำระล้างสารมลพิษดวงดาวให้แก่จ้าวลั่วอิงแล้ว เขาก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณอยู่ในเรือนของตัวเอง
จนกระทั่งวันที่หก ในที่สุดจิตวิญญาณก็ไม่เพิ่มขึ้นอีกและกำลังสร้างความเสถียร
‘จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นราวสี่เท่า…’ ลู่เซิ่งได้รับบทสรุปที่น่ายินดีเช่นนี้หลังจากตรวจสอบในห้อง
‘แต่ว่ากายเนื้อตกเป็นฝ่ายตามเกินไปแล้ว ต่อให้หลอมรวมกับวิชามวยทำลายล้างในพริบตาบนโลกใบก่อน แต่ก็ยังตามการเพิ่มขึ้นในด้านจิตวิญญาณไม่ทันอยู่ดี’
‘เดิมทีวิชาไร้ขอบเขตเน้นที่กายเนื้อ แต่ภายหลังค่อยๆ กลายเป็นเน้นทางจิตวิญญาณแทน’ เขาลุกขึ้นจากกลางค่ายกล แล้วกวาดตามองพลังอาวรณ์ที่เสียไปในครั้งนี้ พลันยิ้มอย่างขื่นขม
ถ้าหากแค่ยกระดับวิชาอย่างเดียวก็ยังดีอยู่ แต่ครั้งนี้เขาไม่เพียงยกระดับเท่านั้น ยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมด้วย ความสิ้นเปลืองในการเรียนรู้วิชาระดับนี้มหาศาลจนยากจินตนาการทีเดียว
พลังอาวรณ์สิบกว่าล้านหน่วยเหลือแค่ห้าล้านกว่าหน่วยในพริบตา…
‘แต่ก็คุ้มค่าเหมือนกัน พลังอาวรณ์ห้าล้านกว่าหน่วยนี้ทำให้เราไล่ตามการสั่งสมเป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปีของคนอื่นๆ ทันในเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น’ ลู่เซิ่งเข้าใจดี เพียงแต่ก็ยังคงปวดใจอยู่บ้างขณะที่เห็นพลังอาวรณ์ที่เพิ่งได้มาเหลือครึ่งหนึ่งในพริบตา
‘ถ้าหากแค่ยกระดับวิชา ก็คงไม่สิ้นเปลืองขนาดนี้หรอก!’ ลู่เซิ่งเสียดาย ก่อนจะนึกถึงวิชาฝึกฝนสายน้ำสีชาดของสาวกจันทราแดงอีกครั้ง แต่วิชาไร้สาระนี่มีระดับต่ำเกินไป หากต้องการวิชาระดับชูศัสตราต่อจากนี้ ในเวลาอันสั้นอย่าเพิ่งไปนึกถึงเลย
เขาลุกขึ้นตรวจสอบค่ายกลคร่าวๆ ก่อนจะผลักหน้าต่างออกเพื่อระบายอากาศเสียในห้องทิ้งไป
ต่อจากนี้เป็นรอบของขอบเขตลวงตาแล้ว ทว่าเขาหาปุ่มเรียนรู้ด้านหลังเครื่องมือปรับเปลี่ยนไม่เจอ
นี่หมายความว่าประสบการณ์ การสั่งสมความรู้ และมรรคายุทธ์ของเขาในปัจจุบัน ยังไม่พอจะใช้เรียนรู้พลังอันเหี้ยมหาญที่อยู่เหนือกว่าระดับชูศัสตราอย่างขอบเขตลวงตา
……………………………………….