ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 645 ตรวจสอบ (1)
บทที่ 645 ตรวจสอบ (1)
‘ที่นี่คือที่ไหนกัน’ ลู่เซิ่งเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว
วินาทีก่อนหน้านี้เขายังอยู่ที่คฤหาสน์ในตระกูลจ้าวอยู่เลย นาทีนี้กลับเข้ามาในสวนดอกไม้แห่งนี้อย่างกะทันหัน นอกจากคนของตระกูลจ้าวแล้ว ก็ไม่มีใครทำให้เขาติดกับได้อีก
มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังเป็นกำลังหลักในการชำระล้างสารมลพิษดวงดาวให้แก่จ้าวลั่วอิงอีกด้วย ต่อให้ตระกูลจ้าวมีแผนการอะไร ก็ไม่น่าจะลงมือกับเขาโดยตรง
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงใจเย็นมาก
จ้าวเซิ่งอิงกะพริบตาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น
“อาจารย์ลู่…ท่านจะมอบ…วิชาที่สร้างตามความเหมาะสม…ให้แก่ข้าไม่ใช่หรือ” ดวงตาของนางเฉื่อยชา อีกทั้งการเคลื่อนไหวยังแข็งทื่อไร้เรี่ยวแรงเหมือนกับศพเดินได้
แต่ลู่เซิ่งกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ในตัวนางมีกลิ่นอายแข็งแกร่งที่น่าหวั่นสะพรึงถึงขีดสุดและไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนกลุ่มหนึ่งกำลังบิดงอและหมุนวน คล้ายกับอาจจะหลุดออกจากกายเนื้อของจ้าวเซิ่งอิงออกมาได้ตลอดเวลา
เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ก็สัมผัสได้แล้วว่า มีกลิ่นอายผุกร่อนจำนวนมากที่บรรยายไม่ถูกกำลังกระแทกกับกายเนื้อของตัวเองอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับแมลง
กายเนื้อที่แข็งแกร่งทนทานส่งความรู้สึกทิ่มแทงอันแหลมคมมาภายใต้การกระแทกกระทั้นนี้
“คุณหนูเล็ก ถ้านี่เป็นวิชาลวงตาล่ะก็ ได้โปรดปลดออกด้วย ข้าน้อยเป็นแค่หมอที่ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่ด้วยซ้ำ ไม่ถนัดการต่อสู้ ขอให้เห็นใจด้วย” ลู่เซิ่งก้มหน้าวิงวอนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่าน…เข้ามาหาข้าเอง…ไม่ใช่หรือ” จ้าวเซิ่งอิงตอบเสียงกระท่อนกระแท่น นางจ้องมองลู่เซิ่งพร้อมส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
“ฮ่ะๆๆ…พลังของท่าน…น่าสนใจมาก” เหมือนกับไม่ได้พูดมานานมากแล้ว หลังจากพูดอยู่สักพัก นางก็เริ่มปรับตัวได้ ความเร็วในการพูดกลับเป็นปกติและคล่องกว่าเดิม
“แล้ว ท่านยังเป็นคุณหนูเซิ่งอิงหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ข้าเหรอ” จ้าวเซิ่งอิงยกมือขึ้น เม็ดเนื้อสีแดงนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาบนหลังมืออย่างต่อเนื่อง ไม่นานหลังมือก็บวมขึ้น
“ท่านเคยได้ยินเรื่องแก่นปฐมมาก่อนหรือไม่” นางเลียหลังมือที่บวมพอง ลิ้นที่มีหนามโค้งจำนวนมากพลันเลียเม็ดเนื้อบนนั้น พร้อมกับเคี้ยวและกินเข้าไป
เม็ดเนื้อเหล่านั้นแย่งกันงอกออกมา จากนั้นก็ถูกนางกินเข้าไป ดูเหมือนกับทรายแดงกองใหญ่หลายกอง
“แก่นปฐมหรือ” ลู่เซิ่งนิ่วหน้า เขาไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อน
“ข้าคือเมล็ดแห่งแก่นปฐม เชื้อเพลิงแห่งเมืองอมตะ ความประหลาดลี้ลับที่พวกเจ้าได้ยินมาเป็นผลลัพธ์ที่มีชีวิตต่อไปได้เพราะปนเปื้อนกลิ่นอายของพวกเรา” ‘จ้าวเซิ่งอิง’ อธิบายด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นโลกรูปจิตของข้า สวนบุปผาสิ้นโลก ถ้าหากท่านมีความสนใจ ก็สามารถเดินเล่นได้ตามใจ ทว่าตอนนี้ ข้าขอถามคำถามก่อนหน้านี้กับท่าน ท่านช่วยข้าสร้างวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ข้าได้หรือไม่ได้”
“นี่เป็นความต้องการของท่านหรือ” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“นี่เป็นความต้องการของข้าอีกคน” มุมปากของ ‘จ้าวเซิ่งอิง’ ตวัดเป็นเส้นโค้งประหลาดล้ำ
“จงเชื่อข้า จงติดตามข้า จงยอมสยบต่อข้า แล้วข้าจะให้ท่านทุกสิ่ง ทำให้หัวใจของท่านมีสุขชั่วนิรันดร์…”
ชิ้ง!
ด้านหน้าลู่เซิ่งพร่ามัว เขาพลันได้สติกลับมา ตนเองยังนั่งอยู่ด้านหน้าจ้าวเซิ่งอิง น้าเหมยจ้องมองมาจากด้านหน้าทางขวามืออย่างเคร่งเครียด
สายตาแข็งแกร่งสิบกว่าสายที่อยู่รอบๆ หยุดนิ่งอยู่บนร่างตน องค์รักษ์เหล่านี้รอจนหงุดหงิดแล้ว
ลู่เซิ่งค่อยรู้สึกตัว เขาถูกโลกรูปจิตห่อหุ้มเข้าไป จากนั้นก็กลับมาในพริบตาภายใต้เปลือกตาของคนจำนวนมากที่อยู่ด้านหน้าหรือนี่
คนพวกนี้ไม่มีใครสัมผัสได้สักคน
‘ร้ายกาจ…’ ลู่เซิ่งเพิ่งจะยกระดับพลังขึ้น เลยรู้สึกว่าตนถือเป็นหมายเลขหนึ่งแล้ว นึกไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็มีคนสอนบทเรียนให้
‘เชื้อเพลิงแห่งเมืองอมตะ เมล็ดแห่งแก่นปฐม…’ ลู่เซิ่งลอบจดจำชื่อสองชื่อนี้ไว้ เขาสังหรณ์ว่าเบาะแสต้องซ่อนอยู่ในคำสองคำนี้แน่
ความประหลาดลี้ลับคืออะไรกันแน่ พวกมันเกิดขึ้นได้อย่างไรและมาได้อย่างไร ที่พวกมันยึดติดอยู่ที่เดิมมาโดยตลอดเพราะมีเป้าหมายอะไร
ข้อสงสัยมากมายนี้ ลู่เซิ่งเคยขบคิดมาเมื่อนานมาแล้ว แต่ไม่เคยค้นเจอเหตุผล
เหตุใดพวกมันไม่ตาย เหตุใดถึงเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด
นอกจากนั้นดูท่าทาง ตัวจ้าวเซิ่งอิงกับน้าเหมยยังไม่ทราบถึงการดำรงอยู่ของเมล็ดแห่งแก่นปฐมนั่นด้วย
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักนิ้วกลับ
เขาหาอะไรไม่เจอเลย เนื่องจากพอด้ายกระตุ้นวิญญาณเข้าไปก็โดนพลังงานประหลาดที่พร่ามัวชนิดหนึ่งกินทันที จึงตรวจสอบรอบๆ ไม่ทัน
เขาจึงค่อยเข้าใจว่า บางทีนี่จึงเป็นความจริงของจอมสัจจะหมื่นรั่วไหลในร่างจ้าวเซิ่งอิง
“เป็นอย่างไรบ้างอาจารย์ลู่” จ้าวเซิ่งอิงมองเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง น้าเหมยที่อยู่ด้านข้างก็มองมาอย่างมีหวังเช่นกัน
ลู่เซิ่งครุ่นคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ
“คุณสมบัติร่างของคุณหนูเล็กน่าตกใจมาก ข้าน้อยทำอะไรไม่ได้เลย…”
จ้าวเซิ่งอิงพลันผุดสีหน้าผิดหวัง
“ทว่า ก็ไม่ใช่ไม่มีวิธีเสียทีเดียว” น้ำเสียงของลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลง หักมุมหนึ่งร้อยแปดสิบองศา
…
จุดที่หอฟ้าเมฆาระเบิดหายไปกลางอวกาศ ซากดาวเคราะห์จำนวนมากรวมตัวกันกลายเป็นวัตถุล่องลอยในสภาพเมฆหมอก และค่อยๆ ลอยไปลอยมาในความว่างเปล่าผืนนี้
กลางความมืดมิดเหมือนมีแรงฉุดที่บรรยายไม่ได้กำลังลากวัตถุล่องลอยเหล่านี้ให้มารวมตัวกันกลายเป็นเมฆาดาวขนาดเล็กๆ ผืนหนึ่ง
แคว่ก!
ทันใดนั้นร่องแยกสีเทาสายหนึ่งก็เปิดแยกออกท่ามกลางวัตถุล่องลอยกลุ่มหนึ่งอย่างฉับพลัน
ราวกับมีนัยน์ตาขนาดยักษ์ดวงหนึ่งเปิดขึ้นกลางความว่างเปล่า เงาร่างขนาดยักษ์สายหนึ่งค่อยๆ ชะโงกศีรษะออกมาจากในร่องแยกสีเทาที่ยาวมากกว่าร้อยหมี่
เงาร่างนี้ถูกแสงของดาวฤกษ์ที่อยู่ไกลออกไปสาดส่อง ร่างกายค่อยๆ ปรากฏออกมา
ยักษ์ไม่มีเส้นผม กลางหนังศีรษะที่ล้านเลี่ยนมีลวดลายซับซ้อนทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ติดอยู่
“ที่นี่อย่างนั้นหรือ จวงจิ้วตายที่นี่หรือ” เสียงของยักษ์ทุ้มต่ำดังกระหึ่มออกไปรอบๆ
“ขอรับ ท่านราชามารสวรรค์ที่สามที่เคารพ ร่างแยกและร่างหลักของใต้เท้าจวงจิ้วกลายเป็นเถ้าธุลีไปพร้อมกัน จากการแยกแยะเบื้องต้น น่าจะถูกสภาวะโจมตีย้อนกำเนิดจู่โจมใส่ หนำซ้ำยังเกิดขึ้นในพริบตาเดียว สูญสลายไปอย่างสมบูรณ์โดยไม่ทันได้ใช้วัตถุรักษาชีวิต จิตวิญญาณไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย” เงาสีดำพร่ามัวสองสามสายโผล่ขึ้นกลางอากาศ ท่อนบนของพวกเขาคือมนุษย์ซึ่งสวมผ้าคลุมสีดำผืนหนา ท่อนล่างคือหนวดเงาสีดำเหมือนกับงูที่ยาวมาก หนวดค่อยๆ บิดงอไปมากลางจักรวาล คล้ายกับมีวิถีเคลื่อนที่ที่ลี้ลับพิสดารชนิดหนึ่ง
ยักษ์หรี่ตาลง “ดังนั้นพวกเจ้าเลยได้แต่แจ้งข้าเพราะหมดวิธีแล้ว”
“พวกเราไม่มีคุณสมบัติบัญชาการการเคลื่อนไหวของท่าน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำสั่งที่ราชาสรรพวิญญาณสั่งลงมาด้วยองค์เอง” เงาดำหลายสายรีบอธิบาย
ราชาสรรพวิญญาณ ราชามารสวรรค์ที่หนึ่งแห่งโลกสรรพวิญญาณ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ปกครองโลกด้วย
ยักษ์เองก็ทราบว่า ในเมื่อเงาดำเหล่านี้ออกเคลื่อนไหวแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าจะต้องเป็นคำสั่งที่ท่านราชามารสวรรค์ที่หนึ่งสั่งแน่นอน
ดังนั้นแม้เขาจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอม เขาพลันกัดนิ้วตัวเอง จากนั้นแสงในสภาพหมอกสีรุ้งสองสายที่เหมือนกับปีกจั๊กจั่นด้านหลังก็ยิงแสงสีรุ้งสองสายออกมาอย่างฉับพลัน
แสงสีรุ้งลอยค้างอยู่ด้านหน้ายักษ์อย่างแผ่วเบา แล้วเขาก็ยื่นนิ้วที่ตนเองกัดกดใส่แสงรุ้ง
“รอยตรากาลเวลา เปิด!”
ยักษ์ตวาดเบาๆ แสงรุ้งพลันระเบิดออก
ด้านหน้าทุกคนที่อยู่รอบๆ เริ่มมีฉากก่อนหอฟ้าเมฆาระเบิดโผล่แวบขึ้นมา
กลไกลมากมายด้านในเส้นทางทดสอบ กำลังทำงานเหมือนกับกาลเวลาไหลย้อนกลับ
แสงพิษที่ยิงออกมาย้อนกลับไปในผลึก
หมอกพิษที่พ่นออกมาหดกลับในพริบตา กลายเป็นผลอวบอิ่มที่มีสีแดงฉานหยดย้อยหลายผล
สัตว์ประหลาดน่ากลัวที่พุ่งออกมาถอยหลังกลับไปอยู่ในกรงลับสำหรับผนึก
ฉากเหตุการณ์มากมายเล่นย้อนกลับอย่างต่อเนื่อง ยักษ์กับพวกเงาดำตรวจสอบภาพกาลเวลาที่เคยหลงเหลืออยู่ของมิติเวลานี้อย่างช้าๆ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามชั่วยามกว่า
“เจอแล้ว!” อยู่ๆ ยักษ์ก็ชะงัก ภาพด้านหน้าพวกเขาหยุดนิ่งในฉับพลัน
ภาพหยุดลงตอนที่ลู่เซิ่งพุ่งเข้าไปในร่องแยกสีขาวพอดี
“เจ้านี่ยังไม่ตายอีกเหรอ” ยักษ์เอ่ยอย่างประหลาดใจ
“ยังย้อนกลับได้อีกไหมขอรับ ภาพก่อนหน้านี้เล่า ส่วนนี้ไม่สมบูรณ์” เงาดำสายหนึ่งถามเสียงแผ่วต่ำ
“ไม่ได้แล้ว รอยตราส่วนนี้เบาบางมาก เหมือนกับถูกเปลวไฟของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรทำลาย ทำให้ย้อนกลับไม่ได้แล้ว” ยักษ์ส่ายหน้า
“หมายความว่า มารสวรรค์น้อยที่พวกเราคิดมาโดยตลอดว่าตายไปแล้วหนีไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย” กลับกัน มารสวรรค์ที่ห้าจวงจิ้วที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก และผู้เข้มแข็งมากมายของหอฟ้าเมฆาล้วนถูกอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรเผาจนราบคาบอย่างนั้นหรือ” เงาดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่บรรยายไม่ได้
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้หรือไม่ แต่การที่เขาหนีไปได้ก่อนที่จะเกิดอันตรายจริงๆ จะต้องมีเลศนัยแน่”
“ถูกต้อง หากเจอคนผู้นี้ อาจจะค้นพบความจริงส่วนหนึ่งก็ได้”
เงาดำหลายสายวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็ยืนยันประเด็นสำคัญ
“ความจริง ไม่ว่าอย่างไร จวงจิ้วก็เป็นหนึ่งในร่างมารสำรองของผู้ปกครองโลก พอเขาตายไปก็หมายความว่าผู้ปกครองโลกขาดไพ่ตายที่จะใช้ในการคืนชีพไปครั้งหนึ่ง หาคนผู้นี้ให้เจอก่อนค่อยว่ากัน” ยักษ์กล่าวตัดสินเป็นคนสุดท้าย “ไม่ว่าอย่างไร คนผู้นี้ก็สามารถหลบหนีไปได้ก่อนที่อันตรายจะมาถึง คล้ายกับคาดไว้แต่แรกแล้วว่าจะเกิดเรื่อง นี่หมายความว่าคนผู้นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
“ใต้เท้ากล่าวถูกต้องที่สุด เรื่องนี้ให้พวกเราตามรอยดูก่อนก็แล้วกัน สายเลือดและครอบครัวของคนผู้นี้ยังอยู่ครบ หากใช้พลังพิเศษของพวกเราแอบนำสายเลือดมานิดหน่อย จะต้องไล่ตามไปถึงตำแหน่งที่เขาอยู่ได้แน่” เงาดำคนหนึ่งเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นก็ขอฝากพวกเจ้าด้วย” ยักษ์พยักหน้าน้อยๆ “ข้าจะหลับลึกในรอยแยกสุเมรุ ถ้าจำเป็นสามารถปลุกข้าได้ตลอดเวลา”
“ขอบคุณใต้เท้าที่เชื่อใจ” เงาดำสายหนึ่งตอบเสียงทุ้ม
“ระวังตัวด้วย…เผ่าอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรรับมือยากเกินไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะปะทะกับสัตว์โบราณเหล่านี้” ยักษ์เตือนเบาๆ
“เรื่องนี้พวกเราย่อมเข้าใจ” เงาดำพยักหน้าน้อยๆ
“อือ ไปเถอะ” ยักษ์โบกมือ
เงาดำกลุ่มหนึ่งพลันมุดเข้าไปในความว่างเปล่าเหมือนกับกระสวย ก่อนจะหายไปในพริบตา
ยักษ์ยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งเงาดำจากไปทั้งหมดแล้ว จึงค่อยเบือนหน้ามองความว่างเปล่าตรงตำแหน่งที่หอฟ้าเมฆาระเบิด
เมื่อนักฆ่าเงาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกสรรพวิญญาณลงมือ อย่างไรก็ต้องเจอคนแน่นอน จำเป็นต้องตรวจสอบว่าเหตุใดอยู่ๆ จวงจิ้วจึงมายังอาณาเขตเขตนี้
ตามเหตุผลไม่ควรจะปล่อยให้แผนการด้านนี้รั่วไหล ทุกๆ การกระทำของราชามารสวรรค์ที่ห้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างจวงจิ้วซึ่งมีพลังระดับมายาพิศวง มีขุมกำลังไม่น้อยคอยจับตามองอยู่
อยู่ๆ ก็ส่งร่างแยกมาที่นี่อย่างอธิบายไม่ได้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
ในเวลาสำคัญแบบนี้ จะให้เกิดปัญหาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
‘หวังว่าทางมารดาแห่งความเจ็บปวดจะไม่พบร่องรอยอะไร…ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องเริ่มแผนการก่อนกำหนดแล้ว’
ยักษ์กวาดตามองทิศทางที่ระบบดาวปรภพอยู่ด้วยสายตาเย็นชา แล้วหมุนตัวเดินหายเข้าไปในร่องแยก
ร่องแยกสีเทาหายตามไปด้วย
……………………………………….