ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 650 เลือก (2)
650 เลือก (2)
“ง่ายดายมาก ก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นจนถึงขั้นที่ทำให้อีกฝ่ายซึ่งอยากจัดการเจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล พอเป็นแบบนี้ ต่อให้พวกเขารู้ว่าเป็นเจ้าก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะพวกเขาจ่ายค่าตอบแทนที่ต้องกำจัดเจ้าไม่ไหว” หมีก่วงอิงเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือเจ้าต้องมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งมากพอ ทำให้อีกฝ่ายอยากตีหนูแต่กลัวภาชนะเสียหาย”
“ขอถามอีกคำถาม ท่านรู้ไหมว่าเขตดาวที่ข้าอยู่มีสมาคมธวัชเหล็กกี่คน” ลู่เซิ่งเหมือนถามคำถามที่ไม่สำคัญ
“ไม่แน่ใจ แต่ถ้าระดับของเจ้าสูงขึ้น ก็จะสามารถเข้าร่วมกับกลุ่มก้อนต่างๆ ได้ตามพื้นที่ ตำแหน่งที่ชัดเจนจะไม่แสดงให้เห็น แต่ในกลุ่มมีการแบ่งแยกสมาชิกตามระบบสายน้ำ สมาชิกทั้งหมดจะอยู่ในนั้น” หมีก่วงอิงยิ้ม
“นอกจากนั้นขอเตือนอีกสักประโยค สมาคมธวัชเหล็กเป็นเพียงองค์กรระดับบนค่อนไปทางสูงเท่านั้น ยังมีองค์กรอื่นๆ อีกไม่น้อยที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา จงอย่าประมาท”
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ
“อย่างนั้น เจ้าพิจารณาหรือยังว่าจะให้ข้าช่วยอะไร” หมีก่วงอิงเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ขอบอกก่อนนะว่าข้ารับมือมายาพิศวงไม่ไหว เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเชียว”
“ไม่เป็นไร อย่างมากสุดท่านแค่ต้องรับมือขอบเขตลวงตาเท่านั้น หลักๆ คือช่วยคุ้มครองครอบครัวข้าก็เพียงพอแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ไม่มีปัญหา ในช่วงสามปีนี้ข้าไม่ได้ยุ่งอยู่แล้ว ขอแค่เจ้าช่วยแก้ไขพิษของลุงข้าได้ ข้าช่วยเจ้าสามสิบปีก็ไม่มีปัญหา!” หมีก่วงอิงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม
“กล่าวได้ดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า พิษนั้นเขาลองดมกลิ่นดูแล้ว หากคิดจะแก้ไข ยุ่งยากมากจริงๆ แต่เขาเป็นมนุษย์พิษที่มีพิษเต็มตัวอยู่แล้ว กอปรกับมีวิชารักษาที่มีแบบแผนระดับแปดร้อยกว่าๆ อยู่ด้วย
ถึงจะแก้พิษไม่ได้ ก็บรรเทาได้โดยไม่มีปัญหา
“ถึงเวลานั้นค่อยใช้แร่ดิบประกาศภารกิจ ข้าจะไปหาผ่านประตูส่งตัวของเจ้า” หมีก่วงอิงเสนอแนะ
“ได้ ขอฝากทุกอย่างกับท่านด้วย” ลู่เซิ่งพยักหน้า
หลังจากปิดการสื่อสาร เขาก็เริ่มทดสอบพิษกับเลือดในขวดทันที
หลังจากทดสอบผ่านค่ายกลอักขระตรวจสอบที่ซื้อจากตลาดในสมาคมธวัชเหล็กแล้ว สภาพและรายละเอียดของพิษก็ถูกวิเคราะห์ออกมา
พิษทั้งหมดสามสิบสองหมื่นชนิดผสมกัน พิษทุกชนิดเชื่อมต่อกันกลายเป็นค่ายกลอักขระพิษขนาดยักษ์อันสมบูรณ์
พิษนี้เหมือนกับผลรวมจากการประสานของพิษกับค่ายกล
แต่ดีที่ลู่เซิ่งมีประสบการณ์ในด้านค่ายกลเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่ได้เก่งกาจทางด้านเคมี แต่ก็ซื้อข้อมูลจากสมาคมธวัชเหล็กมาเรียนรู้ผ่านดีปบลูได้
ไม่นานก็เพิ่มความรู้ที่ขาดไปในแต่ละด้านถึงจุดสูงสุดเรียบร้อย
ทั้งหมดใช้พลังอาวรณ์ไปสามสิบกว่าหมื่นหน่วย ในที่สุดลู่เซิ่งก็เข้าใจระบบความรู้ทั้งหมดที่จำเป็นในการขจัดพิษแล้ว
ความรู้อันน่ามหัศจรรย์มากมายของวิชามรรคายุทธ์ที่ใช้ในการขจัดพิษสิบกว่าวิชาถูกดีปบลูกลืนกินเข้าไป จากนั้นก็ทำความเข้าใจแทนเขา
ดีที่ตอนนี้เขามีพลังอาวรณ์เยอะกว่าอย่างอื่น แม้ดีปบูลจะได้แค่แยกแยะวิชามรรคายุทธ์ก็ตาม
แต่ลู่เซิ่งกลับมุดช่องโหว่ได้โดยสิ้นเชิง โดยการนำวิชาลับเคล็ดความสามารถสำหรับศึกษามาใช้เป็นเป้าหมายในการพัฒนา เมื่อเป็นแบบนี้ วิชาที่จำเป็นต้องมีความรู้และสาขาวิชาหลายศาสตร์หลายแขนง จะเท่ากับครอบครองสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกันอีกกลุ่มหนึ่งโดยสมบูรณ์ตอนที่ฝึกฝน
ลู่เซิ่งหยุดอยู่ที่สมาคมธวัชเหล็กสามวันกว่าๆ จึงค่อยศึกษาสิ่งมีชีวิตที่มีคุณลักษณ์ต้านทานพิษออกมาได้สำเร็จ
จากนั้นเขาก็เอาตัวต้านทานแบบมีชีวิตไปหาหมีก่วงอิง ต่อมาทั้งสองก็ปรึกษาเนื้อหาอย่างเป็นรูปธรรมของการร่วมมือระหว่างกันจนเรียบร้อย
หมีก่วงอิงจะจุติไปยังโลกปรภพที่สาม เพื่อตามหาครอบครัวของลู่เซิ่งรวมถึงคนของสำนักมารกำเนิดในต้าซ่งผ่านแร่ดิบ จากนั้นจะอพยพทุกคนออกจากดาวปรภพมาถึงนครตราชั่ง
ขณะเดียวกันลู่เซิ่งจะยกระดับสิทธิ์ของตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มีสิทธิ์รับคนเข้ามาพำนักในนครหลวงมากกว่าเดิม
ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่เขตใหญ่ที่สี่คงไม่อาจปกป้องครอบครัวได้
นอกจากนี้ยังเหมือนอย่างที่หมีก่วงอิงบอกไว้ ความจริงขอแค่เขาแข็งแกร่งมากพอ ก็จะทำให้ขุมกำลังสายจวงจิ้วเลิกหมายหัวตนไปได้ สมกับคำพูดว่าตีหนูกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย
ถ้าหากเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวง อย่างนั้นต่อให้ถูกพบว่าเขาต่างหากที่ทำลายดาวเคราะห์ดวงหนึ่งของสำนักนทีคราม แถมยังฆ่าจวงจิ้วทิ้ง ก็จะไม่มีใครหาเรื่องเขาอยู่ดี
มารสวรรค์มายาพิศวงไม่ได้หมายถึงพลังต่อสู้ตามจริงในระดับมายาพิศวงเท่านั้น ยังมีคุณสมบัติอมตะที่อาวุธทำอะไรไม่ได้ด้วย
มิหนำซ้ำผู้เข้มแข็งมายาพิศวงที่ทำลายจวงจิ้วกับดาวเคราะห์ดวงหนึ่งได้ ก็สุดที่ผู้เข้มแข็งระดับเดียวกันทั่วไปจะเทียบเคียงได้เช่นกัน
ลู่เซิ่งไม่ได้ช่วยขจัดพิษให้แก่ลุงของหมีก่วงอิงโดยตรง หากแต่สร้างยาขจัดออกมาทีละนิดๆ แล้วค่อยส่งไปหลังเจือจางแล้ว
แต่ตัวเขาไม่ได้ไปด้วย
ประสิทธิ์ผลปรากฏอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบแทน หมีก่วงอิงที่โล่งใจแล้วได้เป็นตัวแทนลุงของตัวเองโอนค่าความดีความชอบราวสามสิบหมื่นคะแนนให้ลู่เซิ่งเป็นรางวัล
ลู่เซิ่งเจอวิธีที่ใหม่ที่ใช้หาค่าความดีความชอบได้ไวกว่าเดิมแล้ว
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เขาต้องเปลืองพลังอาวรณ์ไปตั้งมากมาย แต่ของที่ได้มากลับเป็นแค่วิธีขจัดพิษชนิดหนึ่งเท่านั้น
ผ่านไปราวห้าวัน ลู่เซิ่งก็สร้างยาขจัดเสร็จสิ้น และส่งไปให้หมีก่วงอิงทั้งหมด
ทางนั้นโอนค่าความดีความชอบมาสามสิบหมื่นเป็นค่าตอบแทนสุดท้าย
ความมากมายมหาศาลของตัวเลขนี้ทำให้ลู่เซิ่งเข้าใจว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ลุงผู้อยู่เบื้องหลังหมีก่วงอิงท่านนั้นจะเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งที่มีพลังเหี้ยมหาญ
อย่างน้อยต้องผู้ยิ่งใหญ่ระดับมายาพิศวงเช่นกัน
กระนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในระดับไหน อย่างน้อยครั้งนี้ก็ซื้อคัมภีร์ย่อยของวิชาการฝึกฝนหลักได้แล้ว
ถึงแม้จะเป็นวิชาที่ถูกที่สุด แต่ลู่เซิ่งไม่สนใจว่าจะถูกหรือไม่ถูก ขอแค่เบียดเข้าระดับนั้นได้ ดีปบูลจะเรียนรู้และปรับปรุงจนเคล็ดวิชานั้นแข็งแกร่งถึงจุดสูงสุดให้แก่เขาเอง
ถึงอย่างไรขอแค่มีพลังอาวรณ์เพียงพอก็เป็นอันใช้ได้
…
ม่านแสงค่อยๆ ไหลลงด้านล่าง วิชาระดับมายาพิศวงมากมายวาดผ่านตาของลู่เซิ่งไปอย่างต่อเนื่อง
เขาจ้องมองม่านแสงโดยที่ตาไม่กะพริบ ด้วยต้องการหาวิชาที่ถูกที่สุดและคุ้มค่าที่สุด
ไม่นานนัก ในที่สุดม่านแสงก็ถูกเขาลากไปถึงกรอบสุดท้าย
กรอบสุดท้ายของวิชามายาพิศวงทั้งหมด
ในมือเขามีวัตถุดิบและตำรับยาหลายชนิดที่บางครั้งจำเป็นต้องซื้อเข้าๆ ออกๆ ตลอดเวลาเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ
นอกจากค่าใช้จ่ายแล้ว ค่าความดีความชอบตามจริงในตอนนี้มีอยู่หนึ่งร้อยสามสิบกว่าหมื่นคะแนน
และในบรรดาวิชาที่โผล่มาบนกรอบสุดท้ายมีสามวิชาซึ่งมีราคาต่ำกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบหมื่น…
สองวิชาในนี้ระบุว่าเป็นคัมภีร์ย่อย ส่วนอีกวิชาหนึ่งบกพร่อง เขาย่อมเลือกคัมภีร์ย่อยที่สมบูรณ์
‘หวังว่าครั้งนี้จะจัดการได้อย่างสมบูรณ์นะ ต่อให้วิชาการฝึกฝนจะไม่ใช่สายหลักก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ผ่านไปได้อยู่แล้ว’
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ตอนที่ลู่เซิ่งมองชื่อของคัมภีร์สามเล่มสุดท้ายนี้ ก็รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง
“เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดู: ไม่ทราบว่าเป็นเคล็ดวิชาพิเศษที่มายาพิศวงท่านไหนแผ้วทางบัญญัติขึ้น อาจจะเป็นเพราะศีรษะโดนตบจนเกิดความคิดพิสดาร หรือไม่ก็เป็นเคล็ดวิชาแปลกแยกที่ผู้ยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อเป้าหมายพิเศษบางอย่าง หลังจากสำเร็จวิชานี้แล้ว จะทำให้ชีวิตและสสารทั้งหมดในรัศมีสิบหมื่นลี้บรรลุถึงขีดสูงสุดของความอุดมสมบูรณ์ได้ เป็นวิชาที่ดีที่สุดที่อารยธรรมซึ่งเจริญรุ่งเรืองต้องการ เหมาะที่จะใช้สนับสนุนเคล็ดวิชาการฝึกฝนหลัก ราคา: ค่าความดีความชอบหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดหมื่นคะแนน”
“วิชาเสน่ห์กระจับแดงหอมหวน: วิชาเฉพาะตัวที่ราชันฟ้าสุคนธ์สร้างขึ้น มีเอกลักษณ์ที่มีกลิ่นหอมอันล้ำลึก ทำให้สิ่งมีชีวิตงดงามโดยกำเนิด ล่อลวงได้ทุกสิ่ง ราคา: ค่าความดีความชอบหนึ่งร้อยสามสิบหกหมื่นคะแนน”
‘…วิชาสองวิชานี้ ทำให้เราไม่มีทางเลือกจริงๆ…’
ลู่เซิ่งได้แต่มองไปยังวิชาบกพร่องวิชาสุดท้ายอย่างจนปัญญา
“วิชาทรายพิษเก้าหงส์: วิชาพิเศษที่ผู้บำเพ็ญพิษฝึกฝนเป็นหลัก ผลผลิตที่ผู้บำเพ็ญพิษซึ่งสูญพันธุ์มาแล้วหลายร้อยหลายหมื่นปีทิ้งเอาไว้เหลืออยู่ไม่มากนัก วิชานี้เป็นหนึ่งในนั้น มีความเป็นสากลสูงสุดขีด พรรควิถีมารและพรรคทางนอกรีตจำนวนมากต่างก็ดูดซับแก่นสารและแนวคิดส่วนหนึ่งในนี้ มาทำเป็นวิธีการใช้วิชาต้องห้ามหรือวิชาลับพื้นฐานในสำนักค่ายพรรคของตน จุดเด่นคือสำเร็จได้เร็ว ช่วงแรกๆ เพิ่มระดับได้ไวสุดขีด ช่วงกลางช้าสุดขีด ช่วงหลังถ้าหากเลื่อนระดับได้ก็จะเร็วสุดขีดเช่นกัน ราคา: ค่าความดีความชอบหนึ่งร้อยหมื่นคะแนน (ข้อควรระวัง: มีแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ที่เหลือหายสาบสูญไปแล้ว)”
ลู่เซิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ลังเลกับวิชาสามวิชานี้
ไม่นานนัก เขาก็ตัดวิชาเสน่ห์ออกไปก่อน ถ้าฝึกวิชานี้จริงๆ คงกลายเป็นคนวิปริตไปแล้วแน่ๆ
เหลืออีกสองวิชา…
‘ดูเหมือนเราจะไม่มีทางเลือกอย่างที่คิดไว้…’ ลู่เซิ่งถอนใจยาว ในที่สุดก็จิ้มวิชาหนึ่งในนี้อย่างแรง
เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดู!
‘ต่อให้จะเป็นเคล็ดวิชาสนับสนุนที่ไม่มีคุณสมบัติโจมตีอะไรเลย แต่ก็มีส่วนช่วยอย่างใหญ่หลวงต่อการปรับปรุงโลกรูปจิตของเรา อย่างน้อยทะลุทะลวงขอบเขตลวงตาไปก่อนค่อยว่ากัน! วิชาของผู้บำเพ็ญพิษนั่นบกพร่อง เกิดว่าภายหลังขาดอะไรไป มาร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว สิ่งที่เราต้องการในตอนนี้คือการหาเคล็ดวิชามายาพิศวงที่สมบูรณ์มาเป็นตัวอ้างอิง’
ลู่เซิ่งตัดสินใจเด็ดขาด ความพยายามในช่วงเวลานี้หายวับไปกับตา หากบอกว่าไม่เสียดายก็คงโกหก
เพียงแต่เขาไม่มีทางเลือก
ค่าความดีความชอบหนึ่งร้อยกว่าหมื่นคะแนนหมดเกลี้ยงในทันที
หลังจากนั้นสองสามวินาที แสงสีเงินจุดหนึ่งก็ลอยออกมาจากม่านแสงแล้วพุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของลู่เซิ่ง
เนื้อหาเกี่ยวกับเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูทะลักเข้าสู่สมองของเขา
ตั้งแต่ชูศัตราถึงลวงตา เป็นการก้าวข้ามและการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติตั้งแต่ในดวงดาวถึงขอบดวงดาว
ถ้าหากบอกว่าชูศัสตราเป็นผู้เข้มแข็งที่ปกครองดาวเคราะห์ได้ อย่างนั้นขอบเขตลวงตาก็คือผู้บำเพ็ญที่ก้าวออกจากดาวเคราะห์แล้วเข้าสู่นภาดาวเป็นครั้งแรก
พวกเขาเดินทางกลางนภาดาวในขั้นเบื้องต้นได้ และมอบเสบียงนับไม่ถ้วนให้แก่ความต้องการของตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกเป็นเวลานาน ไม่ได้พึ่งพาวัตถุสิ่งของเหมือนตอนเป็นชูศัสตราอีก
ขอบเขตนี้เน้นที่การฝึกฝนด้านวิญญาณและจิตใจเป็นหลัก
เคล็ดวิชาในม่านแสงมีข้อมูลที่บรรจุอยู่เยอะถึงขีดสุด ส่วนตั้งแต่ขอบเขตลวงตาถึงมายาพิศวงล้วนอยู่ครบ
ลู่เซิ่งเข้าใจสาเหตุหลักที่ตนยังไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตลวงตาได้ในทันที
จิตวิญญาณเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือกฎเกณฑ์ ความเข้าใจ และความรู้ที่มีต่อโลก
หากยึดตามคำพูดในเคล็ดวิชา หลังจากไปถึงจุดสูงสุดของชูศัสตรา และหลังจากจิตวิญญาณมีความจุถึงขีดจำกัดแรก ครั้งแรกจำเป็นต้องกลั่นกรองและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณของตัวเองเพื่อกำจัดสิ่งเจือปนด้านในออกไปผ่านการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์
ขั้นที่สอง คือการรวมสัญญะเทพไว้บนจิตวิญญาณของตัวเอง ซึ่งนี่จะเกิดจากการรวมตัวของเทวลักษณ์และตราเทวะนับไม่ถ้วน
หลังจากสัญญะเทพเป็นรูปเป็นร่าง ยังต้องการการชุบหลอมแบบชี้ทิศทางอีกขั้นหนึ่ง ถึงจะมีผลของดินสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ชีวิต แร่ธาตุ และพืชพรรณที่อยู่รอบๆ เจริญรุ่งเรืองตามธรรมชาติ
ยิ่งกฎที่ทำความเข้าใจมีมากและปรับปรุงดีขนาดไหน สัญญะเทพที่รวมตัวก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น
ซึ่งความจริงสัญญะเทพเทียบได้กับวัฏจักรพลังงานเล็กๆ ที่พกติดตัว มารสวรรค์ก็ดี เผ่าพันธุ์ในระบบอื่นๆ ก็ดี ต่างก็ไม่หลุดออกจากระบบนี้
แต่จุดหนึ่งที่ลู่เซิ่งสังเกตเห็นก็คือ จริงๆ แล้วสิ่งที่จำเป็นที่สุดตั้งแต่ชูศัสตราถึงขั้นสุดท้ายของขอบเขตลวงตา คือการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทางจิตวิญญาณ
แม้เขาจะมีดีปบลูช่วยเหลือ แต่ด้านนี้ยังบกพร่องอีกมาก
เทียบกับชูศัสตราในบ้านเก่าอย่างดาวปรภพแล้ว เขาถือว่าทำความเข้าใจได้เป็นจำนวนมาก แต่ถ้าเทียบกับขอบเขตลวงตา ขอบเขตลวงตาที่ต้องฝึกฝนเป็นเวลาหลายหมื่นปี ต้องสั่งสมหลายสิ่งหลายอย่าง มีประสบการณ์อุดมสมบูรณ์ และพึ่งพิงขุมกำลังยักษ์ใหญ่ มีใครบ้างที่ไม่ใช้เวลาหลายหมื่นปีค่อยเลื่อนระดับสำเร็จ
‘เวลาน้อยเกินไป ดูเหมือนต้องจุติไปยังโลกใบอื่นเพื่อฝึกฝนถึงจะคุ้มค่า หาโลกที่มีการไหลของเวลาแตกต่างกันมากที่สุดก็แล้วกัน ถ้าแค่ศึกษาการทำความเข้าใจในด้านจิตใจ ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องระดับพลังงานก็ได้ หากเป็นแบบนี้ ยังสามารถขยายความเร็วในการไหลของเวลาให้กว้างขึ้นได้อีก…’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
……………………………………….