ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 658 วางหมาก (2)
บทที่ 658 วางหมาก (2)
“แน่ใจนะ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น
หงเฉิ่นลู่ที่อยู่ด้านข้างค่อยๆ ชักมีดสั้นออกมา ดวงตาฉายประกายดุร้าย
หลินเซิ่งหย่ากำลังจะโพล่งว่า ‘ไม่ไป’ อยู่ๆ หางตาก็เหลือบเห็นการเคลื่อนไหวของหงเฉินลู่ที่อยู่ใกล้ๆ พลันขนลุกขนพอง
“ฉันจะคิดดูอีกที” เธอรีบกล่าวยินยอม
“จะไปหรือไม่ไป!?” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“ไปๆ! ฉันไป!” หลินเซิ่งหย่ารู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคมมีดเย็นเยียบจ่ออยู่ พลันร่างแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน
“จริงสิ คนที่โทรบอกฉันคนนั้น เป็นแม่เธอเหรอ” ลู่เซิ่งถามอีก
“ใช่…” เวลานี้หลินเซิ่งหย่าแน่ใจแล้วว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นพวกนอกกฎหมายที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน
ชุดที่สวมอยู่บนร่างเป็นเครื่องแบบตัดเย็บที่เหมือนกับเครื่องแบบทหาร แสดงให้เห็นว่าคนคนนี้ไม่เห็นกฎหมายในสายตาอยู่แล้ว จึงไม่สนใจกฎข้อบังคับของสหพันธ์ต่อเครื่องแบบทหารโดยสิ้นเชิง
มีรูปแบบเดียวกันกับผู้ก่อการร้ายนอร์สันในเรื่องเล่า
หลังยืนยันเรื่องนี้ได้แล้ว ลู่เซิ่งจึงค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เอาล่ะ นำทางเถอะ”
กลุ่มคนพาจ้าวหลงขุยออกจากคฤหาสน์ไปอย่างรวดเร็ว มือถือของทุกคนในคฤหาสน์ไม่มีสัญญาณ โทรศัพท์โดนตัดสาย การติดต่อกับโลกภายนอกถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์ ถูกควบคุมตัวเอาไว้
ลู่เซิ่งกับหลินเซิ่งหย่าออกจากคฤหาสน์ มีคนขับรถสปอร์ตสีเงินของหลินเซิ่งหย่ามาจอดด้านหน้าคนทั้งสอง
ลู่เซิ่งเปิดประตูแล้วเข้าไปในนั่งเป็นคนแรก หลินเซิ่งหย่ากับหญิงชุดดำอีกคนขึ้นไปนั่งเบาะหลัง
หงเฉิ่นลู่นั่งบนที่นั่งคนขับ
ด้านหลังพวกเขายังมีรถพรางตัวมากกว่าสิบคันในลักษณะต่างๆ กันติดตามไปด้วย ด้านในคือสมาชิกที่มาจากกลุ่มบอดี้การ์ดใต้อาณัติของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งออกคำสั่งไม่ให้ลงมือกับบ้านหลักตระกูลจัวในทันที หากแต่ให้ล้อมเอาไว้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก
ตอนนี้ผู้เป็นตาของร่างร่างนี้อยู่ที่บ้านหลัก เขาอยากจะเห็นนักว่าตระกูลจัวในตอนนี้มีสภาพแบบไหน
บ้านหลักตระกูลจัวอยู่ห่างจากตึกรัฐบาลประจำเมืองไม่ถึงร้อยเมตร มีร้านค้าและสถานีรถไฟแออัดอยู่รอบๆ
ตอนที่พวกลู่เซิ่งไปถึง นอกจากคนของหัตถ์แห่งประกายนิลที่อยู่รอบๆ แล้ว ที่เหลือก็คือตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนมาก
พอลู่เซิ่งออกหน้าก็สัมผัสได้ในทันทีว่า มีไรเฟิลระยะไกลอย่างน้อยสิบกว่ากระบอกเล็งเส้นทางที่ต้องผ่านของที่นี่เอาไว้
“เธอพาฉันเข้าไป” เขามองหลินเซิ่งหย่า
หลิ่นเซิ่งหย่าสีหน้าเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายก็ตอบรับ
เธอคอยสังเกตพวกลู่เซิ่งมาตลอดทาง กลับไม่พบสีหน้าลนลานใดๆ เหมือนกับพวกเขาคิดว่าสิ่งที่ตนกำลังจะเจอเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเท่านั้น
นี่ทำให้เธอทั้งสงสัยทั้งตกใจ
เธอไม่รู้ว่าต้องมีความมั่นใจขนาดไหน ถึงมีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมปานนี้ได้ในตอนที่เผชิญหน้ากับอิทธิพลยิ่งใหญ่อย่างตระกูลจ้าวและตระกูลจัว
คำขอของลู่เซิ่งหลังลงจากรถอยู่ในการคาดเดาของเธออยู่แล้ว
ส่วนเรื่องเครื่องแบบทหารของลู่เซิ่ง เธอมีการคาดเดาในใจอยู่สองสามข้อ แต่ก็ไม่กล้าไปขุดคุ้ย
“ไปเถอะ” หลินเซิ่งหย่าจัดแจงเดรสบนตัว ก่อนจะเดินนำไปยังคฤหาสน์ของบ้านหลักตระกูลจัวอย่างเป็นธรรมชาติ
รอบๆ คฤหาสน์เหมือนสงบเงียบ แต่ไม่ทราบว่ามีสายลับซ่อนตัวอยู่มากขนาดไหน
ลู่เซิ่งตามไปติดๆ จนถึงด้านหน้าประตูเหล็ก ก่อนจะกดกริ่งเบาๆ
ติ๊งต่อง…
“ใครเหรอครับ”
“ฉันเอง” หลินเซิ่งหย่าตอบอย่างราบเรียบ
“คุณหนูหย่านี่เอง”
ประตูเหล็กเปิดออกอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนก้าวเข้าไป ก่อนจะมีคนรับใช้มาต้อนรับทันที
“พาฉันไปหาคุณตาหน่อย” หลินเซิ่งหย่าเอ่ยเสียงทุ้ม
“นายท่านผู้เฒ่ากำลังปรึกษาธุรกิจกับคุณฮอลส์อยู่ที่ห้องพรีเซนต์ทางขวามือครับ” ลูกน้องรีบตอบ
แม้หลินเซิ่งหย่าจะไม่ได้ใช้แซ่จัว แต่ก็ได้รับความเอ็นดูในบ้านไม่น้อย ต่อให้ช่วงนี้จะห่างเหินกับนายผู้เฒ่าอยู่บ้าง แต่ยังคงเป็นหลานสาวของตระกูลจัวอยู่ดี
“นำทางที” หลินเซิ่งหย่าอดมองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างไม่ได้
ทั้งสองคนไม่พูดไม่จาอะไรกัน จนกระทั่งคนรับใช้พาไปถึงด้านหน้าห้องห้องหนึ่งในคฤหาสน์ที่อยู่บนชั้นสองทางขวามือ ลู่เซิ่งจึงค่อยๆ ถามว่า
“ฮอลส์เป็นใคร”
“…รองนายกเทศมนตรีที่ดูแลเมืองคุนหนี…” หลินเซิ่งหย่าสำรวจสีหน้าของลู่เซิ่งอย่างตั้งใจ แต่ยังคงไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ก๊อกๆๆ
เธอยื่นมือไปเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามาเลยเสี่ยวหย่า” เสียงแหบพร่าแก่ชราของจัวซินเฉิงดังออกมาจากด้านใน
ไม่รอให้หลินเซิ่งหย่าเปิดประตู ลู่เซิ่งก็บิดที่จับประตูแล้วเดินนำเข้าไปก่อน
ในห้องมีชายชราน่าเกรงขามผมหงอกขาวคนหนึ่ง เขาถือไม้เท้า ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
อีกคนคือสุภาพบุรุษวัยกลางคนสวมสูทขาวที่มีบุคลิกสง่า กำลังจ้องมองลู่เซิ่งที่ผลักประตูเข้ามาอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“แก?” จัวซินเฉิงจำลู่เซิ่งได้ทันที
“ผมเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “บอกมาเสียดีๆ ว่าเรื่องของพ่อผมคืออะไรกันแน่”
จัวซินเฉิงค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับหลินเซิ่งหย่าอย่างกรุ่นโกรธเล็กน้อย ก่อนจะมองลู่เซิ่งอีกครั้ง สายตาหยุดนิ่งบนเครื่องแบบทหารพิเศษบนตัวอีกฝ่าย
“จัวเจิ้นอวี่? แกมาทำอะไร เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ พ่อแกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไปหาเรื่องคนของตระกูลจ้าวเข้า แถมยังไม่ยอมสำนึก จนสุดท้ายก่อปัญหาขึ้น เหอะ! การที่พี่ใหญ่โอนหุ้นทั้งหมดเป็นชื่อเขาคือความผิดพลาดแท้ๆ!”
“แล้วคุณล่ะ คุณมองอะไรออกหรือยัง” ลู่เซิ่งสังเกตเห็นชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง คนคนนี้กำลังขมวดคิ้วจ้องมองอินทรธนูบนบ่าตัวเองอยู่
เห็นได้ชัดว่าจัวซินเฉิงกับคนคนนี้เป็นคนมีความคิดความอ่านลึกซึ้ง เมื่อเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนหน้า กอปรกับตอนนี้ลู่เซิ่งที่เดิมทีควรเป็นนักเรียนธรรมดากลับสามารถทำให้หลินเซิ่งหย่าพาเข้ามาที่นี่อย่างเปิดเผยได้
ไม่ว่าใครก็รู้สึกถึงปัญหา
“ชุดที่คุณสวมอยู่ เป็นชุดหัตถ์แห่งประกาย…” ฮอลส์ถามอย่างระมัดระวัง เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยเห็นเครื่องแบบทหารที่มีลักษณะแบบนี้มาก่อน แต่อินทรธนูของอีกฝ่ายเป็นสีดำและสีแดง กลับไม่เคยเห็นสีทองเข้มมาก่อน
“เหอะๆ” ลู่เซิ่งไม่ได้ตอบ หากเดินไปตรงกลางห้อง แล้วพิจารณารอบๆ
“เรื่องของพ่อผม ตอนแรกนึกว่าต่อให้ตระกูลจัวจะเป็นยังไง ก็ไม่น่าจะปล่อยให้หัวหน้าตระกูลเกิดเรื่อง น่าเสียดาย พวกคุณทำให้ผมผิดหวัง” เขาเอื้อมมือไปหยิบดอกกุหลาบสีขาวในแจกันบนโต๊ะขึ้นมา
“จัวเจิ้นอวี่ ดูเหมือนหลายปีมานี้แกจะสร้างชื่อขึ้นมาได้หน่อยหนึ่ง แต่แกต้องรู้ด้วยว่าสิ่งที่แกเผชิญหน้าคือขุมกำลังระดับไหน” จัวซินเฉิงกล่าวพลางทำหน้าอึมครึม “นึกว่ามีตำแหน่งขึ้นมาได้แค่นี้แล้ว จะเข้าร่วมการวางหมากของตระกูลจัวได้เหรอ”
เขากดปุ่มลับบนไม้เท้า
“เข้ามา!”
ด้านนอกเงียบกริบ ไม่มีใครตอบสักคน
จัวซินเฉิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่จิตใจกลับหนักอึ้ง แม้แต่ฮอลส์ก็ไม่ได้เยือกเย็นเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว
“พวกคุณอ่อนแอเกินไป…” ลู่เซิ่งลูบไล้ก้านดอกที่มีหนามแหลมของดอกกุหลาบ “ไม่รู้จักเหตุผลที่ว่า มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นถึงจะเกาะกลุ่มกัน คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงล้วนโดดเดี่ยว การเกาะกลุ่มทำให้มีที่พึ่ง เมื่อมีที่พึ่ง ก็จะเกิดความอ่อนแอ ความเกียจคร้าน และความอืดอาดเฉื่อยชา”
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! ไร้สาระ! เข้ามาสิ! ไปอยู่ไหนกันหมด!” จัวซินเฉิงตบไม้เท้าอย่างแรง แม้หน้าตาจะยังคงดุร้าย แต่กลับเห็นเหงื่อบนหน้าผากได้ลางๆ แล้ว
ลู่เซิ่งเดินไปถึงด้านหน้าเขา
เปรี้ยง!
แล้วตบใส่ศีระของจัวซินเฉิง
จัวซิงเฉิงที่อายุเลยเลขแปดแล้วถูกตบจนกระเด็นออกจากที่นั่ง แล้วไปชนเก้าอี้กับเฟอร์นิเจอร์หลายตัวที่อยู่ทางซ้ายจนพังไม่มีชิ้นดี
อั่ก…โอ๊ก!
จัวซินเฉิงกระอักเลือดออกมา คิดจะใช้สองมือยันร่างขึ้นมา แต่กลับไม่มีแรง
“เกินไปหน่อยมั้ง” ในที่สุดฮอลส์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นด้วยสีหน้าอึมครึม “ยังไงเขาก็เป็นตาของคุณนะ”
ปังๆ!
อยู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงปืนที่หนาแน่นดังมาเป็นระลอก เสียงระเบิดของปืนครกดังแทรกเป็นระยะ
พื้นของอาคารที่อยู่เริ่มสั่นไหว
ลู่เซิ่งใช้เครื่องมือส่งสัญญาณที่ข้างหู
“นายท่าน ในที่สุดสหพันธ์ก็ทนการลงมือของเราไม่ไหวแล้ว คนที่มาด้วยยังมีกองทัพอัศวินเจิดจรัสของทางเนตรแห่งเทพด้วย!” เสียงของหงเฉิ่นลู่ดังเข้าหูของเขาด้วยความเคร่งเครียด
ลู่เซิ่งหันไปมองนอกหน้าต่าง เฮลิคอปเตอร์บรรจุอาวุธหลายลำลอยอยู่กลางอากาศใกล้ๆ
ต่อให้ห้องจะมีการกั้นเสียงเอาไว้ ก็ยังได้ยินเสียงกระสุนปืนกลกับเสียงสั่นสะเทือนอันรุนแรงอยู่ดี
“คนของพวกเราที่อยู่ที่นี่ไม่พอจะรับมือกับกลุ่มอัศวินเจิดจรัสและสำนักงานสืบสวนระดับสูงแห่งสหพันธ์นะครับ! นายท่าน ถอยเถอะครับ! เป้าหมายบรรลุแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยให้เกิดความเสียหายที่ไม่มีความหมายอีกแล้วนะครับ” หงเฉิ่นลู่แนะนำด้วยเสียงร้อนรน
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“ช่างเถอะ พวกแกถอยไปซะ ฉันเหนื่อยพอแล้ว” เขาหยิบหูฟังออก
อ๊าก!
อยู่ๆ ในหูฟังก็มีเสียงร้องดังออกมา เป็นเสียงของหงเฉินลู่
“รีบไปเร็วครับนายท่าน! โอซีลิส! ทัพผู้พิทักษ์เทพจากเนตรแห่งเทพของโอซีลิสมาแล้วครับ!”
เสียงตูมดังขึ้น การสื่อสารขาดไปแล้ว
ลู่เซิ่งค่อยๆ หยีตา พลันหันไปมองกลางอากาศนอกหน้าต่าง
ขณะใช้จิตวิญญาณสัมผัส เขาก็รู้สึกได้ว่ากองทัพของหัตถ์แห่งประกายนิลและทัพองครักษ์ของตนเองกำลังถูกศัตรูจำนวนมากทำลายทิ้ง
แนวป้องกันทั้งหมดสามชั้นถูกทะลวงไปแล้วอย่างน้อยสองชั้น พวกทัพองค์รักษ์ชั้นสุดท้ายกำลังสู้ตายอยู่
“ไม่…มันไม่ใช่การต่อสู้…” ลู่เซิ่งงุนงง “น่าทึ่งจริงๆ!” สีหน้าเขาปลาบปลื้มกว่าเดิม
“น่าทึ่งมาก!” เขาทวนอีกรอบ
ตอนนี้หลินเซิ่งหย่าไปประคองจัวซินเฉิงขึ้นมาแล้ว ทั้งยังหลบไปอยู่ตรงมุมห้องพร้อมกับฮอลส์ ทั้งสามต่างมองความแปลกประหลาดของสถานการณ์ในตอนนี้ออก
“ยอมแพ้เสียเถอะ! ด้านนอกถูกคนของฝ่ายตำรวจโอบล้อมไว้หมดแล้ว” ฮอลส์เอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าดุร้าย
ลู่เซิ่งหมุนตัวเดินไปถึงข้างหน้าต่างโดยไม่สนใจเขา
จุดแสงสีแดงที่หมายถึงกองกำลังวิญญาณโลหิตของฝ่ายตัวเองกำลังกลายเป็นสีเขียวด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
และสีเขียวก็หมายถึงกองกำลังของฝ่ายเนตรแห่งเทพ
“โอซีลิส พูดถึงพรสวรรค์อย่างเดียว นายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนที่ฉันเคยได้พบเจอมา” ลู่เซิ่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง
เฮลิคอปเตอร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้าอย่างมั่นคง เงาคนสูงชะลูดสายหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ถึงกับเดินเหยียบอากาศมาทางลู่เซิ่ง
ลวดลายสีขาวจำนวนมากปรากฏบนตัวเขา มีทั้งบนหน้า มือ และลำคอ
อากาศกลายเป็นบันไดใต้เท้าของเขาเพื่อให้เขาก้าวมาทางนี้
เสียงกระสุนปืนเงียบลงในพริบตา ทุกคนอดเงยหน้ามองท้องฟ้าไม่ได้
มนุษย์ เดินกลางท้องฟ้าได้หรือนี่!?
ไม่ใช่แค่คนของหัตถ์แห่งประกายนิลเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ยอดฝีมือของกลุ่มอัศวินเจิดจรัสก็ถูกสะกดไว้เช่นกัน
ความสามารถนี้ได้ก้าวข้ามพันธนาการของจิตรกรไปถึงขอบเขตเหนือมนุษย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนไปแล้ว
ผมสั้นสีทองขาวของโอซีลิสตั้งสูง เขาจ้องมองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาเย็นชาเฉียบขาด ลวดลายทั่วร่างเปล่งแสงสีขาวเลือนราง
หลินเซิ่งหย่ายิ่งอ้าปากกว้างจนแทบจะกลืนไข่ฟองหนึ่งเข้าไปได้ รู้สึกว่าตนตาฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย
แต่ว่าหลังจากหยิกหน้าอกของตัวเองอย่างแรงหลายรอบ ความเจ็บปวดก็ทำให้เธอรู้ว่าเธอยังอยู่ในความเป็นจริง
จัวซินเฉิงกุมปากแผลของตัวเอง พอดวงตาชราที่พร่ามัวมองเห็นเหตุการณ์นี้ สายตาก็ฉายแววตกตะลึง เหลือเชื่อ หวาดกลัว รวมถึงกระจ่างแจ้ง เขารู้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงแพ้
ทุกคนประเมินจัวซือชิ่งต่ำไป
ทุกคนนึกว่าเขาเป็นเพียงจิตรกรตบอับธรรมดาๆ แต่กลับไม่มีใครคาดถึงว่า ด้านหลังเขาจะมีมังกรร้ายน่ากลัวยืนอยู่ตัวหนึ่ง
รอจนค้นพบ ทุกคนก็ถูกปกคลุมอยู่ในเงายักษ์ของมังกรร้ายจนหนีไม่ได้อีกแล้ว