ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 664 หาเงิน (2)
บทที่ 664 หาเงิน (2)
“อ้อ?” ลู่เซิ่งพลันสนใจ
ตอนนี้เขาเลื่อนสู่ขอบเขตลวงตาแล้ว แต่เป็นเพราะว่าเปลี่ยนวิชาการฝึกฝนหลักเป็นเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูซึ่งเดิมทีใช้ในการบำรุงเท่านั้น จึงไม่มีวิชาการสังหารใดๆ นอกจากช่วยให้เลื่อนระดับแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงต้องการชดเชยความสามารถด้านการต่อสู้ในขอบเขตลวงตาอย่างเร่งด่วน พอได้ยินว่าสมบัติที่มังกรปีศาจตัวนี้ครอบครองมีอานุภาพไม่เลว ลู่เซิ่งจึงเกิดความสนใจทันที
‘กำลังเบื่ออยู่พอดี ลองไปดูสักหน่อยว่าธงเก้ามังกรลี้ลับอะไรนี่มีอานุภาพขนาดไหน’ พอใคร่ครวญเสร็จ เขาให้ชายชราชี้ทางทันที จากนั้นตัวก็ลอยขึ้นฟ้าแล้วพุ่งไปยังทิศทางนั้น
บินไปตามทุ่งนาสีทองเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ไม่นานลู่เซิ่งก็เห็นร่องแยกแคบยาวที่กว้างหลายสิบหมี่สายหนึ่งโผล่ขึ้นบนพื้นด้านหน้าอย่างกะทันหัน
ร่องแยกดำสนิทและล้ำลึก ไม่ทราบว่าลึกขนาดไหน บนช่องมีไอเย็นลอยออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ลู่เซิ่งเพิ่งจะหยุดบิน ก็มีไอปีศาจสีดำสายหนึ่งผุดออกมาจากในร่องแยกทันที มังกรปีศาจสีดำที่ยาวสามสิบกว่าหมี่ตัวหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่งรอบหนึ่งแล้ว มันก็ค่อยๆ กลายเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำที่มีเขามังกรงอกบนศีรษะคนหนึ่ง
“ที่แท้เป็นท่านทูตจากลัทธิจันทราแดงมาด้วยตัวเอง ข้าน้อยเฮยจ่ง ไม่ทราบว่าจะช่วยอะไรท่านทูตได้บ้าง ถ้าช่วยไม่ไหว ใกล้ๆ นี้ยังมีสาขาของลัทธิอนัตตาของพวกเรา ใต้เท้าเจ้าลัทธิประจำสาขาสามารถมาช่วยเหลือได้ทุกเวลา”
มังกรปีศาจตัวนี้เปลือกนอกกล่าววาจามีมารยาท แต่ในคำพูดกลับบ่งชี้ว่าใกล้ๆ นี้ยังมีคนของลัทธิอนัตตาอยู่อีก ขอให้ลู่เซิ่งทำตัวฉลาดๆ หน่อย
“เจ้าลัทธิอนัตตามาทำอะไรที่นี่” ลู่เซิ่งถามด้วยรอยยิ้มเย็นชา
มังกรปีศาจตัวนั้นเป็นพวกโง่งม นึกว่าลู่เซิ่งกลัวแล้ว เลยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ลำพองว่า “ไม่เพียงแต่ใต้เท้าเจ้าลัทธิอยู่นี่เท่านั้น แม้แต่ผู้ดูแลหลักทั้งเก้าของสมาคมการค้าน่าถ่าซือก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน อย่าว่าแต่สมาชิกลัทธิธรรมดาคนเดียวอย่างท่านเลย ต่อให้เป็นหัวหน้าลัทธิก็ จุ๊ๆ…” เขายังพูดไม่ทันจบ เนื้อหาต่อจากนั้นแม้ลู่เซิ่งจะไม่ได้ยินก็พอจะเดาออกแล้ว
เวลานี้อารมณ์ผ่อนคลายในตอนแรกของลู่เซิ่งกลับเคร่งขรึมมากขึ้นเล็กน้อย
เจ้าลัทธิประจำถิ่นของลัทธิอนัตตายังพอว่า แต่ว่าสมาคมการค้าน่าถ่าซือนี่เป็นสมาคมการค้าอันดับหนึ่งแห่งนครตราชั่ง ผู้ดูแลใหญ่ของพวกเขามีทั้งหมดไม่ถึงร้อยคน แต่กลับต้องดูแลดาวเคราะห์หลายร้อยดวง
การที่ขุมกำลังยิ่งใหญ่แบบนี้มายังเขตเล็กๆ แบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามีความแปลกพิกล
“ใต้เท้าท่านนี้ ถ้าหากไม่มีเรื่องใด ข้าน้อยขอไปฝึกต่อแล้ว” มังกรปีศาจตัวนี้ได้ใจยิ่งกว่าเดิม
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ปัจจุบันเขากำลังสั่งสมพลังอาวรณ์ แต่ดันมาเจอเข้ากับลัทธิอนัตตากับสมาคมการค้าน่าถ่าซือในภารกิจแรก ทำให้ใช้กำลังแข็งขืนไม่ได้
ทว่าจะให้เขาไปคอยตามหัวหน้าลัทธิต้อยๆ เขาก็ไม่ยินยอมเช่นกัน อุตส่าห์ได้ออกมาตักตวงผลประโยชน์ทั้งที แค่ไปตักตวงขุมกำลังระดับเล็กๆ ที่ยากจนข้นแค้นเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไร
ผู้ที่ให้ผลประโยชน์ได้อย่างแท้จริงยังคงเป็นระดับกลางถึงสูงเหล่านี้
คิดไปคิดมา ลู่เซิ่งพลันเกิดความคิดบางส่วน
“ฮ่าๆๆ! นึกไม่ถึงว่าสถานที่ผีสางนี้จะมีของขลังชูศัสตราซ่อนอยู่ด้วย ประเสริฐ ประเสริฐมาก! ฮ่าๆๆ!” อยู่ๆ เสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งของเหมินฟ่าผู้เป็นหัวหน้าลัทธิก็ดังออกมาจากในเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาด
“ต้องอย่างนี้! คนขลาดเขลาต้องอดตาย คนกล้าท้องแตกตาย! คนอยากรวยต้องเป็นคนกล้าเสี่ยง!” พอได้ยินคำพูดนี้ ลู่เซิ่งก็ตัดสินใจเด็ดขาด อย่างไรข้อมูลในเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดก็สับสน ยากจะสืบสาวได้
ถ้าหากว่าลัทธิจันทราแดงร้ายกาจอย่างที่หมีก่วงอิงว่าจริงๆ อย่างนั้นก็ต้องรับความยุ่งยากแค่นี้ให้ได้
ทำก่อนค่อยว่ากัน!
ตอนนี้เขามีพลังอาวรณ์เหลือแค่สองสามแสนหน่วย ต่อไปยังต้องเรียนรู้วิชาอีก มีที่ให้ต้องได้ใช้อยู่มากมาย
มังกรปีศาจตัวนั้นคิดจะถอยกลับ พลันเสียวสันหลังวาบ จึงรีบหมุนตัวกลับมา
พอกะพริบตาทีหนึ่งก็เห็นมือใหญ่สีดำข้างหนึ่งตะปบใส่หน้าผากของตัวเองดุจสายฟ้าแลบ
เขาถึงขั้นโต้ตอบไม่ทัน ศีรษะปวดแปลบ
โผละ!
มังกรปีศาจระเบิดออกเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน ตายโดยไม่เหลือศพ แสงสีดำกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากในศพเพื่อหลบหนี แต่จานประกายโรจน์ด้านหลังลู่เซิ่งกะพริบทีหนึ่ง แล้วส่งเขาเข้าไปในโลกรูปจิตทันที
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยอย่างช่ำชองแล้ว ลู่เซิ่งก็พุ่งเข้าไปในวิมานถ้ำของมังกรปีศาจใต้เหวลึกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกวาดคลังสมบัติมากมายด้านในเข้าไปในไข่มุกกลืนสมุทรจนหมด
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ แม้มังกรปีศาจตัวนี้จะมีพลังอยู่ในระดับผู้ถืออาวุธ แต่กลับมีสมบัติมั่งคั่ง โดยเฉพาะธงเก้ามังกรลี้ลับคันนั้น
มันไม่ได้มีอานุภาพร้ายกาจอะไรนัก แต่พลังอาวรณ์ที่วนเวียนอยู่บนนั้นกลับทำให้พลังอาวรณ์ของลู่เซิ่งเพิ่มขึ้นแสนกว่าหน่วยในพริบตา
กอปรกับของโบราณในคลังสมบัติอย่างอื่น ลู่เซิ่งใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ดูดซับพลังอาวรณ์ได้เกือบห้าแสนหน่วยโดยไม่ต้องเสียอะไร
‘ดาวเคราะห์ใกล้ๆ นครตราชั่งร่ำรวยมหาศาลอย่างที่คิดไว้เลย!’ หลังจากได้ลิ้มลองรสหวาน ลู่เซิ่งบินไปยังที่ที่มีกลิ่นอายคล้ายกับมังกรปีศาจมากที่สุดอย่างอดรนทนไม่ไหว
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นพวกช่วงชิงสมบัติเบียดเบียนคนอื่นโดยกำเนิด
แทนที่จะทิ้งของดีๆ ระดับนี้ให้คนอื่น ไม่สู้เอาเปรียบเศรษฐีสมองหมูพวกนั้นดีกว่า พวกมันจะถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุดก็ต่อเมื่ออยู่กับตัวผู้เข้มแข็งที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่อย่างเขาเท่านั้น จะได้ไม่ทำให้สมบัติเหล่านี้เกิดมาในโลกอย่างเสียเปล่า
หลังจากเหาะเหินไปพร้อมกับปล้นฐานที่มั่นเล็กๆ ไปสิบกว่าแห่ง ไม่นานลู่เซิ่งก็เจอกับป้อมปราการขนาดเล็กที่เหมือนกับป้อมป้องกันเมืองแห่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศก้มลงมองด้านล่างด้วยสายตาร้อนเร่า
“ลัทธิจันทราแดงปฏิบัติภารกิจ! จงไสหัวออกมาซะ!”
เสียงที่ดุจอัสนีบาตดังเข้าไปด้านใน ทำให้ป้อมปราการสั่นครืนๆ
ลู่เซิ่งอดกลั้นมานานมากแล้ว ตั้งแต่ออกมาจากต้าอินก็อดทนมาโดยตลอด ตอนนี้อุตส่าห์เลื่อนสู่ขอบเขตลวงตา ทั้งยังอ้างชื่อสาวกจันทราแดงได้ หากไม่ตั้งใจตักตวง คิดจะสะสมพลังอาวรณ์อีกที ไม่ทราบจริงๆ ว่าครั้งหน้าต้องรออีกกี่ปี
พึงทราบว่าเขากำหนดรากฐานอันล้ำลึกของวิถีแปดมารสูงสุดได้หลังจากกินมารโบราณในผนึกไปแทบทั้งหมด
ปกติสมาคมการค้าน่าถ่าซือไม่ได้มีชื่อเสียงดีเด่นอะไรอยู่แล้ว เนื่องจากมันเป็นร้านค้าขายทาสใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดของนครตราชั่ง แตกต่างจากสิ่งที่แสดงออกมาภายนอก แถมยังมีเงินมากจนบรรยายไม่ได้ราวภูเขาทองทะเลเงิน
“ผู้ใด!?” สะพานแสงที่เหมือนกับรุ้งพุ่งออกมาจากป้อมปราการ ผู้นำเหี้ยมหาญสามคนที่สวมชุดแตกต่างกันยืนอยู่บนสะพาน
สองคนในนี้แต่งตัวคล้ายกับมังกรปีศาจเมื่อก่อนหน้า ล้วนมีเทวลักษณ์สีดำติดอยู่บนร่าง
อีกคนหนึ่งมีรูปร่างอ้อนแอ้น สวมชุดคลุมแนบเนื้อสีดำ ถือกระบี่หยกขาวเล่มหนึ่ง ตางามจับจ้องมองลู่เซิ่งที่อยู่กลางอากาศพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พวกแอบอ้างเพื่อหาเงินจากจันราแดงอีกแล้ว” ผู้นำคนหนึ่งด้านข้างสตรีส่งกระแสเสียงเบาๆ
“ไล่ไปตามสบายเถอะ” สตรีตอบเสียงเย็น “ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้สาวกจันทราแดงมาทำการช่วยเหลือไล่ล่าอะไรสักอย่างตรงนี้ น่าจะแยกย้ายกันมา การประชุมลับของพวกเราไม่มีทางหลุดรอดออกไป”
“ขอรับ” ผู้นำอีกสองคนเป็นระดับสูงของลัทธิอนัตตา แต่ยังคงฟังคำสั่งของนาง
ลู่เซิ่งตะโกนจากกลางอากาศเสร็จ แต่ด้านล่างยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เขาจึงรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง
ระหว่างทางที่ผ่านมาเขาแย่งชิงสิ่งของไม่น้อย จึงค่อนข้างมีประสบการณ์ ท่าทางของสามคนตรงหน้า เพียงมองดูก็รู้ว่ามีที่พึ่ง จึงไร้ความเกรงกลัว
ถึงจะบอกว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีการจำกัดพลังยุทธ์ที่ไม่สูง แต่ในเมื่ออยู่ใกล้ๆ นครตราชั่ง ก็เป็นเรื่องปกติที่จะเจอคนร้ายกาจเข้า
ทว่าตอนนี้ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้จักเขา ทั้งยังอ้างชื่อลัทธิจันทราแดง ถ้าไม่ตักตวงผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ก็ควรใช้เวลาจุติไปยังโลกใบเล็กดีกว่า
พอนึกถึงตอนนี้ เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ด้วยพลังของเขา สู้ไม่ได้หรือว่าจะยังหนีไม่ได้อีก
ส่วนผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวง แค่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็มีคนนับไม่ถ้วนจับตามองแล้ว อย่าว่าแต่ที่นี่อยู่ใกล้ๆ นครตราชั่งเลย มีหัวหน้าของจันทราแดงอยู่ใกล้ๆ เมื่อมีผู้ปกครองคอยหนุนหลัง ต่อให้เป็นมายาพิศวง ก็ต้องเห็นแก่หน้าผู้ปกครอง
ดังนั้นขุมกำลังใหญ่ๆ ต่างเห็นแก่หน้าสาวกจันทราแดงทั้งนั้น ด้วยไม่อยากหาเรื่องอันธพาลพวกนี้
ฟิ้ว!
อยู่ๆ คนคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างก็โยนกล่องแพรสีดำใบหนึ่งออกมา
“ท่านทูต ยามออกมาด้านนอก หากอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อื่น ตนเองก็จะสบายไปด้วย ของขวัญเล็กๆ ยังไม่อาจแสดงความเคารพของข้าได้ แต่ท่านทูตได้โปรดรับไว้ด้วย”
ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปรับกล่องแพร สิ่งของด้านในเรียบง่ายมาก เพียงใช้จิตวิญญาณกวาดมองก็รู้แล้ว เป็นหยกดำคุณภาพดีเลิศชิ้นหนึ่ง
ปกติสิ่งของอย่างหยกดำจะนำมาใช้ทำค่ายกล มีคุณค่าไม่เลว หยกดำชิ้นนี้มีราคาถึงสองสามพันเงินน้ำแข็ง หากไปอยู่ที่นครตราชั่ง จะถือว่าเป็นของขวัญที่ไม่เลวเช่นกัน
แต่การนำมาใช้รับมือสาวกจันทราแดงคนหนึ่งอย่างเขาในสถานที่แบบนี้…
นี่เป็นแค่การตบรางวัลเท่านั้น
เป้าหมายที่ลู่เซิ่งออกมาในครั้งนี้คือการรวบรวมทรัพย์สมบัติและสะสมพลังอาวรณ์ คิดจะใช้หยกดำชิ้นแค่นี้ไล่เขาไป นี่เห็นว่าเขามาขออาหารหรือ
เพียงแต่เขาเพียงแค่จะมาช่วงชิงผลประโยชน์นิดหน่อยเท่านั้น ถ้าหากเจอคนร้ายกาจเข้าแล้วดันได้ไม่คุ้มเสียขึ้นมาก็แย่แล้ว
หลังจากชั่งน้ำหนักดูสักพัก ลู่เซิ่งก็เก็บกล่องแพรไว้
“ในเมื่อทุกท่านเข้าใจดี อย่างนั้นข้าจะเห็นแก่หน้าพวกท่านก็แล้วกัน” เขาหมุนตัวจากไปทันทีโดยไม่ลังเล
สาวกจันทราแดงมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไม่แปลกปลอม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นกัน
ลู่เซิ่งบินจากไปด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็หายไปจากสายตาของคนทั้งสามคน
“สาวกจันทราแดงก็เป็นแบบนี้ ถ้าหากท่านยอมให้นิดเดียว พวกมันได้คืบก็จะเอาศอกต่อ คอยกดดันทีละก้าวๆ แต่ถ้าหากท่านสู้กลับ ขยะกลุ่มนี้ก็จะไม่กล้าทำอะไรท่าน” เจ้าลัทธิอนัตตาที่อยู่ด้านข้างสตรีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไปเถอะ คนผู้นี้มีพลังไม่เลว อย่างน้อยสุดก็อยู่ในระดับผู้ถืออาวุธ ให้เกียรติหน่อยก็ไม่ถือว่าเกินเลย” สตรีกล่าวอย่างราบเรียบ “ถ้าทุกคนหลอมสร้างเสร็จแล้ว พวกเราจะแยกย้ายทันที อยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว”
“ขอรับ!”
ระดับสูงของลัทธิอนัตตาสองคนโค้งตัวคำนับสตรีจากสมาคมการค้าน่าถ่าซือน้อยๆ
พวกเขาทราบถึงความอำมหิตของสตรีตรงหน้านี้ นับตั้งแต่มายังดาวชมภูผา ก็ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐมาแล้วสามสิบปี และเชือดคนไปทั้งหมดมากกว่าร้อยหมื่นคนเพื่อที่จะสร้างหอคอยมนุษย์ขึ้นมา
ตอนนี้การสร้างใกล้จะจบลงแล้ว นางย่อมไม่ยอมให้มีสิ่งใดจากภายนอกเข้ามารบกวน
ทุกคนกลับป้อมปราการอย่างรวดเร็ว จากนั้นป้อมปราการก็บิดเบี้ยวและพร่ามัวเล็กน้อย พริบตาเดียวก็กลับมาเงียบสงัดราวกับว่าไม่มีใครสักคนเดียวอีกครั้ง
หลังจากลู่เซิ่งบินออกมาได้สิบกว่าลี้ ก็วนอยู่ใกล้ๆ รอบหนึ่ง พร้อมกับปล้นฐานที่มั่นของลัทธิอนัตตาไปเป็นจำนวนมาก แต่ได้รับผลประโยชน์ค่อนข้างน้อย
เขาที่ยังไม่หนำใจนึกย้อนถึงสตรีคนก่อนหน้า คนพวกนั้นมอบหยกดำชั้นสูงออกมาไล่เขาได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ว่ามีทรัพย์สมบัติในมือมหาศาล
ตอนที่อยู่ด้านนอกป้อมปราการเมื่อครู่ เขาสัมผัสกลิ่นผีตายโหงกับกลิ่นคาวเลือดนับไม่ถ้วนที่เดือดพล่านจากด้านในได้เลือนราง
‘คนพวกนี้มาอยู่นี่จะต้องมีแผนการใหญ่แน่’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเคร่งขรึม ‘ได้ผลประโยชน์มานิดเดียวเอง ยังสู้มังกรปีศาจไม่ได้ด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะต้องกำจัดเพทภัยเพื่อชาวประชาซะแล้ว…’
ปกติแล้วบุคคลลึกลับที่มีเงินและมีพลังแบบนี้ มีมากมายที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตลวงตา
เพียงแต่ลู่เซิ่งเป็นคนระดับไหน ย่อมไม่ใช่พวกที่หัวสมองมีแต่กล้ามเนื้อเหล่านั้น
เขาวางแผนโดยอยู่ห่างป้อมปราการไม่ถึงสิบลี้
จากนั้นก็ใช้ดาบกรีดใส่ทรวงอกของตัวเองจนเลือดนองและเนื้อพลิกเปิด
ต่อมาค่อยยกมือขึ้นกระตุ้นเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาด
“หัวหน้าลัทธิ! มีวาสนาใหญ่ขอรับ! ข้าพบคลังสมบัติลับแห่งหนึ่งที่นี่ ด้านในซ่อนสมบัติไว้นับไม่ถ้วน ถึงขั้นยังมีผลึกลี้ลับด้วย! แต่ติดที่คนของลัทธิอนัตตาไม่สนใจชื่อสาวกจันทราแดงของข้า แย่งของวิเศษและชิงผลึกของข้าไป สุดท้ายยังจะฆ่าคนปิดปากอีก!”
“ผลึกลี้ลับหรือ!?” เสียงของหัวหน้าลัทธิที่อยู่อีกด้านของเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดพลันทุ้มหนักขึ้น
“ท่านไม่ได้หลอกข้ากระมัง?! มีผลึกลี้ลับอยู่จริงๆ หรือ!?”
“พันจริงหมื่นแท้!” ลู่เซิ่งที่หายใจเร่งร้อนตอบ “ข้าน้อยเกือบถูกฆ่าปิดปาก ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก ได้แต่ขอร้องให้หัวหน้าลัทธิตัดสินใจแทนข้าด้วย!”
“วาสนานี้ควรเป็นของเรา!” หัวหน้าลัทธิพลันตะโกน “ท่านรออยู่ที่เดิม ข้าจะไปหาทันที!”
เมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดพลันตัดการติดต่อ
ลู่เซิ่งวางมือลง ตอนนี้รอหัวหน้าลัทธิมาลงมือช่วยเหลือ เขาเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าลัทธิคนนี้มาก
แม้พลังของอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าแห่งอาวุธ แต่เหมินฟ่าผู้นี้มีเบื้องหลังล้ำลึก แทนที่จะบอกว่าภารกิจในครั้งนี้เป็นภารกิจช่วยเหลือไล่ล่าที่เขาประกาศ ควรบอกว่าเป็นภารกิจประจำวันที่เขาใช้หาเงินหาทองมากกว่า
ผลประโยชน์และทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่อยู่รองลงไป สิ่งที่เขาต้องการเป็นหลักคือของเก่าแก่โบราณ เรียกว่ากำขี้ดีกว่ากำตด
ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะปีนป่ายในลัทธิจันทราแดง หากไม่ฉวยโอกาสหาเงินก็เท่ากับคนโง่ไม่ใช่หรือ