ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 665 อุบัติเหตุ (1)
บทที่ 665 อุบัติเหตุ (1)
รออยู่ที่เดิมราวสิบนาที ลู่เซิ่งก็เห็นธารแสงสีทองที่ดูโดดเด่นพุ่งมาจากที่ไกล
หัวหน้าลัทธิเหมินฟ่ากระหืดกระหอบเล็กน้อย พอเห็นลู่เซิ่งสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“บังอาจ! ยังมีคนกล้าลงมือกับสาวกจันทราแดงของพวกเราในดาวชมภูผาอีกหรือนี่ ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ!”
เขาย่อมมองออกว่าอาการบาดเจ็บบนตัวลู่เซิ่งเป็นแค่อาการบาดเจ็บสถานเบา แต่ขอแค่บาดเจ็บ เช่นนั้นก็เป็นโทษใหญ่!
ทั้งมีเงิน ทั้งทำร้ายบริวารของตัวเอง หนำซ้ำยังเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แจ้งแล้วว่าเป็นลัทธิจันทราแดงอีก นี่เลวร้ายจริงๆ
พอหัวหน้าลัทธิมาถึงก็ไต่ถามอย่างเร่งร้อนทันที
“ลำบากแล้ว กลับไปรักษาอาการบาดเจ็บเถอะ จันทราแดงเห็นผลงานของท่านในสายตาตลอด นอกจากนี้ ท่านแน่ใจนะว่าพวกเขามีผลึกลี้ลับจริง?!”
“เอ่อ… ไม่ทราบว่าตาลายหรือไม่ แต่ข้าน้อยรู้สึกว่า ต่อให้ไม่มีผลึกลี้ลับ แต่ก็ต้องมีสิ่งที่มีค่ามาก ค่ายกลที่ป้อมปราการแห่งนี้ติดตั้งไว้ ต้องใช้เงินน้ำแข็งหลายสิบหมื่นเป็นอย่างน้อย!” ลู่เซิ่งเข้าใจค่ายกลคร่าวๆ จึงพอจะประเมินค่าออก
“หลายสิบหมื่นหรือ” หัวหน้าลัทธิพลันหายใจหนักหน่วงกว่าเดิมเล็กน้อย
“ใช้ได้แล้ว… ใช้ได้แล้ว… ที่นี่ไม่มีงานของท่านแล้ว ท่านกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถอะ” เขาโบกมือไปทางลู่เซิ่งอย่างหงุดหงิด
“ขอรับ ข้าน้อยจะกลับก่อน หัวหน้าลัทธิระวังตัวด้วยนะครับ!” ลู่เซิ่งเผยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ แต่พอเห็นดวงตาของเหมินฟ่าผู้เป็นหัวหน้าลัทธิที่สาดการคุกคามและมีประกายเย็นเยียบ เขาก็ได้แต่หมุนตัวบินจากไปด้วยความจนปัญญา
ไม่รอให้เขาบินออกไปไกลเท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงกึกก้องดังมาจากด้านหลัง
หันกลับไปมอง ตำแหน่งที่ป้อมปราการอยู่มีเมฆรูปเห็ดสีขาวขนาดมหึมาพุ่งสู่ฟากฟ้า เมฆกระจายออกไปรอบๆ พร้อมกับปล่อยแสงสีฟ้าจำนวนมากออกมา
‘เคลื่อนไหวเร็วดีจริงๆ!’ ลู่เซิ่งหยีตา แก่นหยางบนร่างห่อหุ้มเมล็ดแห่งสายน้ำสีชาดเอาไว้เพื่อตัดขาดการสัมผัส จากนั้นเขาก็หมุนตัวบินไปยังป้อมปราการ
บินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาที่อยู่ห่างๆ ก็เห็นหัวหน้าลัทธิบินกลับมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ อีกฝ่ายคล้ายกับถือลูกบาศก์สีเงินเอาไว้ในมือ
ส่วนป้อมปราการแห่งนั้นหายสาบสูญไปแล้ว
ลู่เซิ่งซ่อนอยู่ใกล้ๆ สักพัก รอให้หัวหน้าลัทธิเหาะจากไปก่อน จากนั้นจึงค่อยพุ่งออกมาแล้วค้นหาตรงตำแหน่งเดิมของป้อมปราการไปทั่ว
ในซากปรักหักพังสีขาวอมเทาไม่มีอะไรเลย มีแต่เมือกที่เหมือนกับเลือดเนื้อจำนวนมากเท่านั้น
มีแขนขาขาดบางส่วนกระจัดกระจายอยู่รอบๆ ตราประทับสีดำที่คล้ายจะเป็นสัญลักษณ์ลัทธิตัวใหญ่เหมือนกับถูกทำลายจนเหลือแค่ครึ่งเล็กๆ ที่คว่ำอยู่กับพื้นเท่านั้น
ลู่เซิ่งวนดูรอบหนึ่ง แต่ไม่พบอะไรเลย สายตาจึงหยุดอยู่ที่ตราประทับสีดำนี้อย่างรวดเร็ว
‘ของที่มีค่าถูกนำไปหมดแล้ว ดูเหมือนจะเหลือแต่มันนี่แหละ…’ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นโหยหวนของวิญญาณตายโหงนับไม่ถ้วนที่กำลังเดือดพล่านจากตราประทับอันนี้
แม้คลื่นจะอ่อนแอมาก แต่ก็ยังดีกว่าหาอะไรเลยไม่เจอ
เขาคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปถึงข้างตราประทับพร้อมกับยื่นมือไปวางด้านบน
ซู่…
พลังอาวรณ์ลำใหญ่หลายสายทะลักเข้ามาในตัวเขาเหมือนกับของเหลว
หนึ่งพัน สองพัน สามพัน…
มีพลังอาวรณ์หลายหมื่นหน่วยไหลเข้ามาโดยใช้ไม่กี่นาทีสั้นๆ แต่ก็เพียงเท่านั้น ดูเหมือนจะเป็นเพราะตราประทับถูกทำลาย ทำให้พลังอาวรณ์ที่ดูดซับได้ เหลือแค่เท่านี้
เขารู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย อุตส่าห์เสี่ยงเรียกหัวหน้าลัทธิมา สุดท้ายกลับได้ผลลัพธ์แค่นี้ ไม่เรียกมายังจะดีกว่า
ควานหาในซากปรักหักพักสักพัก จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากมุมหนึ่งเบาๆ
“แค่กๆๆ…” มีคนไอ
ลู่เซิ่งเดินไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แล้วเหลียวมองดูรอบๆ ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ซากหินกองหนึ่งทางขวามือ
เขาโบกมือ พลังไร้รูปร่างพลันผลักซากหินออกไปรอบๆ
เด็กผู้หญิงผมขาวที่มีรอยสีเทาทั่วทั้งตัวคนหนึ่งนอนหงายอยู่ใต้หิน เด็กผู้หญิงคล้ายสับสน ในตาโตสีฟ้าไม่มีสิ่งใดนอกจากความงุนงง
“ท่านเป็น… ใครกัน” เด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมองดูลู่เซิ่งที่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างมึนงง
ลู่เซิ่งกวาดตามอง รอบๆ ไม่มีใคร ใช้จิตวิญญาณกวาดดูก็ไม่สัมผัสชีวิตใดๆ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้มาอยู่ด้านหน้าเขาตัวเป็นๆ กระนั้นเขากลับสัมผัสไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะมองเห็นอีกฝ่าย เขาคงนึกจริงๆ ว่าที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่แล้ว
‘ฆ่าหรือไม่ฆ่าดี’ เขาลังเลใจเล็กน้อย สุดท้ายอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นคนดี มีขีดจำกัดของตัวเองอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
“ไป” ควันดำกระจายฟุ้งออกมาจากทั่วร่างลู่เซิ่งพร้อมกับห่อหุ้มเด็กหญิงลอยขึ้นฟ้า บินไปยังที่ไกลในพริบตา
…
กองไฟสีแดงลุกไหม้เริงระบำอยู่ในถ้ำยามราตรี
ลู่เซิ่งนั่งย่างก้ามยักษ์ของปูทรายที่อวบใหญ่ชิ้นหนึ่งอยู่ข้างกองไฟ เนื้อที่ออกมาจากก้ามปูยักษ์ชนิดนี้สดใหม่สุดเปรียบปาน แค่เอามาย่างก็มีกลิ่นหอมที่เข้มข้นเป็นพิเศษลอยออกมาแล้ว
“บอกมาเถอะว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงไปอยู่ในป้อมปราการแห่งนั้น” ลู่เซิ่งสังหรณ์ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ธรรมดา
นางกอดเข่าและมองเปลวเพลิงที่กำลังเต้นระริกอยู่อย่างมึนงง
“ข้าคือมนุษย์โลหิตเงิน ชื่อทัวหลันปาเฮ่อ”
“มนุษย์โลหิตเงิน?!” หัวใจของลู่เซิ่งเต้นรัว
มนุษย์โลหิตเงินเป็นมนุษย์พิษในตำนาน ที่ไม่มียาใดรักษาได้อย่างแท้จริง พิษร้ายในตัวพวกเขาเป็นพิษที่รุนแรงที่สุดในหมู่พิษที่เป็นที่รู้จัก และเป็นพิษที่ไม่มียาชนิดใดแก้ไขได้
และเป็นเพราะมนุษย์โลหิตเงินหายากถึงขีดสุด ถือเป็นร่างกลายพันธุ์ ปกติแล้วจึงได้ยินแค่จากในตำนานเท่านั้น ไม่เคยมีใครเห็นด้วยตาตัวเอง
ลู่เซิ่งกลับคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่า ตนจะจับเผ่าพันธุ์หายากในตำนานได้
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด” เขาหาเรื่องคุย
“ไม่ทราบ… ข้าคือความประหลาดลี้ลับ ท่านเองก็ทราบว่าหลังความประหลาดลี้ลับตายหลายครั้ง ความทรงจำจะสูญหาย ข้าก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เด็กผู้หญิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“แต่เจ้ายังจำชื่อของตัวเองได้อยู่นี่”
“พวกเขาคือใคร”
“สตรีที่ชื่อลวี่หลง”
ลู่เซิ่งถามไปโดยไม่คิดอะไร ถ้านางเป็นความประหลาดลี้ลับ และเป็นตัวตนที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ อย่างนั้นเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็จะคืนชีพได้ใหม่เหมือนกันกับอิงอิง
กอปรกับนางยังเป็นมนุษย์โลหิตเงินที่หายากอีก การเอาเลือดออกมาอย่างต่อเนื่องจึงกลายเป็นความเป็นไปได้หนึ่ง
เกรงว่าคนของสมาคมการค้าน่าถ่าซือพวกนั้นจะใช้นางเป็นต้นเขย่าเงิน โดยนำเลือดสีเงินที่มีพิษรุนแรงไร้เทียมทานออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ต้องการกรีดเลือดหรือไม่ กรีดเลือดครั้งหนึ่ง ต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะคืนสู่สภาพเดิม” ทัวหลันปาเฮ่อยกมือขึ้นและมองลู่เซิ่ง
“ไม่ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น” ลู่เซิ่งส่ายหน้า “เจ้าอยากจะไปที่ใดหรือไม่”
“ข้าไม่มีที่ไป”
“งั้นเจ้ามาอยู่กับข้าก็แล้วกัน ข้าต้องการผู้ช่วยอยู่พอดี” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ความประหลาดลี้ลับมีข้อดีตรงที่เป็นอมตะนี่เอง
เกิดว่าปรากฏขึ้นมา ก็จะคงอยู่ได้หลายปี มีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์ธรรมดา
ลู่เซิ่งที่ยังนึกไม่ออกว่าจะให้ทัวหลันปาเฮ่ออยู่ตำแหน่งไหน ถือโอกาสพานางไปรวมตัวกับสาวกจันทราแดงคนที่เหลือ แล้วออกปล้นสะดมไปทั่วพร้อมกับหัวหน้าลัทธิ
หลังจากปล้นสถานที่ไปสิบกว่าแห่ง ได้รับพลังอาวรณ์มาสามแสนกว่าหน่วย สถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว
ผู้ร้ายประกาศจับตระกูลเวรอนถูกเหมินฟ่าจัดการทิ้ง ภารกิจง่ายดายเหลือแสน
สิ่งที่แตกต่างจากตอนขาไปก็คือ ลู่เซิ่งพาทัวหลันปาเฮ่อมนุษย์โลหิตเงินมาด้วยในตอนกลับมา
คนอื่นๆ นึกว่าทัวหลันปาเฮ่อเป็นหญิงรับใช้ที่ลู่เซิ่งซื้อมาจากตลาดค้าทาส
ลู่เซิ่งจึงถือโอกาสใช้นางเป็นหญิงรับใช้ ให้นางดูแลความสะอาดในคฤหาสน์ และรับผิดชอบงานทำความสะอาดและรักษาค่ายกลง่ายๆ ส่วนหนึ่ง
หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตลวงตาแล้ว ลู่เซิ่งก็นั่งฝึกฝนทำสมาธิทุกวันไม่ขาด เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่คลื่นจิตวิญญาณและพลังจิตหลังเลื่อนระดับ
จากนั้นก็รับภารกิจมากมายของสาวกจันทราแดงสิบกว่าภารกิจ ทำการช่วยเหลือไล่ล่าที่ใช้เวลาสิบกว่าปีจนหมดในคราวเดียว
เป็นเพราะมุมานะทำผลงาน แถมยังมีอัตราความสำเร็จทางภารกิจสูงมาก สองเดือนต่อมา ลู่เซิ่งจึงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าลัทธิ
นอกจากนั้นเขายังปรับตัวเข้ากับความสามารถมากมายหลังเลื่อนถึงขอบเขตลวงตาในขั้นเบื้องต้นได้แล้ว
แม้ลู่เซิ่งจะแสดงพลังของเจ้าแห่งอาวุธออกมาเท่านั้น แต่สามกลุ่มใหญ่ของสาวกจันทราแดงในนครตราชั่งต่างมีคนติดต่อกับเขา เพราะต้องการจะดึงเขาเข้าเป็นพวก
เจ้าแห่งอาวุธคนหนึ่งถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถประมาณหนึ่งในนครตราชั่งเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นลู่เซิ่งยังมีสถานะเป็นมารสวรรค์ เรื่องนี้ไม่อาจอำพรางในระบบข้อมูลของนครตราชั่งได้ คุณลักษณะพิเศษของมารสวรรค์คือต้องจุติหนึ่งครั้งทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง และคลื่นของค่ายกลก็ไม่สามารถปกปิดไว้ได้
ลู่เซิ่งเองก็ไม่รีบร้อน ปัจจุบันพลังของเขาค่อยๆ เสถียรขึ้นแล้ว จึงเริ่มเพิ่มการสั่งสม เนื่องจากได้รับการคัดเลือกเป็นหัวหน้าลัทธิ เขาเลยเริ่มมีกลุ่มก้อนเล็กๆ เป็นของตัวเอง สมควรบอกว่าเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ ของหัวหน้าลัทธิมากกว่า
..
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ในลานเรือนจิบชาร้อนทีละคำๆ เขาเพิ่งจะทำภารกิจเงินรางวัลเสร็จไป กำลังกลับมาจากที่อยู่ของหัวหน้าลัทธิอีกคน
ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากวิชาแพทย์ที่ใช้ได้ของลู่เซิ่ง เขาจึงมีการติดต่อที่เรียบง่ายกับหัวหน้าสาวกจันทราแดงหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ นี้
ในนี้คือเหมินฟ่าที่เคยร่วมงานกันเมื่อครั้งก่อน ครั้งก่อนคนผู้นี้ได้ผลประโยชน์ไป ครั้งนี้ที่ลู่เซิ่งได้รับการคัดเลือก เป็นเพราะเขาต้องการตอบแทน
‘ขอบเขตอำนาจของหัวหน้าลัทธิต่างไปจากเดิมแล้ว ยังได้รับเคล็ดวิชาทั้งหมดที่อยู่ต่ำกว่าระดับเจ้าแห่งอาวุธโดยไม่ต้องจ่ายอะไรอีกต่างหาก แถมยังซื้อสิ่งของในลัทธิโดยมีส่วนลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ภารกิจที่รับมาทำได้ก็มีค่าตอบแทนมากกว่าเดิมเหมือนกัน’ ลู่เซิ่งนั่งจัดระเบียบความคิดอยู่บนเก้าอี้หิน
‘เราก้าวข้ามขอบเขตพื้นฐานสองขอบเขตจนกระทั่งถึงระดับเกือบสมบูรณ์แล้ว ขั้นต่อไปคือการเตรียมตัวเพื่อยกระดับเป็นมายาพิศวง…”
‘มายาพิศวงหรือ…’ ลู่เซิ่งถอนใจเฮือกหนึ่ง
เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูเป็นวิชาที่ครอบคลุมมาก มันบันทึกวิธีเลื่อนระดับเป็นมายาพิศวงในระดับที่อ่อนแอที่สุดเอาไว้
สิ่งที่มายาพิศวงต้องการคือการสร้างวัฏจักรการเกิดการตายที่พลังงานโคจรด้วยตัวเองได้ เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างการมีและการไม่มี
ถ้าเปลี่ยนสิ่งนี้เป็นระบบมารสวรรค์ ก็คือการสร้างวัฏจักรเกิดตายขึ้นในโลกรูปจิต
‘การจะสร้างวัฏจักรเกิดตายจำเป็นต้องบรรลุแก่นของวัฏจักร มีแต่ต้องบรรลุแก่นของวัฏจักรถึงจะเชื่อมต่อกับพลังวิญญาณในวัฏจักรได้’
ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงเคล็ดการปฏิสนธิในสมอง หากตัดผลการปฏิสนธิที่รกรุงรังออกไป แกนหลักเค้าโครงพื้นฐานยังเป็นสิ่งที่ไม่เลว
สิ่งที่แก่นของวัฏจักรต้องการคือ ประสบการณ์ความรู้ต่อวัฏจักรอันสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต รวมถึงการบรรลุสาระสำคัญของวัฏจักรชีวิต
ประสบการณ์แค่นี้ย่อมไม่นับเป็นอะไรสำหรับขอบเขตลวงตาที่ดำรงอยู่มาหลายหมื่นปี พวกเขาเพียงจำเป็นต้องนึกย้อนความทรงจำของตัวเองอย่างละเอียด และตามหาแรงบัลดาลใจรวมถึงความเข้าใจเท่านั้น
แต่ลู่เซิ่งต่างออกไป แม้เขาจะเป็นผู้ทะลุมิติ แต่ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งแก่ ไปถึงตาย อันเป็นกระบวนการของวัฏจักรชีวิต อย่างไรก็ไม่เคยสัมผัสอย่างสมบูรณ์มาก่อน
‘การคืนชีพหลังเกิดใหม่เคยเจอมาแล้ว แต่ช่วงเวลาตายในชาติก่อนของเราเป็นตอนหนุ่ม ตอนนี้ก็ยังห่างจากตอนแก่อีกไกล’
หลังจากคำนวณดูเล็กน้อย ลู่เซิ่งก็ทราบว่าสิ่งสำคัญเริ่มที่การจุติ