ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 666 อุบัติเหตุ (2)
บทที่ 666 อุบัติเหตุ (2)
‘ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวจากทางดาวปรภพ หมีก่วงอิงยังอยู่ตรงนั้น ไม่น่ามีปัญหาใหญ่อะไร แต่เหลือเวลาไม่เยอะแล้ว’
ลู่เซิ่งนึกย้อนถึงข่าวที่ได้ยินมาในหลายวันมานี้ เกี่ยวกับศึกใหญ่ระหว่างสำนักนทีครามกับมารดาแห่งความเจ็บปวด ตอนนี้สองฝ่ายพักรบชั่วคราว แต่เหมือนกับความสงบก่อนพายุจะมามากกว่า
ว่ากันว่าทั้งสองฝ่ายมีผู้เข้มแข็งขอบเขตลวงตาไม่น้อยที่ตายไป ถึงขั้นยังมีผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย
ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด
ทว่าไม่เพียงแค่ด้านนี้เท่านั้น เนื่องจากเป็นเพราะนครตราชั่งอยู่ไกลจากดาวปรภพมาก ดั้งนั้นจุดสนใจที่ให้ความสำคัญจึงอยู่อีกด้านหนึ่ง
จักรวรรดิหยกคู่ที่อยู่ในเขตดาวใกล้ๆ ทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรร่วมรบกับนครตราชั่งอย่างเป็นทางการ
ตำแหน่งของนครตราชั่งยกระดับขึ้น จักรวรรดิหยกคู่ค่อยๆ เริ่มส่งคนมายังนครตราชั่งเพื่อดำเนินการตั้งกองทัพขึ้นแลกเปลี่ยนกัน
จักรวรรดิหยกคู่มีพลังยิ่งใหญ่เกรียงไกร ยึดครองอาณาเขตที่ตัวมันตั้งอยู่เกือบทั้งหมด เป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
การที่นครตราชั่งทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรร่วมรบกับอีกฝ่ายได้ แสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพและอำนาจแข็งแกร่งสุดขีดเช่นกัน นครตราชั่งได้กลายเป็นด่านหน้าให้แก่จักรวรรดิหยกคู่ในสายตาของขุมกำลังประจำเขตดาวท้องถิ่นไปแล้ว
การแทรกซึมอย่างช้าๆ แบบนี้รับมือยากที่สุด พอข่าวกระจายออกไป ชื่อเสียงเรื่องความยุติธรรมของนครตราชั่งพลันตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลานี้ ลู่เซิ่งเริ่มเห็นร้านค้าและแผงลอยจำนวนไม่น้อยบนถนนใหญ่ปิดปรับปรุงกิจการ ทุกๆ วันได้ยินว่ามีสาขาของขุมกำลังจำนวนมากพากันล่าถอยออกจากนครหลวง
ทว่าระดับสูงของนครตราชั่งยังคงรักษาการติดต่อกับจักรวรรดิหยกคู่เหมือนเดิม
‘ดูเหมือนในโลกนี้ไม่มีสถานที่ใดที่ปลอดภัยอย่างเด็ดขาด ที่ที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงมีแต่ต้องอาศัยกำปั้นของตัวเองเท่านั้น’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจ
“โปรดดื่มชา นี่คือขนมหวานทานเล่นเจ้าค่ะ”
ทัวหลันปาเฮ่อยกชาร้อนกับขนมหวานชุดหนึ่งเข้ามา
สถานะของนางจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ มนุษย์พิษที่หายากอย่างมนุษย์โลหิตเงินไม่สามารถออกไปด้านนอกได้ตามใจ ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านของลู่เซิ่งอย่างว่าง่ายเท่านั้น
ไม่อยางนั้นหากถูกคนด้านนอกจับได้ ก็จะโดนกรีดเลือดไปเรื่อยๆ
“อีกไม่นานข้าต้องกักตนฝึกฝน เจ้าจงใส่ชุดคลุมอำพรางที่ข้าซื้อให้เจ้า เวลาไปซื้อของมาทำกับข้าวอะไรให้ระวังไว้ ทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งให้ไปซื้อหนังสือพิมพ์หยวนซิงมาหนึ่งฉบับ คอยสังเกตข่าวทางดาวปรภพที่สามไว้ นอกจากนี้ เจ้าจะต้องเช็ดถูฝุ่นละอองบนค่ายกลในห้องของข้าตามเวลาที่กำหนด และอย่าไปแตะต้องอัญมณีสีดำที่อยู่ตรงกลางเข้า”
“ข้าจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”
ทัวหลันปาเฮ่อพยักหน้าอย่าจริงจัง
ลู่เซิ่งให้นางรับผิดชอบอาหารการกินเอง ประการหนึ่งเป็นเพราะมีข้ารับใช้คนหนึ่งที่คอยรับผิดชอบเรื่องหยุมหยิมเพิ่มมาข้างกาย อีกประการเป็นเพราะเขาต้องการศึกษาเลือดสีเงินในตัวนาง ด้วยต้องการดูว่าจะดูดซับเข้าระบบพลังของตัวเองเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองได้หรือไม่
ตัวเขาลองผิดลองถูกมาโดยตลอด เห็นอะไรมีประโยชน์ก็ลองเอามาใช้ดูก่อน โดยไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งใด
“นอกจากนั้น ช่วงนี้ข้าออกไปปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน จนได้เงินน้ำแข็งมาไม่น้อย เจ้าจงนำเงินทั้งหมดไปวางไว้ในห้องเล็กๆ ด้านข้าง แล้วเปิดค่ายกลไว้ อย่าให้ใครเข้าใกล้” ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะกำชับต่อ
เงินน้ำแข็งเหล่านี้จะให้ใครพบไม่ได้ จึงไม่อาจเก็บไว้ในบัตร
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อพยักหน้า
“แค่นี้แหละ เจ้าไปทำงานเถอะ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย เมื่อไม่มีอะไรให้กำชับอีกแล้วก็บุ้ยใบ้ให้นางถอยไป
รอจนทัวหลันปาเฮ่อทำความสะอาดห้องเสร็จ เขาจึงค่อยเข้าไปและเริ่มตรวจสอบค่ายกลจุติอีกรอบ
ค่ายกลสำคัญแบบนี้ย่อมไม่อนุญาตให้ใครสอดมือมาทำแทน
คิดจะจุติ ต้องรวดเร็วว่องไวเพื่อประหยัดเวลา
เวลาของการจุติในครั้งนี้ยังคงเลือกโลกที่เวลาต่างกันมากที่สุด อย่างไรก็เน้นที่การทำความเข้าใจแก่นแท้แห่งวัฏจักรเป็นหลัก
ส่วนจิตวิญญาณอะไรเหล่านี้ ต่อจากนี้ยังมีโอกาสให้ชดเชย
เตรียมวัสดุ เปลี่ยนแปลงอะไหล่ที่สึกหรอ เปลี่ยนผลึกสีดำที่ใช้เป็นพลังงงาน เติมลวดลายค่ายกลที่ขาดหาย ตรวจสอบกลไกควบคุมที่วางไว้บนตัวทัวหลันปาเฮ่อ
ลู่เซิ่งทำงานแต่ละอย่างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสามทุ่มกว่าๆ จึงค่อยแล้วเสร็จ
เหง่ง…เหง่ง…
ลู่เซิ่งนั่งอยู่กลางค่ายกล ได้ยินเสียงระฆังโบราณที่ทุ้มหนักดังมาจากด้านนอกอย่างเลือนราง
‘ดังสองครั้ง เป็นระฆังต้อนรับเหรอ ดูเหมือนจะมีบุคคลยิ่งใหญ่มาถึงนครหลวงสินะ…’
ครืน!
ค่ายกลค่อยๆ เรืองแสงสีแดง เส้นสีแดงหลายสายสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่องไปตามลวดลายค่ายกลบนพื้น พวกผลึกสีดำที่ฝังอยู่รอบๆ ค่ายกลพากันสั่นไหวตามกาลเวลาที่ผ่านไป เส้นสีแดงจำนวนมากไหลคดเคี้ยวออกมาจากข้างใต้ผลึกสีดำ
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นผลึกสีดำทั้งหมดระเบิดเป็นผุยผง เส้นสีแดงหลายสายลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วประสานเป็นกรอบทรงขนมเปียกปูนขนาดใหญ่กลางอากาศ
สีเทาจุดหนึ่งที่อยู่ตรงกลางกรอบขยายจากเล็กเป็นใหญ่อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นทางเข้าร่องแยกสีเทาที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน
‘ดูเหมือนแก่นหยางหลังจากขอบเขตลวงตาจะมีอะไรบางอย่างเพิ่มมา ทำให้เปิดร่องแยกได้ง่ายกว่าเดิม หนำซ้ำเส้นทางยังเสถียรขึ้นมากด้วย…’ ลู่เซิ่งคาดคะเนนในใจ แต่ว่าการเคลื่อนไหวไม่ชักช้าแม้แต่น้อย
เสื้อคลุมตัวยาวบนร่างเขาไถลลงอย่างฉับพลัน ตัวเขาหดเล็กลงกลายเป็นแสงสีดำแล้วพุ่งเข้าไปในร่องแยก ก่อนจะหายไปในพริบตาเดียว
…
กลิ่นสุราเข้มข้นลอยเข้ามาในจมูก
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพียงรู้สึกขอบตาเปียกชื้น ดวงตาร้อนผ่าวและบวมแดง เหมือนเพิ่งร้องไห้เสร็จใหม่ๆ
เขานั่งอยู่ในโถงงานเลี้ยงหรูหราที่ว่างเปล่า ตำแหน่งที่นั่งคือตำแหน่งประธาน สวมชุดแพรสีม่วงซึ่งปักลายมังกรดำสี่กรงเล็บที่อ้าปากกางเล็บ ดูดุดันเป็นพิเศษ
ในใจเกิดความโศกาอาดูรที่บรรยายไม่ได้ ความคิดยึดติดอย่างหนึ่งสะท้อนอยู่ในหัวใจอย่างต่อเนื่อง
‘ให้มันได้อย่างนี้สิ…’ ลู่เซิ่งเอือมระอาอยู่บ้าง สถานะของการจุติในครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็นบุตรในตระกูลสูงศักดิ์ และพระญาติขององค์จักรพรรดิอย่างแท้จริง
โลกใบนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่เขา โลกที่เขาเลือกมีการไหลของเวลาต่างกันมากที่สุดแท้ๆ
ถึงระดับพลังจะไม่เสถียร แต่ที่จริงความเร็วในการไหลของเวลากับระดับพลังมีความเชื่อมโยงกันในระดับหนึ่ง ยิ่งเวลาแตกต่างกันเท่าไหร่ ระดับพลังก็จะยิ่งแตกต่างมากเท่านั้น
ตามหลักตรรกะปกติแล้ว ยิ่งเวลาในโลกเล็กๆ ไหลเร็วเท่าไหร่ ระดับพลังก็จะยิ่งอ่อนแอเท่านั้น แต่ครั้งนี้ลู่เซิ่งกลับสังหรณ์ไม่ดีอยู่บ้าง
สถานะของการจุติในครั้งนี้คือหวงจิ่ง เยวี่ยฉินอ๋องซื่อจื่อ[1]แห่งราชวงศ์ซีหยา
ในความทรงจำ ราชวงศ์ซีหยากว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สืบทอดมามากกว่าพันปี มีจักรพรรดิหลายสิบพระองค์ กินอาณาเขตกว้างขวาง หากขี่ม้าจากอีกด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านหนึ่งต้องใช้เวลาสิบกว่าปีเป็นอย่างน้อย
แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือ อาณาจักรซีหยาที่รุ่งเรืองมามากกว่าพันปีกำลังเผชิญกับความตกต่ำเสื่อมทรามอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทั่วทั้งอาณาจักรใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เน้นบุ๋นไม่เน้นบู๊ ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าอาณาจักรกำลังทรุดโทรมลงเรื่อยๆ
ชนเผ่าชายแดนผงาดขึ้น ภายในเกิดคลื่นใต้น้ำ ประชาชนทุกหย่อมหญ้าทุกข์ทรมาน เสบียงเริ่มหดหาย กอปรกับเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าเมืองแต่ละที่คิดกบฏ
อาณาจักรทั้งอาณาจักรเหมือนกับเรือที่พร้อมจะอับปางได้ทุกเวลา หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็จะจมลงเนื่องจากคลื่นลมและมอดที่กัดกินได้
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งตกใจที่สุดก็คือโลกใบนี้มีเซียน
และไม่ใช่เซียนธรรมดา
หากเป็นตี้วา!
ตี้วาคือคำเรียกเจ้าแม่หนี่ว์วา[2]ในอารยธรรมจีน
‘ที่นี่มีหนี่ว์วาด้วยหรือนี่!?’ ลู่เซิ่งสะสางความทรงจำของหวงจิ่งหรือร่างจุติของตนด้วยความตกตะลึง
ยามจักรพรรดิแต่ละยุคแห่งราชวงศ์ซีหยาขึ้นรับตำแหน่ง จะต้องบูชาตี้วาเพื่อขอให้ประเทศอยู่เย็นเป็นสุข ลมฝนตกตามฤดูกาล
สิ่งที่ทำให้คนหมดคำพูดยิ่งกว่าก็คือ มีหนี่ว์วายังพอว่า แต่ที่นี่ยังมีลัทธิเต๋าสองสำนักใหญ่ที่ทรงอำนาจได้แก่ สำนักวสันต์สารทและลัทธิไม่จีรัง
ทั้งสองสำนักนี้แทรกซึมเข้ามาในราชวงศ์ซีหยาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ยอดคนผู้บรรลุเต๋าล่อลวงราชวงศ์ให้รบทัพจับศึกด้วยวิชาเซียนที่หลากหลาย แต่ไม่มีใครทราบถึงเป้าหมายของพวกเขา
สำนักเต๋าพวกนี้ไม่ได้ขอให้ราชวงศ์มอบทรัพยากรอะไรให้ และยิ่งไม่ต้องการผลประโยชน์จากขุนนางระดับสูง ทั้งยังมีความลี้ลับพิสดาร เอาแต่เร้นกายอยู่ในวิมานถ้ำบนเขา พวกเขาไม่มาหาท่าน ท่านก็อย่าคิดตามหาพวกเขา
ต่างคนต่างอยู่เหนือโลกียะ บางครั้งเท่านั้นที่จะส่งศิษย์มาลงมือ เพื่อให้คนทราบถึงความมหัศจรรย์ในฝีมือของพวกเขา
ลูเซิ่งหยิบจอกสุรากระเบื้องครามขึ้นมาลูบไล้ลวดลายที่เนียนละเอียด
‘โลกนี้มีความลึกลับมากทีเดียว…’ แม้เขาจะมีความเชื่อมั่น แต่หากต้องเผชิญกับเทพโบราณอย่างเจ้าแม่หนี่ว์วาจริงๆ ก็ยังคงไม่มีความมั่นใจ
อย่างไรเขาที่เป็นคนจีนก็ได้ยินตำนานเทพนิยายของเจ้าแม่หนี่ว์วามาตั้งแต่เด็กจนโต
‘ถ้าเป็นองค์เทพหนี่ว์วาจริงๆ อย่างนั้นเกรงว่าโลกใบนี้จะมีระดับพลังเหนือกว่าจินตนาการของพวกเรา แต่เวลาของที่นี่ผ่านไปเร็วกว่าโลกมารสวรรค์แท้ๆ…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ‘หรือว่าหนี่ว์วานี่จะไม่ใช่เจ้าแม่หนี่ว์วาที่เรารู้จัก’
เขาทบทวนอยางละเอียด เซียนและนักพรตเหล่านี้มีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจจริงๆ บ้างก็สามารถปลิดศีรษะคนโดยอยู่ห่างออกไปถึงหมื่นลี้ได้ บ้างก็อยู่ยงคงกระพัน สามารถเดินในเตาเผาเหล็กได้สบายๆ
บ้างก็เหาะเหินเดินอากาศได้ บ้างแค่อ้าปากก็พ่นแสงหลากสีออกมาทำลายภูผาและธาราได้แล้ว
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถที่มีเฉพาะในหมู่ผู้บำเพ็ญเต๋าเท่านั้น คนธรรมดาไม่อาจสัมผัสได้ ต่อให้สัมผัสได้ ก็เป็นประเภทที่คิดว่าเจอภูตผีปีศาจมากกว่า
ถ้าหากมีคนธรรมดาถูกรับไปเป็นศิษย์ที่ถ้ำวิมานสำหรับบำเพ็ญเต๋า ก็จำเป็นจะต้องสะบั้นผลกรรมต่างๆ ทิ้ง โดยตัดสัมพันธ์กับบิดามารดาภรรยาและบุตร จากนั้นก็ลืมเลือนน้ำใจ รวมถึงหลอมรวมเข้ากับสำนักเต๋าและหลุดจากโลกีย์วิสัยโดยสมบูรณ์
‘เป็นคนละระดับโดยสิ้นเชิงจริงๆ’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นสะบัดเสื้อคลุมบนตัว ด้านข้างมีหญิงรับใช้อ่อนโยนคนหนึ่งเดินเข้ามาประคองเขาทันที
“ซื่อจื่อโปรดระวัง!”
หญิงรับใช้เบียดหน้าอกขนาดมหึมากับแขนของเขาเหมือนตั้งใจเหมือนไม่ตั้งใจ คล้ายกับจงใจยั่วยวน
แต่ลู่เซิ่งไม่มีเวลาสนใจ สมองของเขาในตอนนี้มีแต่ข้อมูลของสำนักเต๋า ผู้บำเพ็ญ และเจ้าแม่หนี่ว์วาเท่านั้น
จากนั้นหญิงรับใช้ก็ประคองเขามาพักผ่อนในห้องนอน ลู่เซิ่งที่นอนหงายอยู่บนเตียงนึกถึงผลกรรมความปรารถนาเมื่อก่อนหน้านี้ของร่างต้นอีกครั้ง
‘ต้องการให้ราชวงศ์ซีหยาดำรงอยู่ต่อไป ยากไปหน่อยนะเนี่ย…’
ถ้าหากเป็นแค่ราชวงศ์ธรรมดา แค่เขาฟื้นพลังของร่างหลักมาได้นิดหน่อย ก็กำราบได้สบายๆ แล้ว
แต่โลกนี้คือโลกที่มีเซียนอยู่ด้วย หากคิดจะรักษาราชวงศ์ใหญ่อย่างนี้ต่อไปจริงๆ พลังที่ต้องใช้ก็จะสูงขึ้นกว่าเดิม
ก่อนที่จะทำความเข้าใจพลังของเซียนในโลกใบนี้ได้ ลู่เซิ่งไม่คิดจะเคลื่อนไหววู่วาม เก็บงำประกายแล้วเน้นยกระดับพลังเป็นหลักก่อนดีกว่า
‘อันดับแรกจะต้องสัมผัสกับระบบการฝึกฝนหลักของโลกใบนี้ให้ได้ก่อน…’ ลู่เซิ่งคัดเลือกความทรงจำที่เกี่ยวข้องจากในความทรงจำของหวงจิ่งออกมา
แม้คนธรรมดาจะไปไม่ถึงระดับเทพเซียน แต่ก็มีวิธีฝึกฝนมรรคายุทธ์ในระบบสำเร็จรูป เพียงแต่วิธีการพวกนี้อาศัยพรสวรรค์มากถึงขีดสุด
แถมบนศีรษะยังมีเทพเซียนกดทับอยู่ ต่อให้แข็งแกร่งอย่างไรก็ได้แต่อยู่ในระดับมนุษย์อยู่ดี
ลู่เซิ่งยังไม่ลืมว่าเป้าหมายหลักของการจุติในครั้งนี้คือการทำความเข้าใจแก่นแห่งวัฏจักร การสะสางผลกรรมเป็นเรื่องที่อยู่รองลงไป
เขาที่นอนอยู่บนเตียงสัมผัสกับสภาพของร่างกายนี้อย่างละเอียด
ดื่มสุราเสพนารีเกินไปจนร่างกายอ่อนแอ สารกำเนิดไม่เพียงพอ ไม่ค่อยมีสติสตัง เลือดลมบกพร่อง อายุสิบเจ็ดปี แต่ว่าอายุของอวัยวะภายในกลับปาเข้าไปสี่ห้าสิบปีแล้ว
‘ลำบากอยู่บ้าง ต้องตั้งใจบำรุงไปสักระยะก่อน มิน่าเราถึงได้จุติลงมาง่ายขนาดนี้ ที่แท้ร่างร่างนี้ก็อ่อนแอเกินไป หากเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้เราไม่จุติลงมา อีกไม่นานก็น่าจะได้ตายอย่างกะทันหันแน่’
เขาใช้แก่นหยางฟื้นฟูร่างกาย แก่นหยางเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบพลังงานสิบกว่าชนิด ไม่นานก็เจอโครงสร้างเลือดลมที่ประสานเข้ากับกฎของโลกใบนี้ได้ จากนั้นก็เติมพลังเข้าไปในวงจรร่างกายของลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
‘พรุ่งนี้ลองไปหาเยวี่ยฉินอ๋องดูเพื่อหาวิธีติดต่อกับผู้บำเพ็ญในโลกใบนี้ ดูว่าจะหาผลประโยชน์ได้สักหน่อยไหม’
ในฐานะโอรสเพียงคนเดียวของชินอ๋องประจำอาณาจักร อำนาจแค่นี้น่าจะยังมีอยู่
……………………………………….
[1] เยวี่ยฉินอ๋องซื่อจื่อ เยวี่ยฉินอ๋อง หมายถึงผู้เป็นพ่อ ฉินอ๋องเป็นตำแหน่งที่ใหญ่รองจากฮ่องเต้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระญาติ ส่วนซื่อจื่อ หมายถึงรัชทายาท เป็นบุตรชายของฉินอ๋องอีกที เยวี่ยฉินอ๋องซื่อจื่อจึงหมายถึงรัชทายาทของเยวี่ยฉินอ๋อง
[2] เจ้าแม่หนี่ว์วา เทพเจ้าในปกรณัมจีนโบราณ ว่ากันว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์และสรรพสัตว์ขึ้นมาจากดินเหนียว