ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 667 หลักแห่งเต๋า (1)
บทที่ 667 หลักแห่งเต๋า (1)
ราตรีผ่านไปโดยไม่เกิดอะไรขึ้น
ลู่เซิ่งไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่ค่อยๆ ใช้แก่นหยางหล่อเลี้ยงส่วนบกพร่องในร่างกายเพื่อเตรียมสำหรับการฝึกฝนต่อจากนี้ก่อนเท่านั้น
วันต่อมา เขาตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง
เขาอาบน้ำและสวมเสื้อผ้าที่ติดถุงหอมด้วยการปรนนิบัติของหญิงรับใช้ แล้วเดินออกจากห้องนอน
ด้านนอกห้องนอนคือสวนที่ไม่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง ด้านในมีภูเขาจำลองและลำธารเล็กๆ ยังมีศาลาเล็กสีแดงที่ปูหลังคาสี่เหลี่ยมแห่งหนึ่ง
ตอนออกมา ลู่เซิ่งเจอคุณชายวัยเยาว์หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังซึ่งยื่นมือไปลูบคลำทรวงอกขององค์รักษ์หญิงที่อยู่ด้านข้างในศาลา ทั้งสองเกี้ยวพาราสีกันเหมือนกับรอบข้างไม่มีคน
ลู่เซิ่งพลิกหาจากความทรงจำของหวงจิ่ง พลันจดจำได้ว่าคุณชายคนนี้เป็นใคร
หยวนจี้คง บุตรของแม่ทัพอารักขาประจำวัง ทั้งยังเป็นบุตรชายคนโต ปกติแล้วดื่มสุราเสพนารี ทำตัวโอหังไร้ความเกรงกลัว และใช้ชีวิตอยู่กับความเมามายเหมือนกับหวงจิ่ง
บางครั้งบางคราวหวงจิ่งยังรู้สึกเศร้าใจกับราชวงศ์ยิ่งใหญ่ที่กำลังเดินถึงทางตัน ต่างไปจากคนผู้นี้
หยวนจี้คงสำมะเลเทเมา ทั้งยังหน้าตาหล่อเหลา บิดาของเขาอยู่ในตำแหน่งสูง เด็กสาวที่ทำร้ายไปย่อมมีมากมายนับไม่ถ้วน
ตัวเขา หวงจิ่ว ยังมีฉื่อทงฮ่าวเป็นกลุ่มตัวบัดซบประจำวัง กล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทุกคนต่างทราบกันดี
เพียงแต่ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า ที่จริงหยวนจี้คงกับฉื่อทงฮ่าวนี้ต่างก็อาศัยชื่อตำหนักอ๋องของเยวี่ยฉินอ๋องในการก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว
แต่เทียบกับสองคนนี้แล้ว หวงจิ่งไม่ได้หลงในสตรีเท่าไหร่ หากชอบดื่มสุรามากกว่า แต่หลังจากเมาแล้วก็จะถูกสองคนนี้พาไปไปเสียคนจนร่างกายอ่อนแอ
“อ้าว พี่ใหญ่ตื่นแล้วหรือ เมื่อวานถึงกับไม่ให้หญิงรับใช้ปรนนิบัติ ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่ดื่มสุราไม่น้อย มีเรื่องอะไรกวนใจอย่างนั้นหรือ” ครั้นหยวนจี้คงทางด้านนั้นเห็นลู่เซิ่งออกมา ก็ผลักองครักษ์หญิงข้างกายออกไปและสาวเท้าเดินมาทางนี้ทันที
“เจ้ามาเร็วขนาดนี้เชียว?” ลู่เซิ่งพูดอย่างราบเรียบเลียนแบบน้ำเสียงของหวงจิ่ง
“ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ หรือว่าพี่ใหญ่จะลืมแล้ว เฉินไข่โฉวแห่งจวนเก้าหม่อนจะส่งของขวัญใหญ่มา ยังรอให้ซื่อจื่อเห็นแก่หน้ายอมปล่อยบุตรีของเขาสักครั้ง” หยวนจี้คงยิ้มประจบพร้อมกับเขยิบเข้าใกล้
“ผู้น้องคิดว่า ของขวัญนี้ต้องรับไว้ เฉินชิวหานนั้นก็ต้องรับไว้เหมือนกัน! พี่ใหญ่เองก็เคยเห็นเด็กสาวคนนั้นแล้วนี่ รูปโฉมระดับนั้น ต่อให้อยู่ในจวนเก้าหม่อนเล็กๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีคนหมายปอง พี่ใหญ่เก็บนางเป็นอนุจะดีกว่า!”
“เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง ตอนนี้ข้าจะไปเข้าพบพระบิดา เจ้าจะไปด้วยกันไหม” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ไม่พ่ะย่ะค่ะๆ…” พอได้ยินว่าจะไปพบเยวี่ยฉินอ๋อง รอยยิ้มประจบบนใบหน้าหยวนจี้คงพลันแข็งค้าง ไม่กล้ากล่าวไร้สาระอีก
แม้เยวี่ยฉินอ๋องจะตามใจบุตรชาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใจกว้างกับคนนอก
ฉินอ๋องคนนี้เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนที่สุดในหมู่อ๋องทั้งเก้าของราชวงศ์ แม้จะไม่เชี่ยวชาญทักษะวรยุทธ์ แต่ก็มีทหารอารักขาสามทัพใหญ่อยู่ใต้บังคับบัญชาหลายสิบหมื่น ทั้งยังควบคุมอาณาเขตมณฑลใหญ่หลายแห่งรอบๆ กล่าวได้ว่าทหารเข้มแข้งอาชากล้าแกร่ง มีอำนาจล้นฟ้า
ส่วนตระกูลหนิงซึ่งอยู่เบื้องหลังหนิงเหอผู้เป็นหวางเฟยก็ยิ่งร่ำรวยกว่า ดูแลแป้งหอมและเครื่องประทินโฉมเกือบครึ่งในราชวงศ์
มีคนมีเงินทอง แม้แต่จักรพรรดิก็ต้องเอาใจ ยิ่งอย่าว่าแต่ขุมกำลังธรรมดาๆ
“ไม่ใช่สิ ก่อนหน้านี้ชินอ๋องไปปราบชนเผ่าทางตะวันตกไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” หยวนจี้คงพลันงุนงง
“งั้นหรือ” ลู่เซิ่งตบหน้าผาก ความทรงจำกำลังสับสน เนื้อหาเกี่ยวกับเมื่อวานมีอยู่ไม่มาก แสดงให้เห็นว่าตอนที่เยวี่ยฉินอ๋องจากไป ร่างต้นนี้ยังอยู่ในสภาพงุนงง ไม่ทราบอะไรเลยสักอย่าง
“เป็นอย่างไร พี่ใหญ่อยากจะไปดูของขวัญใหญ่ที่จวนเก้าหม่อนจะส่งมาพร้อมกับผู้น้องหรือไม่” หยวนจี้คงพลันยิ้มทะเล้นอีกรอบ
“ไม่ไปหรอก” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เอาไว้ก่อน จริงสิ เจ้าช่วยข้าสืบทีว่าช่วงนี้ในเมืองมียอดคนทางลัทธิเต๋าโผล่มาบ้างหรือไม่”
ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของหวงจิ่งตามความทรงจำ แม้หยวนจี้คงผู้นี้จะไม่นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถ แต่ก็ควรค่าให้เชื่อใจ
มีสองครั้งที่โดนลอบสังหาร เป็นหยวนจี้คงผู้นี้ที่มาขวางด้านหน้าหวงจิ่งเอง
“ยอดคนทางลัทธิเต๋าหรือ” หยวนจี้คงงุนงง ไม่รอให้เขาได้สติ ลู่เซิ่งก็เดินไปไกลแล้ว
ที่อยู่ของซื่อจื่ออยู่ในสวนโดดเดี่ยว ลู่เซิ่งตัดทะลุทางเดินกว้างขวางสายหนึ่ง เข้าไปในสวนดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่า
ตามกฎปกติ เขาจำเป็นต้องไปพบหนิงเหอมารดาของตนก่อน แต่กฎนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา
หนิงเหอมีนิสัยเย็นชามาแต่ไหนแต่ไร แม้จะเป็นหวางเฟย[1] แต่ก็ไม่ได้สนใจในตัวเยวี่ยฉินอ๋องและโอรสของตัวเองมากนัก วันๆ ถ้าไม่ดีดพิณก็อ่านตำรา
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปในลาน เห็นสตรีร่างสะโอดสะองที่ทั้งตัวเป็นสีขาวราวหิมะยืนอยู่ใต้ชายคาแต่ไกล ด้านข้างมีหญิงรับใช้สองคนประคองอย่างระมัดระวัง
ในเมื่อเข้าพบเยวี่ยฉินอ๋องไม่ได้ การพบมารดาที่ดูแลจวนภายในผู้นี้ก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน ลู่เซิ่งรู้สึกว่าโลกใบนี้เหมือนกับทำเนียบสถาปนาเทพ[2]ที่ตนเองเคยอ่านในโลกใบเก่ามาก มีทั้งหนี่ว์วา มีทั้งเซียน ทั้งยังมีขุมกำลังสำนักเต๋าสองสำนักที่ต่อสู้กันเอง
แต่ว่าตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนต้องทำ นั่นก็คือการตามหาช่องทางเพื่อดูว่าจะติดต่อกับระบบหลักของโลกใบนี้ได้หรือไม่
หรือก็คือหลักแห่งเต๋า
“บุตรคำนับพระมารดา” หลังจากเข้าไปใกล้ ลู่เซิ่งก็คำนับหวางเฟยหนิงเหออย่างเคารพโดยเลียนแบบท่าทางของหงจิ่ง
“ไม่ต้องมากมารยาทหรอก ตื่นเช้าขนาดนี้ ไม่เหมือนเจ้าที่ปกติเกียจคร้านเลยนี่ มีธุระหรือ” หวางเฟยเหลือบมองลู่เซิ่งแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปอ่านม้วนตำราในมือตัวเองต่อ
ลู่เซิ่งพิจารณามารดาคนนี้ ยังไม่เอ่ยถึงร่างสะโอดสะอง นางมีใบหน้าสง่างามหมดจด ผิวหนังเนียนนุ่ม ผมดำขลับ ยามยืนไม่เหมือนกับหวางเฟย หากเหมือนกับบุตรีตระกูลใหญ่ธรรมดาๆ ที่เก่งกาจในด้านพิณ หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพมากกว่า
ไม่มีท่วงท่าของหวางเฟยแม้แต่น้อย
ว่ากันว่าเดิมทีหนิงเหอผู้นี้รักกับคุณชายตระกูลใหญ่อีกบ้านหนึ่ง หากนึกไม่ถึงว่าจะถูกเยวี่ยอ๋องพบเจอโดยบังเอิญในโอกาสครั้งหนึ่ง เพื่ออำนาจและสถานะ ตระกูลหนิงเลยส่งหนิงเหอไปยังจวนของเยวี่ยอ๋องในวันต่อมาทันที
สิ่งที่นึกไม่ถึงก็คือหลังได้รับพระกรุณาคืนหนึ่ง หนิงเหอก็ตั้งท้องซื่อจื่อซึ่งให้กำเนิดเป็นหวงจิ่งในเวลาต่อมา จากนั้นนางก็ได้สถานะเพราะบุตรชาย กอปรกับการวางแผนและการปราบปรามจากเจ้าบ้านตระกูลหนิง ในที่สุดก็ส่งนางขึ้นนั่งบนตำแหน่งหวางเฟยสำเร็จ
เพียงแต่เนื่องจากความรักในตอนนั้นถูกขัดขวาง หนิงเหอจึงเย็นชาต่อบุตรชายและเยวี่ยฉินอ๋องเป็นอย่างมาก ไม่ได้มีความรักล้ำลึกอะไรนัก
แถมเยวี่ยฉินอ๋องยังมองนางเป็นเพียงของเล่นและตัวเชื่อมผลประโยชน์เท่านั้น ถ้าไม่มีบุตรชาย หนิงเหอคงปีนขึ้นตำแหน่งหวางเฟยไม่ได้
“ลูกมีเรื่องที่ต้องการร้องขอจากพระมารดาจริงๆ” ลู่เซิ่งนึกถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสตรีตรงหน้า
“ว่ามาสิ ถูกใจบุตรีบ้านไหนอีกหรือไง” หวางเฟยวางตำราลงแล้วมองลู่เซิ่งด้วยสายตาขยะแขยง
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ…” ลู่เซิ่งรีบส่ายหน้า “บุตรได้อ่านนิยายพิสดารหลายเล่ม จึงเกิดความสนใจต่อยอดคนที่บรรลุเต๋าในตำนาน ไม่ทราบว่าจวนชินอ๋องของพวกเราได้เชิญคนระดับนี้ไว้บ้างหรือไม่”
“ยอดคนบรรลุเต๋าหรือ” หวางเฟยงุนงง แม้นางจะหลงใหลในด้านกาพย์กลอน เพลงพิณ หมากล้อม อักษรภาพ แต่ก็ไม่ใช่สตรีธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นกัน
ถึงยอดคนบรรลุเต๋าจะมีไม่มาก แต่ในฐานะเชื้อพระวงศ์ และด้วยอำนาจของตำหนักเยวี่ยอ๋อง ก็ยังสามารถเชิญมาได้สักสองสามคน
นางใคร่ครวญเล็กน้อยขณะพิจารณาสีหน้าลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
“ถ้าหากสนใจจริงๆ ที่บ้านตาของเจ้ากลับเลี้ยงนักพรตจากภายนอกไว้คนหนึ่ง ว่ากันว่ามีพลังฝึกปรืออยู่บ้าง อีกเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปรับมาพบเจ้าก็แล้วกัน”
ลู่เซิ่งยินดี บ้านท่านตาคิดหาวิธีต่างๆ นานา ประจบราชวัง กอปรกับเป็นพ่อค้าร่ำรวยอยู่แล้ว จึงมีเครือข่ายข้อมูลและเส้นสายที่น่าตกใจ หากบอกว่าหาเจอ อย่างนั้นก็ต้องหาเจอแน่ๆ
“เช่นนั้นขอขอบคุณพระมารดา!” เขารีบประสานมือคำนับ
“ถ้าหากสนใจในด้านหลักของเต๋าจริงๆ ก็ไปกลับไปอ่านคัมภีร์เต๋าหลายๆ เล่มหน่อยก็แล้วกัน” ดูเหมือนหวางเฟยจะเหนื่อยแล้ว จึงหันหลังเดินเข้าห้องโดยไม่สนใจลู่เซิ่งอีก
ลู่เซิ่งน้อมส่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งหวางเฟยเข้าไปในห้อง เขาจึงค่อยหมุนตัวกลับเรือนของตัวเอง
‘เป็นซื่อจื่อนี่มันสบายดีแท้’
เนื่องจากแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดาย เขาจึงเดินทอดน่องด้วยจิตใจผ่อนคลาย ตอนเดินผ่านทางเดินระหว่างตำหนักสองแห่ง เขาพลันได้ยินเสียงตะโกนจากที่ไกลๆ
‘ทหารอารักขาที่ฝึกฝนวรยุทธ์ในตำหนักกำลังฝึกฝนตอนเช้าอยู่ใช่ไหมเนี่ย’ ลู่เซิ่งแยกแยะในใจ
เดินไปตามทางเดินสักพัก ไม่นานเขาก็พบลานฝึกกว้างขวางแห่งหนึ่ง คนหลายสิบคนยืนกระจัดกระจายอยู่ตรงนั้น ดำเนินการฝึกฝนของใครของมันไป
บ้างก็ยกโซ่หิน บ้างก็เสียบมือใส่กระถางทราย บ้างก็เปลือยท่อนบนและกระแทกกับต้นไม้ บ้างก็ถืออาวุธจับคู่สู้กัน บ้างก็ใช้มือเปล่าหมัดเปลือยชกกัน
มีมากมายหลายรูปแบบ แต่แค่ลู่เซิ่งกวาดตามองดู ก็เข้าใจกระแสหลักด้านวรยุทธ์ของโลกใบนี้คร่าวๆ แล้ว
นี่คือทหารองครักษ์ประจำตำหนักเยวี่ยอ๋อง แต่ละคนล้วนเป็นหัวกะทิที่เลือกมาจากหนึ่งในร้อย แต่สิ่งที่คนเหล่านี้ฝึกเป็นวิชาภายนอกธรรมดาๆ อย่าว่าแต่การฝึกปราณของวิชาเซียน แม้แต่วิชาภายในธรรมดาก็ยังไม่เห็น
‘ถูกเทพเซียนสะกดไว้ หรือเป็นเพราะ…’ จิตใจของลู่เซิ่งหนักอึ้งอยู่บ้าง
พอกลับมาถึงเรือนของตัวเอง เขาก็ให้คนจัดโต๊ะสุราพร้อมยกกับข้าวและสุราดีมา จากนั้นก็มีคนส่งข่าวมาอย่างรวดเร็ว
เขาพลิกอ่านครู่หนึ่งและรออีกสักพัก ไม่นานหญิงรับใช้คนหนึ่งของหวางเฟยก็พานักพรตชราผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งมาถึง
นักพรตคนนี้สวมชุดนักพรตสีกรมท่า ไว้เคราแพะยาวมาก หน้าแดงเรื่อ ผิวอวบอิ่มสดใส ถือที่ปัดฝุ่นด้ามเหล็กอันประณีตเล่มหนึ่งในมือ มองดูมีท่วงท่าแห่งเซียน สง่างามถึงขีดสุด
“คำนับซื่อจื่อ ข้าจวงอู๋โยว ฉายาเต๋าคืออู๋โยวจื่อ (ไร้ห่วงหา) ได้ยินมาว่าซื่อจื่อเกิดความสนใจต่อหลักแห่งเต๋า ไม่ทราบว่าท่านต้องการทำความเข้าใจด้านไหนหรือ” พอนักพรตชราเห็นลู่เซิ่ง ก็เผยสันดานเดิมและยิ้มแย้มทันที
ลู่เซิ่งพิจารณาชายชราผู้นี้ขึ้นลง แม้จะยิ้มแย้ม แต่ก็รักษาความระวังตัวไว้
ในข้อมูลบันทึกประวัติของชายชราคนนี้ไว้อย่างชัดเจน ว่ากันว่าเป็นศิษย์หนีสำนักคนหนึ่ง ไม่มีความสามารถอะไร เพียงแต่ใช้วิชาควบคุมลมหายใจเพื่อเพิ่มความแข็งแกรงให้แก่ร่างกายได้เท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่มีอะไรเลย
ตอนถูกพาเข้าตระกูลหนิง ชายชราคนนี้คุยโวถึงการดูดกลืนแก่นสารแห่งฟ้าดินเพื่อดูดซับสารกายอาทิตย์จันทราอะไรนั่นไว้นักหนา
แต่ผ่านมาหลายปี ทุกคนต่างก็ทราบว่า ชายชราคนนี้แค่มีร่างกายดีกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยจนไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าเยอะในหน้าหนาวเท่านั้น ที่เหลือก็ไม่เห็นเขามีความสามารถอะไรอีก
อ้อ จริงสิ ชายชราคนนี้ดูเหมือนจะใช้วิชามวยอายุวัฒนะตงชานได้ ซึ่งเป็นวิชามวยเพื่อรักษาสุขภาพเช่นเดียวกับมวยเบญจลีลา อู๋ฉินซี่[3]ที่เหมือนกับท่าทางของสัตว์ห้าประเภทได้อีก
แม้จะไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก แต่นักพรตชราคนนี้ก็มีฝีปากไม่เลวจริงๆ ท่องคัมภีร์เต๋าได้อย่างคล่องแคล่ว กอปรกับเป็นคนในสำนักเต๋า อย่างไรก็รู้เส้นสนกลในมากมาย
“ที่แท้ก็เป็นท่านนักพรตอู๋โยวจื่อนี่เอง ขอไม่ปิดบัง ช่วงนี้ข้าเกิดความสนใจต่อหลักแห่งเต๋ามาก ไม่ทราบว่าท่านเชี่ยวชาญหลักแห่งเต๋าที่อัศจรรย์ในตำนานหรือไม่” ลู่เซิ่งถามตามตรง
“หลักแห่งเต๋าหรือ” เดิมทีอู๋โยวจื่อยังยิ้มแย้ม ครั้นพอได้ยินคำว่าหลักแห่งเต๋า ใบหน้าก็ตึงขึ้นทันที
“ซื่อจื่อคงไม่ทราบ หลักแห่งเต๋าที่ข้าฝึกฝนมิอาจสาธิตต่อหน้าผู้คน นอกจากนี้หลักแห่งเต๋าของข้ายังตื้นเขิน อย่างมากสุดก็ทำได้แค่ไม่ให้ความหนาวกล้ำกรายเท่านั้น หากพูดถึงหลักแห่งเต๋าที่อัศจรรย์ในตำนานพวกนั้นจริงๆ เกรงว่ามีแต่อาจารย์ของข้าเท่านั้นที่ทำได้…”
……………………………………….
[1]หวางเฟย ตำแหน่งพระชายาเอกของฉินอ๋อง
[2] ทำเนียบสถาปนาเทพหรือฮ่องสิน เป็นตำนานที่มีวีรชนมาสู้กัน และหลังจากเหล่าวีรชนตายลงก็ได้รับการสถาปนากลายเป็นเทพ
[3] อู๋ฉินซี่ เป็นวิชามวยเพื่อการออกกำลังกายโดยเลียนแบบท่วงท่าของสัตว์ห้าชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง กระเรียน