ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 67 เลือก (1)
“เป็นคัมภีร์ไม่สมบูรณ์ ชื่อวิชาทมิฬพิฆาต” เรื่องนี้ลู่เซิ่งกลับไม่มีอันใดต้องปิดบัง ถึงอย่างไรก็เป็นคัมภีร์ลับที่ซื้อได้จากงานประมูล สำหรับคนธรรมดาแม้ว่าลี้ลับ แต่ว่าสำหรับคนในวงการสมควรไม่นับเป็นอันใด
เป็นอย่างที่คิด พอได้ยินชื่อวิชานี้ หลี่ซุ่นซีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“วิชาทมิฬพิฆาตไม่ใช่วิชากำลังภายในสำหรับฝึกร่างกายหรือ ฟังว่ามีผลพิษอัคคีจริงๆ แต่ว่าพิษอัคคีแค่นั้นสามารถเผาผิวหนังเป็นแผลพุพองได้ อานุภาพอย่างพี่ลู่ที่สามารถฆ่าวิญญาณศพได้ นั่นจำเป็นต้องสิ้นเปลืองกำลังภายในขนาดไหน”
เขาพอพูดแบบนี้ ลู่เซิ่งก็พลันฉุกคิดถึงส่วนที่ตนแตกต่างจากยอดฝีมือกำลังภายใน
ลังเลเล็กน้อย เขาก็ถามเบาๆ
“ไม่ทราบพี่หลี่ลงมืออย่างสุดกำลัง ใช้ได้กี่กระบวนท่า”
“ลงมือสุดกำลังย่อมเป็นหนึ่งกระบวนท่า” หลี่ซุ่นซีมองเขาอย่างแปลกประหลาด “กำลังภายในทั่วร่างซัดออกมา ใช้ออกไปในครั้งเดียว สิ่งที่สิ้นเปลืองเป็นกำลังภายในทั่วร่าง ภายหลังต้องจำเป็นฟื้นปราณ นี่ไม่ใช่หลักการพื้นฐานทั่วไปหรือ”
ลู่เซิ่งได้ยินได้แต่อึ้ง
“เช่นนั้นพี่หลี่ต้องใช้เวลาฟื้นปราณนานขนาดไหน”
“ราวครึ่งชั่วยาม เป็นไรแล้ว ไม่ใช่เป็นอย่างนี้หมดหรือ” หลี่ซุ่นซีถาม
ลู่เซิ่งเข้าใจถึงความแตกต่างของตนกับคนอื่นแล้ว
นับตั้งแต่ฝึกฝนวิชากำลังภายในหลายวิชาพร้อมกันจนประสบความสำเร็จ เขาพอลงมือปราณภายในก็ไหลเวียนไม่หยุด ลงมือสุดกำลังได้ติดต่อกันสิบกระบวนท่า ภายหลังค่อยจำเป็นต้องพักหายใจ ตอนพักหายใจก็มีการโน้มนำหยินหยางหนุนเสริม
เมื่อเป็นแบบนี้ ความยิ่งใหญ่ของปราณภายในทั่วร่างแทบเป็นหลายเท่าตัวของยอดฝีมือในขอบเขตเดียวกัน
หนำซ้ำหลังจากวิชาทมิฬพิฆาตกลายเป็นวิชาโลหิตพิฆาตแล้ว ปราณภายในก็ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่า
นี่ทำให้เขาลงมือหนึ่งกระบวนท่า ก็สำแดงอานุภาพกล้าแข็งที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการออกมาได้
“ข้าอยากถามข้อหนึ่ง” ลู่เซิ่งพอคิดได้แล้วก็เอ่ยขึ้นอีก “ถ้าหากทำให้ตัวเองแข็งแกร่งจนป้องกันการโจมตีของความประหลาดลี้ลับได้ จะมีโอกาสกำจัดมันทิ้งโดยสิ้นเชิงได้หรือไม่”
หลี่ซุ่นซีมองเขาอย่างแปลกประหลาด เงียบอยู่ครู่หนึ่ง
จนกระทั่งลู่เซิ่งหงุดหงิด เขาก็ค่อยๆ เอ่ยว่า
“ความประหลาดลี้ลับเป็นสิ่งที่ฆ่าไม่ตาย ไม่ว่าท่านจะกำจัดมันกี่ครั้ง มันก็จะปรากฏขึ้นใหม่อย่างง่ายดาย ตระกูลขุนนางอาจมีวิธี แต่พวกเราไม่มี”
“นอกจากนี้ความประหลาดลี้ลับจะแข็งแกร่งขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ก่อนหน้านี้พวกเรานับว่ายังโชคดี เจอความประหลาดลี้ลับที่เพิ่งก่อตัวได้ไม่นาน ถ้าเป็นความประหลาดลี้ลับในเวลาสิบปีหลายสิบปี ถึงขั้นมากกว่าร้อยปีเหล่านั้น เกรงว่าพวกเรายากจะรักษาชีวิตน้อยๆ”
หลี่ซุ่นซีคล้ายนึกอะไรออก สีหน้าเคร่งขรึมไม่น่าดูอีกหน
ลู่เซิ่งเดาว่าเขานึกถึงความประหลาดลี้ลับที่อาจารย์ของตนเจอตอนนั้น จึงไม่พูดอะไร
ทั้งคนสองคนนั่งเงียบๆ ตรงข้ามกันพักหนึ่ง ลู่เซิ่งพูดว่า
“ไม่ทราบว่าพี่หลี่เล่าถึงภูตผีที่เคยเจอได้หรือไม่ จะได้ให้ข้าเข้าใจความเสี่ยงด้วย”
เขาเพิ่งช่วยชีวิตหลี่ซุ่นซี คำขอเล็กๆ แบบนี้ อีกฝ่ายย่อมตอบรับอย่างผ่าเผย
เขายิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจพี่ลู่ผิด เรื่องเล็กแค่นี้ย่อมไม่มีปัญหา”
จากนั้นเขาก็เล่าถึงภูตผีสิบกว่าชนิดที่เขาได้เจอมาให้ลู่เซิ่งฟังอย่างละเอียด ตามคำพูดของเขา ที่เขาเจอมาไม่มีซ้ำกัน ระหว่างภูตผีที่พันแปลกร้อยประหลาด ความสามารถก็แตกต่างกัน
เหมือนกับผีล่อลวงที่ลู่เซิ่งเคยเจอ เขาก็ไม่เคยได้ยินมา
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกันรอบหนึ่ง ค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับ
ลู่เซิ่งได้ข้อมูลของภูตผีตนอื่นจากหลี่ซุ่นซีไม่น้อย หลี่ซุ่นซีก็ได้การเสริมข้อมูลภูตผีเล็กน้อยจากลู่เซิ่ง ทั้งยินดีที่ตนเองช่วยลู่เซิ่ง ตอบแทนบุญคุณเล็กน้อยได้
ทั้งสองคนนั่งถึงพลบค่ำ จึงค่อยกลับเมืองเลียบคีรีด้วยกัน
หลี่ซุ่นซีบอกลาลู่เซิ่ง ออกจากโรงเตี๊ยม ลู่เซิ่งสั่งลูกน้องอ้อมผ่านหมู่บ้านตระกูลซ่ง สร้างเส้นทางเส้นหนึ่งเชื่อมไปยังเหมืองแร่
ใช้เวลาหลายวัน เส้นทางขนส่งเส้นใหม่ก็สร้างเสร็จภายใต้การรับประกันของลู่เซิ่ง ขอแค่ไม่เข้าใกล้หมู่บ้านตระกูลซ่งก็ไม่เป็นไร
เหมืองแร่เริ่มขนส่งอีกครั้ง คนงานเหมืองจำนวนมากถูกเรียกเข้าไป ลู่เซิ่งส่งลูกน้องไปเฝ้าระวัง ทุกอย่างเริ่มเกิดการดำเนินงานอันเป็นระเบียบขึ้น
หลังดำเนินการขุดได้สองวันไม่เห็นปัญหาใด ลู่เซิ่งก็ไปยังตำหนักใหญ่ของพรรควาฬแดง สรุปรายงานสถานการณ์ในปัจจุบัน
เขายังรอให้ได้ตำแหน่งก่อน ค่อยเข้าศาลาประกาศยุทธ…
…
ตำหนักใหญ่พรรควาฬแดง
ยังคงเป็นเรือยักษ์ลำก่อนหน้า ครั้งนี้มีคนระดับสูงในพรรคไม่น้อยออกไปจัดการเรื่องราว
บนที่นั่งมีแต่ประมุขพรรคกับรองประมุขพรรคอีกสองคน กงซุนจางหลานกับเฉินอิง ในห้องยังมีผู้จัดการภารกิจภายในอีกสองคน
ประมุขพรรคผู้เฒ่าสีหน้าซีดขาว ดูท่าทางอ่อนแอลงไม่น้อย
“หมายความว่าเรื่องหมู่บ้านตระกูลซ่งเป็นฝีมือภูตผีนั่นหรือ” เขาไอสองคำ มองลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านล่าง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ” เขากล่าวราบเรียบ “ตอนข้าสืบคดีได้เจอวิญญาณศพที่ว่ากันว่าฟันแทงไม่เข้า สู้กันหลายรอบจึงค่อยถอยออกมาอย่างปลอดภัย หมู่บ้านตระกูลซ่งแห่งนี้กลายเป็นเขตผีไปแล้วจริงๆ แม้แต่ไฟก็เผาไม่ได้”
ประมุขเฒ่าไอสองคำ หลับตาเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก
เฉินอิงรองประมุขพรรคกระแอม กำลังจะเอ่ย
“หมายความว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็แก้ไขไม่ได้ใช่หรือไม่” กงซุนจางหลานที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปาก
“ถ้ารองประมุขพรรคกงซุนมีความเชื่อมั่นก็ไปลองดูด้วยตัวเองได้” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้าเพียงถามท่านว่าเรื่องนี้แก้ไขไม่ได้ใช่หรือไม่” กงซุนจางหลานยิ้ม เปลี่ยนแปลงสีหน้ากล่าวเสียงขรึม
ลู่เซิ่งหันไปเขม้นมองเขาสักพัก ค่อยๆ เอ่ยว่า
“เป็นอย่างที่รองประมุขพรรคว่า ไม่สำเร็จ แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ สำเร็จคือสำเร็จ ไม่สำเร็จก็คือไม่สำเร็จ” กงซุนจางหลานยิ้ม “ในเมื่อไม่สำเร็จ เช่นนั้นบริวาร ขุมกำลัง กิจการของอู๋ซานย่อมไม่สมควรให้เจ้ารับช่วงต่อ ข้าพูดไม่ผิดกระมัง”
ลู่เซิ่งไม่มีคำพูดจะตอบ
เฉินอิงไม่อาจกล่าวแทนเขา เพียงแต่ในดวงตามีความโกรธอยู่บ้าง
ประมุขพรรคเงียบงันพักหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้น
“รายงาน!”
ทันใดนั้นองครักษ์ใกล้ชิดซึ่งเป็นพลพรรคคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามา คุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าประมุขเฒ่า
“ท่านประมุข ผู้จัดการภารกิจภายนอกจางที่ไปเมืองประสานมังกรกลับมาแล้ว!”
“กลับมาแล้วหรือ?! รีบเชิญ!” ประมุขเฒ่าสีหน้าฮึกเหิม ลุกขึ้นกล่าวด้วยเสียงอันดัง
หลายวันมานี้ลู่เซิ่งได้ยินคนใกล้ตัวพูดถึงผู้จัดการภารกิจภายนอกจาง นับเป็นคนที่ฝีมือร้ายกาจที่สุดในหมู่ผู้จัดการภารกิจนอก ณ ตอนนี้
ไม่ทันไร ชายฉกรรจ์กำยำร่างโชกเลือด ใบหน้าไร้สีเลือดก็ค่อยๆ เดินนำองครักษ์ใกล้ชิดคนหนึ่งเข้าตำหนักใหญ่มา
“คำนับท่านประมุข รองประมุขพรรคทั้งสอง” เขาประสานมือเอ่ย เห็นได้ว่าเสียเลือดมากเกินไป ไม่ต่างอะไรกับชายชราในวัยไม้ใกล้ฝั่ง
“ครั้งนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง ในที่สุดก็ทราบกฎการเคลื่อนที่ของภูตผีแข็งกล้าที่ขวางทางตัวนั้นแล้ว”
“ผู้จัดการภารกิจภายนอกจางลำบากแล้ว” ประมุขเฒ่าลุกขึ้นลงมาประคองอีกฝ่าย
“ไอ้ผีเฟยอูตัวนี้ดูถูกไม่ได้ คนธรรมดาไม่อาจแตะต้อง ผู้จัดการภารกิจภายนอกจางกลับมาอย่างปลอดภัยก็ไม่ง่ายแล้ว”
“ท่านประมุข…!”
“เทียบกันแล้ว ผู้จัดการภารกิจภายนอกลู่ไม่มีผลงาน ผู้จัดการภารกิจภายนอกคนอื่นได้รับบาดเจ็บหนัก เลือดย้อมเสื้อผ้า ยังทราบกฎการเคลื่อนไหวของภูตผีตัวนั้น ท่านเล่า ไร้ผลงานไร้ความสามารถ ก็คิดนั่งตำแหน่งผู้จัดการภารกิจภายนอกที่แท้จริงหรือ” กงซุนจางหลานกล่าวอีก
“จางหลานท่านพูดจาไร้สาระมากไปแล้ว น้องลู่เข้าออกหมู่บ้านตระกูลซ่ง กลับมาได้โดยปลอดภัยก็แสดงถึงพลังอันโดดเด่นของเขาแล้ว หรือท่านต้องให้น้องลู่ที่ออกไปจัดการเรื่องราวกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บจึงนับว่ากล้าหาญ” เฉินอิงอดกล่าวเสียงเย็นไม่ได้
“ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนี้” กงซุนจางหลานยิ้ม มองลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านล่าง ตำแหน่งนี้ถ้าไม่มีลู่เซิ่งที่โผล่มากะทันหัน สมควรตกเป็นของหลานสาวเขา น่าเสียดายตอนนี้เพราะคนผู้นี้ โอกาสที่หลานสาวเขาอุตส่าห์รอ ก็พลาดไปอีก
“เอาล่ะ น้องลู่เรื่องนี้แม้ไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์ แต่ว่าหมู่บ้านแห่งนั้นอันตรายถึงขีดสุด วันนี้เริ่มจัดเป็นพื้นที่หวงห้าม ติดประกาศอย่าให้ใครเข้าไปจนได้รับอันตราย” ประมุขพรรคลดเสียงกล่าว
“เรื่องนี้จบแล้ว พลังของน้องลู่เป็นที่ประจักษ์ชัด ทั้งมีพี่น้องมากมายเห็นความน่ากลัวลี้ลับของหมู่บ้านแห่งนั้นด้วยตาตัวเอง เป็นผู้จัดการภารกิจภายนอกสมความภาคภูมิ
“เรื่องนี้ตกลงเช่นนี้ พวกเรามาปรึกษากันก่อนว่าทางเมืองประสานมังกรเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พรรคทรายขาวกับพรรคดาวเขียวเชื่อมเป็นพันธมิตร เส้นทางในครั้งนี้รับมือไม่ง่ายเหมือนเดิม บวกกับระหว่างทางยังมีภูตผีขัดขวาง…”
เรื่องลู่เซิ่งสรุปยืนยันด้วยคำพูดเดียวของประมุขพรรคเฒ่า
ตอนนั้นลู่เซิ่งกระแทกเด็กสาวที่เป็นภูตผีกลับไปด้วยดาบเดียว พลพรรคมากกว่าร้อยล้วนประจักษ์ร่วมกัน เขาพาพวกนิ่งซานหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนเห็น
แม้ยังมีคนริษยา ครหาขีดความสามารถของเขา คนอื่นยังนับว่ามั่นคง
หัวข้อเปลี่ยนไปเป็นความขัดแย้งของพรรควาฬแดงกับพรรคทรายขาวและพรรคดาวเขียวที่อยู่บนทางมุ่งสู่จงหยวน
เรื่องนี้ลู่เซิ่งไม่เข้าใจ ได้แต่ฟังอยู่ด้านข้าง
พรรควาฬแดงแม้เป็นขุมกำลังผู้นำแห่งแดนเหนือ โยงใยกับจวนขุนนาง แต่เผชิญกับขุมกำลังใหญ่ทางจงหยวน มีพลังกลับใช้ไม่ได้
บวกกับระยะทางไกลเกินไป ผู้นำระดับสูงเช่นผู้จัดการภารกิจภายนอกจางผู้นำกลุ่ม ได้แต่ฝืนรักษาชีวิตตนเองกลับมา เป็นที่เห็นถึงความลำบาก
การประชุมย่อยดำเนินถึงช่วงพักกินข้าวตอนเที่ยง ค่อยแยกย้าย
ประมุขพรรคเฒ่ารั้งตัวลู่เซิ่งไว้กินอาหารเที่ยงด้วยกัน
หลังกินเสร็จ เขาพาลู่เซิ่งไปเดินเล่นในสวนดอกไม้เล็กๆ หลังตำหนักใหญ่ ด้านบนของเรือวาฬแดงที่มีขนาดมหึมา ยังปลูกดอกไม้พืชพรรณไม่น้อย ถึงกับปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้บนดาดฟ้าเรือ
ทั้งสองคนทอดน่องกลางสวนดอกไม้เล็กๆ แสงตะวันยามเที่ยงถูกร่มไม้เฉือนเป็นชิ้นๆ กระจายอยู่ตามพื้น พื้นเปียกชื้นอยู่บ้าง ทั้งหมดเป็นสนามหญ้าดินเหลืองอ่อนนุ่ม
ประมุขพรรคเฒ่ามือไพล่หลังเดินอยู่ด้านหน้า ไม่หันกลับมาเพียงถอนใจ
“น้องลู่ทราบหรือไม่ว่าทำไมรองประมุขพรรคกงซุนนั่นถึงเพ่งเล็งท่าน”
ลู่เซิ่งเดินห่างอยู่ด้านหลังเล็กน้อย ได้ยินก็กล่าวราบเรียบ
“ได้ยินข่าวมาบ้าง สมควรเป็นหลานสาวของเขาคิดนั่งตำแหน่งข้า กลับนึกไม่ถึงจะโดนข้าแย่งมากะทันหัน”
“เจ้ากลับซื่อสัตย์ กล่าวความจริง” ประมุขพรรคเฒ่าหันกลับมายิ้ม หยุดฝีเท้าลง
“มีอันใดต้องปิดบัง ข้าเข้าพรรควาฬแดง เดิมทีเพื่อหาผู้เข้มแข็งไว้ร่ำเรียนแลกเปลี่ยนวิชา เขากงซุนจางหลานหากจะสู้กับข้าเมื่อไหร่ กลับสมใจข้าพอดี” ลู่เซิ่งไม่นำพาแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ…” ประมุขพรรคเฒ่าหงหมิงจือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องลู่พลังไม่ธรรมดา ข้าได้ยินพวกผู้อาวุโสโอวหยางเล่าแล้ว ทว่าทุกคนต่างเป็นคนพรรคเดียวกัน เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าก็เห็น ไม่จำเป็นต้องปีนเกลียวกันเช่นนี้”
“ในเมื่อประมุขพรรคเฒ่าพูดแล้ว ถ้าลงมือกับกงซุนจางหลานนั่น ข้าจะไว้หน้าเขาสักหน่อย” ลู่เซิ่งว่า
………………………………………….