ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 671 แสดง (1)
บทที่ 671 แสดง (1)
[สัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์น์ (สมบูรณ์): สำเร็จ (คุณสมบัติพิเศษ: ท่องนภาหฤหรรษ์, วิชาควบคุมกระเรียน)]
คุณสมบัติพิเศษหลายอย่างในตอนแรกถูกหลอมรวมเหลือสองอย่าง
‘น่าประหลาดจริงๆ เรียนรู้แค่ครั้งเดียวกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้แล้ว’
ลู่เซิ่งไตร่ตรอง ในข้อมูลที่ทะลักเข้ามายังสมองหลังจากสัจวิชาเปลี่ยนแปลง เขาเข้าใจผลของท่องนภาหฤหรรษ์กับวิชาควบคุมกระเรียนอย่างคร่าวๆ แล้ว
‘ท่องนภาหฤหรรษ์จะยกระดับความเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนอง และระดับความแม่นยำขึ้นตามพลังยุทธ์ เทียบเท่ากับนำคุณสมบัติพิเศษก่อนหน้านี้มารวมไว้ด้วยกัน ส่วนวิชาควบคุมกระเรียน…เป็นวิชาควบคุมกระเรียนจริงๆ…เอาไว้ใช้ควบคุมกระเรียนขาว…’
ลู่เซิ่งค่อนข้างพูดไม่ออกเล็กน้อย ดูจากชื่อแล้ว เป็นชื่อแนะนำที่ดีปบลูตั้งให้อัตโนมัติตามประสิทธิผลสำคัญที่พูดถึงในสัจวิชา
ชื่อนี้เหมาะสมจริงๆ ท่องนภาหฤหรรษ์ ความหมายคร่าวๆ ก็คือคล่องแคล่วว่องไวและตอบสนองเร็วจนรู้สึกสนุกสนานหรรษา ขณะที่ท่องนภาก็มีความหมายว่าส่งคนถึงแดนสวรรค์ด้วย
หรือก็คือเป็นการบรรยายถึงความเร็วและความแม่นยำในการลงมือสังหาร
ลู่เซิ่งมองพลังอาวรณ์ที่เสียไป เสียไปทั้งหมดสองหน่วย ในฐานะวิชาพื้นฐานสุด การเสียพลังอาวรณ์สองหน่วยในการเรียนรู้แค่ครั้งเดียว ก็ถือได้ว่าเป็นระดับที่ไม่เลวในหมู่คนธรรมดาแล้ว
‘เอาอีก!’
เขาเริ่มเรียนรู้อีกรอบ โดยใช้จิตกดบนปุ่มเรียนรู้ทางขวาของกรอบ
ซู่…
กรอบค่อยๆ พร่ามัว พริบตาเดียวก็ชัดขึ้นใหม่
สัจวิชาที่โผล่มาใหม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากเท่าไหร่ หรือก็คือมีคำว่า มหา เพิ่มขึ้นมา
‘สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์’ คุณสมบัติพิเศษกับด้านอื่นๆ ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้มากนัก เพียงแต่มีคุณสมบัติวิญญาณกระเรียนร่วมจิตเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
ต่อจากนั้นลู่เซิ่งยังคิดจะเรียนรู้อีก แต่หาปุ่มไม่เจอแล้ว ปุ่มเรียนรู้ด้านหลังกรอบได้หายไปแล้ว
‘เรียนรู้ไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นเพราะวิชาสมบูรณ์ไม่เหลือข้อบกพร่องอีกแล้ว หรือไม่ก็เพราะประสบการณ์และความรู้ในตัววิชาของระบบประเภทนี้ของเราไม่เพียงพอแล้ว’ ลู่เซิ่งเข้าใจดี
‘ลองยกระดับพลังยุทธ์โดยตรงเลยก็แล้วกัน’ เขาสัมผัสได้ว่ามีสสารล่องลอยที่เหมือนกับควันสายหนึ่งไหลอยู่ในร่างช้าๆ
คล้ายปราณภายใน แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เนื่องจากเบากว่าและเจือจางกว่า
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งและปรับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย พร้อมกับตรวจสอบดูว่าค่ายกลระวังภัยที่ใช้ดาบสั้นเป็นแกนกลางเรียบร้อยดีหรือไม่ จากนั้นจึงค่อยตั้งสมาธิฝึกฝนต่อ
‘ยกระดับสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ขึ้นหนึ่งระดับ’ เขามองดูสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์แล้วคิดในใจ
เพิ่งจะส่งความคิดออกไป กรอบก็พร่ามัวลงโดยสมบูรณ์ทันที ครั้งนี้กรอบไม่ได้ชัดเจนเร็วเหมือนก่อนหน้า หากแต่ช้าลงกว่าเดิมมาก
…
หมิงตู เมืองหลวงของราชวงศ์ซีหยา
เสียงขลุ่ยที่ทอดยาวต่อเนื่องบรรเลงบทเพลงยืดยาวซึ่งทั้งไพเราะทั้งแฝงความเจ็บปวด
ในจวนราชครูแห่งหมิงตู หยางหวนเจินที่มีสีหน้าเรียบเฉยกำลังชมดูสาวงามที่สวมผ้าเนื้อบางโปร่งใส เต้นระบำอยู่ด้านล่าง
ขุนศึกสวมชุดเกราะหลายคนนั่งอยู่สองฟากข้างด้านล่าง แต่ว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังนั่งอย่างสำรวม ไม่ล่อกแล่กไปทางอื่น
เมื่อเพลงขลุ่ยจบลง เหล่าสาวงามก็พากันถอยออกไป
ขุนศึกคนหนึ่งที่อยู่ทางขวาค่อยๆ ลุกขึ้นมาประสานมือและกล่าวว่า
“คำเชิญของราชครู ไม่กล้าไม่ทำตาม เพียงแต่เวลามาถึงวันนี้ ชายแดนทุกข์ยาก ชนต่างเผ่าบุกรุก พวกเรากำลังจะเตรียมไปยังสถานที่ต่างๆ ในวันพรุ่งนี้…”
หยางหวนเจินยกมือขึ้นปรามไม่ให้อีกฝ่ายพูด
“ข้าไม่ใช่ไม่ให้พวกท่านไป เพียงแต่ไปแบบนี้ ต่อให้นำทัพใหญ่ไป พวกท่านจะรับมือกับผู้มีความสามารถพิเศษของชนต่างเผ่าอย่างไร”
“เช่นนั้นราชครูเห็นว่าควรทำอย่างไรหรือ” ขุนศึกอีกคนถามเสียงทุ้ม
“ข้ามีของชิ้นหนึ่ง ขอแค่ทุกท่านโยนมันออกไปตอนที่พบกับผู้ที่พิสดารของอีกฝ่าย จะได้ผลน่าทึ่งทีเดียว” หยางหวนเจินยิ้มพลางปรบมือ
พลันมีสาวงามยกกล่องหยกเดินเข้ามา ให้เหล่าขุนพลหยิบถุงผ้าแพรใบเล็กๆ ไปจนครบทุกคน
“ถ้าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ทุกท่านโปรดอย่าใจร้อนเปิดถุงแพร เพื่อจะได้ไม่สร้างภัยพิบัติขึ้น” หยางหวนเจินเตือน
ขุนศึกส่วนใหญ่เคยได้ยินความสามารถที่มีความพิสดารของราชครูมาก่อน ตอนนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังพากันขานรับ
หลังจากทั้งสองฝ่ายชูจอกดื่มให้แก่กันและกัน เหล่าขุนพลก็พากันแยกย้ายไป
ไม่นานงานเลี้ยงสุราที่เดิมคึกครื้นก็เหลือแค่หยางหวนเจินนั่งอยู่บนที่นั่งเพียงคนเดียว
เขายกจอกสุราขึ้นเงยหน้าดื่มจนหมด
“มหาราชครูช่างสำราญจริงๆ มีจอมภูผากดทับอยู่บนศีรษะ ถึงกับยังมีกะจิตกะใจดื่มสุราอยู่ที่นี่”
เงาร่างของสตรีสีทองอ่อนที่พร่ามัวสายหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมาจากในตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่า แล้วเงยหน้ามองดูหยางหวนเจินที่อยู่บนตำแหน่งประธาน
“จอมภูผามีสำนักของพวกท่านรับมือแล้ว พวกเราเพียงแค่คอยควบคุมสถานการณ์อยู่ด้านหลังก็พอ” หยางหวนเจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สตรีสีทองอ่อนค่อยๆ จับตัวเป็นสสาร ปรากฏร่างจริงขึ้นมา ถึงกับเป็นโฉมสะคราญที่ใส่กระโปรงยาวลายหงส์ทองและสวมม่านมุกหงส์
ถ้าหากมีขุนนางใหญ่ของราชสำนักอยู่ที่นี่ จะต้องจดจำได้แน่ว่านางก็คือหลินฮองเฮาแห่งราชวงศ์ หรือที่ผู้คนเรียกนางว่าฮองเฮาปีศาจ
“ครั้งนี้ที่ท่านมาเพราะเกิดปัญหาอะไรหรือ” หยางเจินหวนถามเสียงทุ้ม
“แผนการเดิมทุกอย่างราบรื่นดี ขอแค่คนของสำนักวสันสารทหาแกนหลักค่ายกลของพวกเราไม่เจอ ทุกอย่างก็ปลอดภัยไร้เรื่องราว” หลินฮองเฮาส่ายหน้าน้อยๆ “แต่เมื่อวานข้าได้ยินมาว่า มหาราชครูส่งราชโองการสามฉบับให้ลิ่งอ๋อง เยวี่ยอ๋อง และจาวอ๋อง สั่งให้พวกเขานำทัพไปสะกดทุกดินแดน”
“อ๋องสามคนนี้รับผิดชอบสามจุดเชื่อมต่อใหญ่ของค่ายกลคุ้มครองอาณาจักร หากไม่กำจัดทิ้ง ก็ไม่อาจขจัดค่ายกลได้ และเมื่อขจัดค่ายกลไม่ได้ พวกเราก็อย่าหวังว่าจะได้สิ่งนั้นมาครองเลย” สีหน้าของหยางหวนเจินค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น
“หวังว่าสิ่งที่ท่านพูดจะเป็นความจริง” ตัวหลินฮองเฮาไม่ทราบรายละเอียดด้านนี้ เพียงแต่ออกหน้าเตือนเท่านั้น “ไม่อย่างนั้นหากพวกชั่วสำนักวสันสารททราบเข้า จะเกิดเรื่องอีกไม่น้อย”
“ไม่ต้องห่วง สถานการณ์ในใต้หล้าอยู่ในใจข้าทั้งหมด” หยางหวนเจินชูจอกและแค่นหัวเราะ
คนของสำนักวสันสารทที่เข้าสู่ทางโลกเน้นที่การรักษาประเทศชาติ ส่วนลัทธิไม่จีรังต้องการเปลี่ยนราชสำนัก หากต้องการชิงสมบัติควบคุมชะตาของราชสำนัก จะต้องมีแรงหนุนจากชาวประชาที่มากพอ
ถ้าหากราชสำนักมั่นคง ใจคนมั่นคง อย่างนั้นทุกอย่างก็ไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าหากใต้หล้าปั่นป่วน สี่ทิศก่อการ ภายในฟอนเฟะ อย่างนั้นก็จะมีโอกาสมากกว่าเดิมแล้ว
หลินฮองเฮาผู้ซึ่งเป็นตัวแทนลัทธิไม่จีรังกับหยางหวนเจินเพียงแค่ร่วมมือกันเท่านั้น เขาเป็นตัวแทนขุมกำลังทางทะเลไร้ขอบเขตและถ้ำทอง
และถ้ำทองก็เป็นหนึ่งในขุมกำลังตัวแทนเผ่าปีศาจ
เผ่าปีศาจกับลัทธิไม่จีรังร่วมมือกันหมายจะโค่นล้มราชวงศ์เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง
“อย่างนั้นจะลงมือตอนไหน” หลินฮองเฮาใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะถามอีก “หากสามอ๋องไม่ตาย ค่ายกลอาณาจักรก็จะยังคงสมบูรณ์แบบ ยากแก่การทำลายวงจร”
“อีกไม่นานนักหรอก ข้าจะสร้างโอกาสเอง” หยางหวนเจินดื่มสุรารวดเดียวหมด
…
กลางค่ายกล ตำหนักเยวี่ยอ๋อง
ท้องฟ้ามืดสลัว เมฆดำรวมตัว
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางห้องนอน เขาไล่ข้ารับใช้และหญิงรับใช้ทั้งหมดออกไปหมดแล้ว กำลังยกระดับสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์อยู่ตามลำพัง
นอกจากเขาแล้ว ในห้องนอนก็มีแค่กระเรียนขาวตัวน้อยที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานตัวหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้ไอหมอกสีขาวหลายสายกำลังฟุ้งกระจายออกมาในห้องนอนหรูหราที่ตอนแรกว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว จมูก หู ปากและดวงตาของเขา พ่นไอหมอกหนาสีขาวออกมา
[สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ (สมบูรณ์) : พลังยุทธ์หกสิบปี (คุณสมบัติพิเศษ: ท่องนภาหฤหรรษ์ , วิชาควบคุมกระเรียน)]
‘ทั้งๆ ที่คุณสมบัติพิเศษไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแท้ๆ แต่ร่างกายกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงมากอยู่บ้างเพราะพลังยุทธ์ของสัจวิชานี้’
ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังจิตจำนวนมากทะลักเข้ามาในตำแหน่งเนตรกำเนิดด้านหน้าตัวเองตลอดเวลา ขณะเดียวกันตำแหน่งนี้ก็กำลังพ่นพลังไร้รูปร่างที่ไม่อาจสัมผัสได้สายหนึ่งออกมาปรับเปลี่ยนร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เขาเคยสัมผัสพลังงานมามากมาย ตั้งแต่พลังงานสสารที่จับต้องได้ไปจนถึงพลังจิตและจิตวิญญาณที่ล่องลอย แต่ก็ยังไม่ประหลาดเท่าพลังงานไร้รูปร่างนี้
แทนที่จะบอกว่าการปรับเปลี่ยนนี้เป็นการปรับเปลี่ยน ควรบอกว่าเป็นการซ่อมแซมมากกว่า
พลังงานประหลาดนี้เข้าไปเติมรูโหว่จำนวนมากบนตัวเขาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้พลังงานชนิดนี้ อวัยวะบางส่วนเกิดการกลายพันธุ์ระดับหนึ่ง จนมีกำลังวังชากว่าเดิม อีกทั้งคุณสมบัติด้านพละกำลังก็แข็งแกร่งกว่าเดิมเช่นกัน
เขานึกถึงรากแห่งความว่างเปล่าโดยไม่มีสาเหตุ ถ้าหากว่าพลังของรากแห่งความว่างเปล่าที่ถูกบันทึกอยู่ในเรื่องเล่าขานคือสิ่งนี้ อย่างนั้นลู่เซิ่งก็อาจจะเชื่อ
‘เพิ่งมีพลังยุทธ์หกสิบปีร่างกายก็ทนไม่ไหวบ้างแล้ว ดูเหมือนจะยังอ่อนแอเกินไปอยู่ แก่นหยางยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้ไม่มากพอ จำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัว’ ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นและยกแขนขึ้นมาดู
เงาขนปีกสีขาวที่อ่อนจางปรากฏบนผิวแขนอย่างเลือนราง
‘ดูเหมือนวิชาเต๋าบนโลกใบนี้จะไม่ได้เรียบง่าย…’ ลู่เซิ่งเก็บวิชาและลุกขึ้น กระเรียนขาวตัวน้อยที่อยู่ไม่ไกลออกไปแสดงความสนิทสนมมากกว่าเดิม โดยเข้ามาคลอเคลียรอบๆ ตัวเขาเอง
ลู่เซิ่งสั่งความคิด วิชาควบคุมกระเรียนพลันโคจรในร่างกาย
ทันใดนั้น อำนาจการควบคุมร่างกายของกระเรียนขาวตัวน้อยก็ตกเป็นของเขา ความรู้สึกนี้เหมือนกับมีของเล่นควบคุมระยะไกลที่ใช้จิตใจควบคุมได้ เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน
‘ตามคำพูดของอู๋โยวจื่อ วิชาควบคุมกระเรียนนี้น่าจะเอาไว้ใช้เลี้ยงกระเรียนเซียนในสำนักโดยเฉพาะ ก็เลยเป็นคุณสมบัติพิเศษที่โผล่มาในเคล็ดวิชา’ ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกมา แล้วปล่อยปราณจริงแท้จากสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์สายหนึ่งออกมาบนปลายนิ้ว พร้อมกับส่งเข้าไปใต้สีข้างของกระเรียนขาว
จากนั้นเขาก็ควบคุมร่างของกระเรียนขาวตัวน้อยและส่งให้ปราณจริงแท้สายนั้นโคจรไปตามเส้นทางของคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่อย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปราวสองสามนาที ลู่เซิ่งก็คลายการควบคุมกระเรียนขาว แต่ว่าเส้นสายการโคจรเมื่อครู่นี้ซ้อนทับในร่างของมันหลายสิบรอบแล้ว
กระเรียนขาวตัวน้อยยืนงงอยู่ที่เดิมสักพัก จากนั้นคลื่นเล็กๆ ของคัมภีร์ต้นกำเนิดวิญญาณคู่ก็กระจายออกมาจากร่างมันอย่างช้าๆ
มันกำลังเริ่มฝึกฝนตามเส้นสายปราณจริงแท้เมื่อก่อนหน้านี้อย่างที่คิดไว้!
ลู่เซิ่งพลันเกิดความเข้าใจบ้างแล้วว่า กระเรียนเซียนจำนวนมากของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ถูกเลี้ยงอย่างไร
‘วันนี้ปล่อยให้ร่างกายปรับตัวดูก่อน พลังงานประหลาดชนิดนี้ แม้แต่จิตวิญญาณขอบเขตลวงตาของเราก็ยังสัมผัสไม่ได้ ต้องระวังตัวหน่อย’
ลู่เซิ่งจัดเสื้อคลุม ปราณจริงแท้ล้ำลึกระดับหกสิบปีไหลเวียนเป็นวงจรในร่างเขาอย่างช้าๆ เหมือนกับลำธาร
เขารู้สึกหัวสมองปลอดโปร่ง เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าเดิม สายตาเองก็ดีขึ้นไม่น้อย
และถ้าโคจรปราณจริงแท้ถึงตำแหน่งทุกตำแหน่งบนร่าง จะยังเกิดผลเพิ่มพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย
หลายวันต่อจากนั้น ลู่เซิ่งทำทุกอย่างตามลำดับขั้นตอน คอยฟังข่าวที่หมี่กงสืบมาทุกวัน ส่วนสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ก็เพิ่มระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วของพลังยุทธ์ระดับหกสิบปีหนึ่งครั้งในเวลาสองสามวัน
ทางกระเรียนขาวตัวน้อยก็เป็นเหมือนกับเขาเช่นกัน เกิดความมหัศจรรย์ขึ้นอย่างต่อเนื่องตามพลังยุทธ์ของลู่เซิ่ง รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปทุกวันๆ หลายวันต่อจากนั้นก็มองไม่ออกอีกแล้วว่าเป็นกระเรียนขาวที่เพิ่งเกิดมาไม่นาน
อู๋โยวจื่อมาชี้แนะประสบการณ์และรายละเอียดด้านการบำเพ็ญส่วนหนึ่งให้แก่ลู่เซิ่งเป็นระยะ ก่อนจะรู้สึกตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงของกระเรียนขาวน้อย แต่เขาสรุปเอาว่ามันมีคุณสมบัติโดยกำเนิดของกระเรียนเซียนไม่ธรรมดาเท่านั้น กอปรกับลู่เซิ่งป้อนของดีๆ ให้ไม่น้อย เลยไม่ได้คิดมาก
โลกใบนี้มีสัตว์ที่ครอบครองสายเลือดพิเศษอยู่มากมาย แค่กระเรียนขาวตัวเดียวเกิดความพิเศษขึ้นก็ถือเป็นเรื่องปกติเช่นกัน