ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 678 ถ้ำราชากระเรียน (4)
บทที่ 678 ถ้ำราชากระเรียน (4)
เยวี่ยอ๋องฟังเนื้อหาสาสน์กราบทูลพร้อมกับสอดส่องไปทั่วท้องพระโรงอย่างช้าๆ
ท้องพระโรงมีขุนนางใหญ่มากกว่าร้อยคนที่เปลือกนอกก้มหน้าเรียกตัวเองว่ากระหม่อม แต่ในที่ลับไม่ทราบมีภูตผีปีศาจและพวกเหยียบเรือสองแคมซ่อนตัวอยู่มากเท่าไหร่
ต่อให้จะเป็นขุนศึกเทพที่เปลือกนอกโอ่อ่าผ่าเผย ถ้าหากเบื้องหลังไม่มียอดคนประหลาดคอยคุ้มครอง ก็เกรงว่าชีวิตจะอาสัญไปแต่แรกแล้ว
เยวี่ยอ๋องนึกถึงการคุกคามจากคนผู้นั้นเมื่อก่อนหน้าและความปลอดภัยในเวลาต่อมา ยังมีความเยือกเย็นอย่างผิดปกติของบุตรชาย ในใจเริ่มเกิดการคาดเดาส่วนหนึ่งแล้ว
แต่ยังไม่กล้ายืนยัน
การประชุมเช้าจบลงอย่างรวดเร็ว จอมจักรพรรดิผุดสีหน้าเหนื่อยล้า คิดว่าสนมที่คอยปรนนิบัติน่าจะมีมากเกินไป ได้ยินมาว่าจอมจักรพรรดิสร้างตำหนักธรรมชาติขึ้นที่วังหยกขาว
มีแต่โฉมสะคราญที่มีรูปร่างหน้าตายอดเยี่ยมเท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ หนำซ้ำขอแค่อิสตรีที่เข้าไปถูกจอมจักรพรรดิจับได้ ก็จะเสพสุขกันตรงนั้นทันที
เรื่องตัณหาหน้ามืดระดับนี้ ถ้าไม่ใช่ขุนศึกเทพตำหนิด้วยเสียงโกรธเคือง ก็เกรงว่าจอมจักรพรรดิจะทำมากกว่านี้อีก
เรื่องแบบนี้ถูกขุนศึกเทพห้ามปรามมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ เยวี่ยอ๋องก็อดมองไปยังฉินอ๋องคุมทหารอีกสองคนที่เหลือไม่ได้ ลิ่งอ๋องไม่มา ส่วนจาวอ๋องมีสีหน้าอิดโรย ร่างกายงองุ้มเหลือแต่กระดูก คนที่เพิ่งอายุได้สี่สิบกว่าปีกลับทรุดโทรมถึงขนาดนี้ เห็นได้ว่ามีแรงกดดันมากขนาดไหน
จาวอ๋องเหมือนจะสัมผัสสายตาของเยวี่ยอ๋องได้ จึงพยักหน้าบุ้ยใบ้มาทางนี้พลางลูบหนวดเครา
ตอนนี้จูเฉิงกั๋วขุนศึกเทพรายงานสาสน์กราบทูลเสร็จแล้ว กำลังเริ่มเกลี้ยกล่อมให้จอมจักรพรรดิงดเว้นเรื่องมั่วสุรานารีเพื่อมาจัดการเรื่องของประเทศชาติอยู่
แต่เพิ่งพูดได้แค่สองประโยค ราชครูหยางหวนเจินก็ออกมาตัดบท และเปลี่ยนหัวข้อไปยังเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมาไม่นานมานี้แทน
ทั้งสองคนโต้เถียงกันอยู่สักพัก ก่อนที่จูเฉิงกั๋วจะสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างโมโห
ราชครูหยางยิ้มน้อยๆ ยืนเอามือไพล่หลัง แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นฝ่ายมีชัยอีกครั้ง
การประชุมเช้าจบลง เยวี่ยอ๋องไม่เสียเวลา เมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากตำหนักเยวี่ยอ๋อง ขี่ม้ากลับไปได้ภายในครึ่งวัน
ขณะที่กำลังจะพากองอารักขาออกจากราชวังนั่นเอง
“อ๋องผู้น้อง” ฉิงอ๋องที่ลึกลับยากหยั่งคาดส่งเสียงเรียกเขาไว้อย่างคาดไม่ถึง
ฉิงอ๋องเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีหน้าตาเป็นมิตร ดูไม่มีพิษสงใดๆ หุ่นอ้วนจ้ำม่ำ พุงโต ใบหน้าใจเย็น
แต่หากมองบ่อยๆ เข้า ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนักกลับมอบความรู้สึกไม่สบายใจที่อธิบายไม่ได้ให้แก่ผู้คน
“อ๋องผู้พี่มีคำสั่งสอนใดหรือ”
เยวี่ยอ๋องรีบหยุดฝีเท้าแล้วรอให้ฉิงอ๋องเดินเข้าใกล้
ฉิงอ๋องที่กำลังยิ้มแย้มถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“อ๋องผู้น้อง ท่านเหนื่อยยากเพื่อประเทศชาติมานาน อย่าลืมระวังร่างกายเล่า”
“ขอบพระทัย อ๋องผู้พี่ที่ห่วงใย” เยวี่ยอ๋องตอบอย่างมีมารยาท “ท่านเองก็ระวังสุขภาพด้วย ตอนนี้ประเทศระส่ำระส่าย เกิดความวุ่นวายไปทั่ว…”
“เป็นเพราะแบบนี้ หลังจากนี้พวกเราควรสนิทชิดเชื้อกันให้มากๆ” ฉิงอ๋องแสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างอธิบายไม่ได้ “สิ่งที่พวกเราคิดอยู่ในใจล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน ขอแค่ปรึกษาเรื่องราวต่างๆ ให้มากๆ ก็จะมีโอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่หรือ”
เพียงแต่เยวี่ยอ๋องไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ห้วงสมองสับสน ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าฉิงอ๋องพูดเรื่องอะไร
ฉิงอ๋องเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงยื่นมือไปตบบ่าของเยวี่ยอ๋องเท่านั้น
เขาตบแรงมาก แม้เยวี่ยอ๋องที่เป็นแม่ทัพใหญ่คุมทหารจะไม่มีพลังยุทธ์ติดตัว แต่ปกติก็ออกกำลังกายเป็นนิจ กระนั้นพอถูกอีกฝ่ายตบใส่กลับรู้สึกร่างชาไปครึ่งซีก
“เดินทางระวังด้วย” ฉิงอ๋องทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ ก่อนจะเดินเฉียดด้านข้างแล้วจากไป
เยวี่ยอ๋องขยับไหล่ขวาที่ถูกตบโดยไม่แสดงสีหน้า
“ไปเถอะ” เขาสั่งเบาๆ ก่อนจะรีบขึ้นรถม้า
ขอแค่ออกจากเมืองหลวง ด้านนอกจะมีซุนไห่ซึ่งเป็นหนึ่งในสามแม่ทัพใหญ่ของตำหนักเยวี่ยอ๋องมารับ
แต่สิ่งที่สร้างความแปลกใจให้แก่เยวี่ยอ๋องอยู่บ้างก็คือ ระหว่างทางกลับปลอดภัยไร้เรื่องราว
จนกระทั่งถึงตำหนักอ๋อง
…
“ฉิงอ๋องหรือ”
เชิงเทียนสิบกว่าอันสาดส่องถ้ำจนอบอุ่นสว่างไสว
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ำ รอบๆ ตัวมีเงาปีกสีขาวที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสูญหาย
เสี่ยวหรงที่สูงสองหมี่กว่าๆ ก้มหน้าคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา กำลังรายงานเรื่องราวที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงในตอนเช้า
“ลูกสัมผัสกลิ่นอายบางอย่างที่เจือจางได้จากตัวของเยวี่ยอ๋อง แต่ไม่กล้ายืนยัน เลยไม่ได้ลงมือ นอกจากนี้เหมือนบนร่างของฉิงอ๋องผู้นั้นจะมียอดคนที่สัมผัสการดำรงอยู่ของลูกได้ด้วย” เสี่ยวหรงตอบเบาๆ
“นึกไม่ถึงว่าราชสำนักจะยังมีความพิเศษบ้าง” ลู่เซิ่งไตร่ตรอง “อีกประเดี๋ยวข้าจะไปพบท่านพ่อ เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ถ้าหากไม่มีอะไร ต่อจากนี้ให้เพิ่มความระวังขึ้น ถ้าหากมี…” เขาไม่ได้พูดต่อ
ตอนนี้ถ้ำราชากระเรียนมีกระเรียนปีศาจแค่สิบสองตัว พลังยังอ่อนแอไปบ้าง
“เจ้าไปเถอะ คุ้มครองเยวี่ยอ๋องต่อไป” ลู่เซิ่งสั่ง
“ลูกทราบแล้ว” เสี่ยวหรงค่อยๆ ถอยหลัง พริบตาเดียวก็หายไปในความมืด
ลู่เซิ่งนั่งไตร่ตรองอยู่ที่เดิมสักพัก
‘ตอนนี้เราปรับปรุงคัมภีร์ปีกขาวไปแล้ว ขณะที่การทำงานของร่างกายก็เสถียรกว่าเดิมพร้อมกับพลังฝึกปรือที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดพึ่งพาพลังฝึกปรือของคัมภีร์ปีกขาวสนับสนุนในการใช้ชีวิตประจำวัน สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เราเรียนรู้และปรับปรุงคัมภีร์ปีกขาวต่อไปไม่ได้แล้ว การเรียนรู้เพิ่มเติมต่อจากนี้จะต้องหาคัมภีร์คล้ายๆ กันจำนวนมากกว่าเดิมมาใช้เรียนรู้ถึงจะดำเนินต่อไปได้’
ตอนนี้จุดเนตรกำเนิดนั้นได้เชื่อมต่อกับร่างโดยสมบูรณ์ และกลายเป็นจุดลมปราณอันน่าอัศจรรย์จุดหนึ่งนอกร่างกายไปแล้ว
เหมือนกับจุดลมปราณนี้ดำรงอยู่มาตั้งแต่แรก นี่ทำให้ลู่เซิ่งต้องประหลาดใจ
นอกจากนั้นในคัมภีร์ปีกขาวยังบันทึกด้วยว่า เนตรกำเนิดเป็นแค่หนึ่งในจุดลมปราณด้านนอกเท่านั้น จุดลมปราณด้านนอกทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดจุดจับคู่กับดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกๆ ครั้งที่ฝึกฝนจุดลมปราณภายนอกสำเร็จจุดหนึ่ง ก็จะเชื่อมโยงกับดวงชะตาของดวงดาวดวงหนึ่งได้ และทำให้อายุขัยเพิ่มขึ้นครั้งหนึ่ง
แต่ว่าคัมภีร์ปีกขาวเป็นเพียงคัมภีร์ธรรมดาระดับต่ำสุด มันไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร ฝึกได้แค่จุดลมปราณภายนอกอย่างเนตรกำเนิดที่เป็นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น
‘เรียนรู้ก็ไม่ได้ ยกระดับพลังยุทธ์หรือพลังฝึกปรือก็สิ้นเปลืองเกินไป ดูเหมือนจะต้องรวบรวมคัมภีร์หลักมาให้เยอะๆ แล้ว’ ลู่เซิ่งตัดสินใจแล้ว
เขาสงบจิตใจแล้วลุกขึ้น ก่อนจะบินออกจากถ้ำไปตามถนนปูหินสีดำสนิท ผ่านไปราวสองสามนาที ก็ลอยออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลองแห่งหนึ่งในสวนดอกไม้ของตำหนักอ๋อง
หลังจากที่เขาออกมาแล้ว ก็มีคนลากแผ่นหินไปบังถ้ำใต้ดินเอาไว้ทันที
นี่เป็นเส้นทางใต้ดินที่เคยใช้หลบหนีของตำหนักอ๋องในอดีต มันเชื่อมต่อกับถ้ำใต้ดิน แต่ตอนนี้ถูกลู่เซิ่งเอามาใช้ฝึกฝนคัมภีร์หลักโดยเฉพาะ
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่ในสวนดอกไม้ ตบฝุ่นบนตัวออก แล้วสาวเท้าเดินไปยังตำหนักของเยวี่ยอ่อง
เดินไปถึงหน้าตำหนัก ด้านนอกประตูตำหนักมีองครักษ์กลุ่มหนึ่งลาดตระเวนอยู่ ดูคุ้มกันแน่นหนามาก
นับตั้งแต่มีมือสังหารมาลอบโจมตี แม้จะถูกกดดันให้ถอยไปอย่างอธิบายไม่ได้ แต่การคุ้มกันในช่วงเวลานี้ของตำหนักอ๋องก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
“ซื่อจื่อ”
เหล่าองครักษ์พากันคำนับ
“ไม่ต้องมากมารยาท ข้าขอเข้าไปพบท่านพ่อหน่อย” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ตัดทะลุประตูตำหนักเข้าไป เยวี่ยอ๋องที่สวมชุดขนจิ้งจอกตัวใหญ่กำลังวางหมากกับคนคนหนึ่งอยู่ในตัวตำหนัก อีกฝ่ายคือแม่ทัพอารักขาหยวน หรือก็คือบิดาของหยวนจี้คงนั่นเอง
แม่ทัพอารักขาไม่มีชื่อเต็ม อย่างน้อยในความทรงจำของหวงจิ่งก็ไม่มี อาจจะลืมไปแล้วหรืออาจจะไม่เคยถามมาก่อน
คนผู้นี้มีร่างสูงใหญ่ สองแขนยาวเลยเข่า ดูไม่ค่อยกำยำ แต่กลับแข็งแกร่งสุดขีด สวมเกราะหนังเรียบง่ายแนบตัว ไม่ได้พกดาบ ดูเหมือนกับนายพรานมากกว่าแม่ทัพ
“จิ่งเอ๋อร์เจ้ามาแล้วหรือ” พอเยวี่ยอ๋องเงยหน้าเห็นลู่เซิ่งเข้ามาก็พลันหัวเราะ
“มาๆ อาหยวนของเจ้ามีเรื่องต้องการคุยกับเจ้าพอดี”
“อย่าเพิ่งรีบเลยพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เซิ่งกวาดตามองบ่าขวาของเยวี่ยอ๋อง มีกลิ่นอายที่เหมือนมีเหมือนไม่มีฟุ้งกระจายอยู่อย่างช้าๆ จริงๆ
วิชาหรือความสามารถใดๆ ล้วนใช้กับวัตถุภายนอก ขอแค่เป็นสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเองบนตัวมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต ก็จะมีคลื่นที่ไม่สอดคล้องกระจายออกมา
ลู่เซิ่งเพียงแค่กวาดพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานไป ก็พบเล่ห์กลที่อยู่บนบ่าของเยวี่ยอ๋องทันที
ดูเหมือนสิ่งของบนบ่าเยวี่ยอ๋องจะเป็นตราประทับชนิดหนึ่ง
ลู่เซิ่งเดินเข้าไป ปราณปีกขาวบนร่างโคจรด้วยความเร็วสูงพร้อมกับสะกดกลิ่นอายประหลาดที่กระจายออกมาจากตราประทับไว้ในพริบตา
เขาหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปกดมือบนบ่าของเยวี่ยอ๋อง
กลิ่นอายของตราประทับนี้หดตัวลงเล็กน้อยอย่างฉับพลัน ยกระดับความเข้มข้นของตัวเองถึงขีดสูงสุดในพริบตา จากนั้นก็ระเบิดออกเหมือนกับมีชีวิต
ฟิ้ว!
ตอนแรกปราณปีกขาวสะกดได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้ถูกเล่นงานกะทันหัน ชั้นปราณจริงแท้เกือบสิบกว่าชั้นที่วางไว้โดนเจาะทะลวงทั้งหมด
เมื่ออยู่ต่อหน้าตราประทับประหลาดนี้ ความเข้มข้นของปราณจริงแท้อันแน่นหนาของปราณปีกขาวก็เหมือนกับกระดาษน้ำมันเจอมีดหั่นอาหาร เพียงแค่กรีดครั้งเดียว ก็สามารถตัดให้ขาดและทะลวงเข้ามาได้แล้ว
ลู่เซิ่งแค่นเสียง พลังจิตวิญญาณอันมหาศาลกดทับใส่ตราประทับอย่างรุนแรงเหมือนกับภูผา
บ่าของเยวี่ยอ๋องพลันหนักอึ้ง
ตราประทับนั้นส่งเสียงร้องแหลม จากนั้นก็เงียบลงไปและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ลู่เซิ่งค่อยคลายมือที่กดบนบ่าเยวี่ยอ๋องออก
ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาไม่ถึงสองสามนาที เยวี่ยอ๋องกับแม่ทัพอารักขารอคอยเขาด้วยสีหน้าบรรยายไม่ถูก เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
‘น่าสนใจดีนี่ ฉิงอ๋อง…’ ลู่เซิ่งสัมผัสจิตวิญญาณของตัวเอง เสียปริมาณจิตวิญญาณไปส่วนหนึ่งอย่างถาวร
ถึงแม้จะแค่นิดหน่อย หากเป็นความถี่นี้ ต่อให้เสียไปอีกหนึ่งล้านครั้ง ก็ไม่มีทางส่งผลเสียต่อรากฐานของจิตวิญญาณของลู่เซิ่ง
แต่ว่านี่เป็นการเสียหายถาวร พึงทราบว่าร่างหลักของเขาอยู่ในขอบเขตลวงตา ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดที่ออกจากดาวเคราะห์และเดินทางระหว่างดวงดาวได้ในทางทฤษฎี แม้จะเทียบไม่ได้กับระดับมายาพิศวงที่แค่พลิกมือก็ทำลายดาวเคราะห์ได้ แต่ว่าพลังยุทธ์ของเขาก็สามารถปกครองดาวเคราะห์ดวงหนึ่งได้แล้ว
ระดับขนาดนี้กลับเสียพลังจิตวิญญาณไปสายหนึ่งอย่างถาวร
“สุดยอดจริงๆ…’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตนเองอาจดูถูกโลกใบนี้มากไป “แม้วิชาปีกขาวจะมีพลังยุทธ์ล้ำลึก แต่ระดับต่ำเกินไป เลยเรียนรู้ไม่ได้ หากคิดจะวางเบี้ยบนกระดานหมากในใต้หล้านี้ ดูเหมือนจะต้องรีบยกระดับคัมภีร์หลักแล้ว”
เยวี่ยอ๋องกับแม่ทัพอาขรักขาพูดถึงเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งสลับกันไปมา เกี่ยวกับหยวนหลิ่วหลิ่วกับหยวนย่วนย่วนบุตรีสองคนของแม่ทัพอารักขาหยวน
แม่ทัพอารักขาหยวนมาขอหมั้นให้พวกนาง หวังว่าลู่เซิ่งจะเลือกใครคนใดคนหนึ่งเป็นชายาในอนาคตได้
ลู่เซิ่งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เลยรับปากอย่างขอไปที จากนั้นเขาก็บอกลาเยวี่ยอ๋องเพื่อจะออกจากตำหนักอ๋องสักระยะ พอได้รับการอนุญาตแล้วก็หมุนตัวออกมาทันที
หลังออกมาจากตำหนัก เขาก็ยกฝ่ามือขึ้นมาดู
สิ่งที่เหลืออยู่กลางฝ่ามือคือพลังหลงเหลือของตราประทับเมื่อก่อนหน้านี้
เขายกขึ้นมาดู
สีดำปื้นหนึ่งกลางฝ่ามือแผ่ขยายไปถึงข้อมือแล้ว
‘สิ่งนี้ไม่มีชีวิต แต่กลับกลืนกินปราณปีกขาวไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้งั้นเหรอ’ ลู่เซิ่งเคร่งเครียด
ตอนนี้สีดำค่อยๆ ปรากฏเป็นใบหน้าคนสีดำที่มีรูกลมกลางหว่างคิ้ว
ลู่เซิ่งเดินกลับห้องนอนตัวเอง แล้วเปิดค่ายกาลดาบสั้นที่ปักไว้บนโต๊ะ
เวลานี้สีดำนั้นขยายไปถึงแขนท่อนปลาย และแขนท่อนปลายก็กลายเป็นสีดำสนิทเหมือนหมึกแล้ว
จากนั้นเขาก็เข้าถ้ำใต้ดินผ่านทางเข้าใต้เตียง
ไม่นานนักลู่เซิ่งก็กลับมานั่งขัดสมาธิที่เดิม แก่นหยางในร่างทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเลียนแบบพลังงานในทุกๆ คุณสมบัติเพื่อต้านทานกลิ่นอายสีดำ
หลังจากเลียนแบบเป็นพลังงานคุณสมบัติต่างๆ สามสิบกว่าชนิด ในที่สุดพลังงานพิเศษที่ผสมความเย็น ไฟใต้ดิน และกำลังวาชาจึงค่อยฝืนจะสะกดกลิ่นอายสีดำชนิดนี้ไว้ได้
ลู่เซิ่งถอนใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยกมือสะบัด บีบสีดำบนมือและปราณปีกขาวที่โดนย้อมออกมา
แหมะ
ของเหลวที่เหมือนกับหมึกดำกลุ่มใหญ่พุ่งออกมากระเด็นใส่ผนังหิน ผนังหินเป็นสีดำอมม่วงและมีกลิ่นกัดกร่อนลอยออกมาอย่างเลือนราง
‘พลังงานชนิดนี้..ทำลายปราณปีกขาวเกือบร้อยปีของเราทิ้ง…’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้าบูดบึ้งอยู่บ้าง เป็นครั้งแรกตั้งแต่จุติที่เขาเสียท่าขนาดนี้
‘พรุ่งนี้ต้องกลับไปรวบรวมคัมภีร์หลักเพื่อเรียนรู้คัมภีร์ปีกขาวใหม่!’ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคัมภีร์ปีกขาวในตอนนี้ไม่พอใช้แล้ว เนื่องจากมีอานุภาพอ่อนแอเกินไป