ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 679 ขยับขยาย (1)
บทที่ 679 ขยับขยาย (1)
ติ๊งๆๆๆ
กระดิ่งสีขาวแก่วงไปมาตามสายลมเบาๆ พร้อมกับส่งเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา
มนุษย์ภูผาอวี้หงมองดูสัตว์ผสมหนูกับหมาป่ากลายพันธุ์สองตัวที่เขาเพาะพันธุ์เลี้ยงขึ้นมากำลังต่อสู้กัน
เขาเพาะพันธุ์หนูหมาป่ามาหลายตัว เพื่อหาหนูหมาป่าที่โดดเด่นที่สุดมาเป็นร่างฝากฝังชีวิตของตัวเองในอนาคต
“เฮ้อ…” ขณะมองดูหนูหมาป่าตัวที่ได้รับชัยชนะแสดงความภาคภูมิใจ มนุษย์ภูผาอวี้หงก็ลูบปลายผมด้านหลังหูของตัวเองเบาๆ
‘ทดลองมาตั้งหลายครั้ง น่าเสียดาย ยังหาเผ่าพันธุ์ที่คล้ายๆ กับข้าไม่เจออีก เผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งหมดได้แต่เอามาใช้เป็นกายเนื้อเพื่อตายแทนข้าเท่านั้น…’
นี่ไม่ใช่ความปรารถนาในตอนแรกของเขา
สำนักเต๋ามีวิชามากมายที่ใช้เป็นตัวตายแทนได้ แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในนี้ก็คือจอมมรรคาเทพพันบรรพตแห่งลัทธิไม่จีรัง
มนุษย์ภูผาอวี้หงโชคดีได้ฟังการบรรยายธรรมครั้งหนึ่งของจอมมรรคาเทพพันบรรพต นับตั้งแต่นั้น เขาก็ปลุกสติปัญญาให้ตื่นขึ้นได้ ทั้งยังได้รับความรู้ในการบำเพ็ญที่แข็งแกร่งจนไร้สิ่งใดเทียบเคียงจากการบรรยายธรรมนั้น
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายพันปี ในที่สุดเขาก็เติบโตจากหนูหมาป่าตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งในภูเขามาเป็นกระเรียนป่าทะยานเมฆาที่ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
เขาตามหาพวกเดียวกันมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีหนูหมาป่าตัวใดเหมือนกับเขาสักตัว จอมมรรคาเทพพันบรรพตก็หายตัวไปอย่างลึกลับมานานแล้ว บนโลกนี้ไม่มีการบรรยายธรรมที่รุ่งโรจน์แบบนั้นเป็นครั้งที่สองอีก
ก๊อกๆๆ
อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากประตูเรือนด้านนอก
“นายผู้เฒ่า มีแขกมาเยี่ยมขอรับ” ข้ารับใช้ชราที่เป็นปีศาจหมาป่าเตือนเสียงขรึม
มนุษย์ภูผาอวี้หงงุนงงเล็กน้อย
เขาเร้นกายอยู่ที่นี่มามากกว่าร้อยปีแล้ว คนที่มาเยือนในยามปกติคือคนจากสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ที่อยู่ใกล้ๆ
แต่ทุกครั้งเพียงพูดคุยกันอย่างผิวเผิน คนพวกนั้นแค่มาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปลูกยาสมุนไพรเท่านั้น
เขารู้จักสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ มันคือสำนักธรรมดาๆ ที่เลี้ยงและสอนกระเรียนเซียนเป็นหลัก ปกติเวลาศิษย์ของสำนักนี้เจอเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งด้านนอก ก็จะถูกรังแกเสมอ เขายังเคยลงมือช่วยเหลือเป็นบางครั้ง
“หรือว่าจะเป็นคนของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์อีกแล้ว”
“แขกบอกว่าตัวเองคือเฮ่อเจินศิษย์ของเจ้าสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ขอรับ” ข้ารับใช้ชราอธิบาย
“ให้เขาเข้ามาเถอะ” มนุษย์ภูผาเอ่ยอย่างราบเรียบ
เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีแดงเพลิง ใบหน้าหล่อเหลา ผมสีแดงเข้มยาวจนลากพื้น ผิวขาวประดุจหยก ถ้าหากไม่ใช่เพราะหูหนูทั้งสองข้างที่งอกออกมาบนศีรษะ ทุกคนคงนึกว่าเขาเป็นขุนนางในตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ใช่ปีศาจหนูในภูเขา
ถึงเขาจะเป็นราชาหนูหมาป่าที่ดูแลพื้นที่ในรัศมีพันลี้นี้จริงๆ ก็ตาม
ไม่นานประตูเรือนก็ค่อยๆ เปิดออก คนหนุ่มร่างกำยำที่มีรูปร่างสูงใหญ่และสวมชุดนักพรตสีเทาอมเขียวก็เดินเข้ามา
มนุษย์ภูผาอวี้หงพิจารณาคนผู้นี้อย่างไม่ใส่ใจนัก
ชุดนักพรตดูเรียบง่ายมาก แต่ว่าเครื่องประดับพื้นฐานเล็กๆ บนตัวและยังมีผิวที่เนียนละเอียดอันเกิดจากการกินดีอยู่ดีเป็นเวลานาน ต่างแสดงให้เห็นว่าก่อนที่จะเข้าสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ คนคนนี้ต้องมีสถานะไม่ธรรมดาแน่
เขามีใบหน้าองอาจ บุคลิกเยือกเย็นสงบนิ่ง เหมือนไม่กังวลเลยว่าตนเองมาถึงสถานที่ที่มีเผ่าปีศาจมารวมตัวกัน
แต่ถึงมนุษย์ภูผาอวี้หงจะเป็นเผ่าปีศาจ แต่ก็นับว่ามีความสัมพันธ์กับสำนักกระเรียนพิสุทธิ์อยู่
“เฮ่อเจินกระมัง อาจารย์ของเจ้าให้เจ้านำคำพูดอะไรมาหรือ” เขาถามอย่างราบเรียบ
“ท่านคือมนุษย์ภูผาอวี้หงกระมัง ข้าเฮ่อเจิน ครั้งนี้ที่มาเพราะคิดจะทำการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งกับท่าน” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“แลกเปลี่ยนหรือ” อวี้หงมองคนตรงหน้า สัมผัสความผิดปกติที่ปรากฏออกมาจากร่างของอีกฝ่ายได้อย่างเลือนราง
นี่ไม่ใช่คำพูดที่ศิษย์สำนักกระเรียนพิสุทธิ์ธรรมดาคนหนึ่งพูดออกมาได้เมื่อพบเห็นตัวเอง
เขาพลันเกิดความสนใจนิดหน่อยแล้ว
“การแลกเปลี่ยนอะไร เจ้าเป็นคนต้องการเอง หรือว่าสำนักเบื้องหลังเจ้าต้องการ”
“ถูกต้องทั้งคู่” ลู่เซิ่งตอบพร้อมกับหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้ออย่างช้าๆ
“ข้าได้ยินมาว่าคัมภีร์หลักที่มนุษย์ภูผาเชี่ยวชาญมีชื่อว่าวิชามรรคาศิลาย้ายภูผา เลยหวังว่าจะใช้สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ คัมภีร์หลักสูงส่งของสำนักตัวเองเป็นสิ่งสิ่งแลกเปลี่ยนได้”
ของสิ่งนั้นค่อยๆ ถูกแกะห่อออก ด้านในคือคัมภีร์สีเทาอ่อนเล่มหนึ่ง
มนุษย์ภูผาอวี้หงงุนงง
ของอย่างคัมภีร์หลักมีคุณค่าหาใดเปรียบ ต่อให้เป็นศิษย์ของตัวเอง ก็ต้องทดสอบกันนานถึงจะตัดสินใจถ่ายทอดให้ได้
แต่เป็นเพราะมีขีดจำกัดที่จำเป็นในตอนฝึกบำเพ็ญคัมภีร์หลักมากมาย หากจิตใจไม่สมบูรณ์พอก็จะเกิดอุบัติเหตุจนทำให้เสียชีวิตได้ง่ายสุดขีด
ดังนั้นหากจะบอกว่ามีคุณค่า ก็ต้องดูคนก่อน
มีผู้บำเพ็ญปกติน้อยมากที่มีเวลาไปแลกเปลี่ยนวิชากับคนอื่นแบบนี้
ถึงอย่างไรการแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์หลักก็หายากเป็นอย่างยิ่ง อันดับแรกเพราะมีคุณค่ามาก อันดับรองลงมาคือคัมภีร์หลักไม่เหมือนวิชาคัมภีร์ทั่วไป เนื่องจากต้องใช้การบรรยายที่ละเอียดและการแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างเท่านั้น
ต่อให้มีตัวคัมภีร์ อย่างมากสุดก็รู้คร่าวๆ เท่านั้น
อาจารย์ของหลายๆ สำนักจะชอบใช้คำแทนที่คลุมเครือแทนคำสำคัญส่วนหนึ่งในคัมภีร์บางส่วน จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย
เทียบเท่ากับการเข้ารหัสในส่วนสำคัญ
มนุษย์ภูผาอวี้หงขมวดคิ้วจ้องมองคนหนุ่มตรงหน้า ดูเหมือนคนหนุ่มตรงหน้าจะไม่มีข้อแตกต่างกับนักพรตจากสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ธรรมดาๆ
แต่กลิ่นอายที่บรรยายไม่ได้ซึ่งกระจายอย่างซ่อนเร้นบนตัวคนผู้นี้ กลับสร้างความกริ่งเกรงให้เขาอยู่บ้าง
“เจ้าอาศัยอะไรคิดว่าข้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับเจ้า สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์หรือ นี่เป็นอีกระดับหนึ่งของสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ของเจ้ากระมัง ถ้าแลกคัมภีร์หลักกันแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร หรือเจ้าคิดว่าข้าจะฝึกฝนคัมภีร์หลักที่เจ้ามอบให้ข้าจริงๆ” เขาชี้ถึงจุดนี้อย่างตรงไปตรงมา
“ย่อมไม่ใช่ ข้าเพียงแค่มาลองดูเท่านั้นว่าได้หรือไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้” ลู่เซิ่งยิ้ม “ข้าย่อมมีวิธีการอื่น”
“วิธีการอะไร” มนุษย์ภูผาอวี้หงเอ่ยอย่างสงสัย
“ความจริงแล้ว สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ไม่ใช่คัมภีร์หลัก หากเป็นคัมภีร์รอง ที่จริงการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ท่านได้เปรียบนะ” ลู่เซิ่งพูดเสริม
“อ้อ? คัมภีร์รองหรือ” ครั้งนี้มนุษย์ภูผาอวี้หงเกิดความสนใจแล้ว พึงทราบว่าไม่มีใครกล้าฝึกคัมภีร์หลัก เพราะมันเป็นรากฐาน แต่คัมภีร์รองแตกต่างออกไป เป็นเพราะไม่ข้องเกี่ยวกับรากฐาน เลยทดลองฝึกฝนเพื่อทดสอบหาความสามารถที่แท้จริงในสถานการณ์ที่ไม่ส่งผลต่อต้นกำเนิดได้
หนำซ้ำการต่อสู้ในโลกล้วนพึ่งพาคัมภีร์รอง นี่เป็นทุนสำหรับทำให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย
“คัมภีร์รองนี้มีประโยชน์อะไร” อวี้หงใคร่ครวญครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยปากถาม
ลู่เซิ่งพลันยิ้ม พอมนุษย์ภูผาอวี้หงพูดแบบนี้ เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเกิดความหวั่นไหวแล้ว
เขาบรรยายสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังครึ่งหนึ่งเพื่อแสดงความจริงใจ มนุษย์ภูผาอวี้หงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักกระเรียนพิสุทธิ์เสมอมา เมื่อเห็นดังนั้นแ บวกกับพลังฝึกปรือของลู่เซิ่ง เขาก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ตัวละครธรรมดาของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ ขณะเดียวกันตัวเขายังลอบส่งคนไปติดต่อกับสำนักกระเรียนพิสุทธิ์เพื่อถามว่ามีคนคนนี้อยู่จริงๆ หรือไม่ด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาพึงพอใจ ในข้อมูลที่ส่งกลับมาบอกว่าไม่เพียงมีคนผู้นี้อยู่จริงๆ เท่านั้น แต่คนผู้นี้ยังเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ในปัจจุบันด้วย ทั้งยังเป็นศิษย์ที่เจ้าสำนักและอาจารย์อาหลายๆ ท่านให้ความสำคัญมากที่สุด
ถึงขั้นที่ทั้งสามอาจารย์ยังมอบสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ให้เฮ่อเจินเต้าหยินผู้นี้จัดการหลังจากออกไปด้านนอกด้วย
เมื่อมีความสำคัญระดับนี้ มนุษย์ภูผาอวี้หงก็วางใจบ้างแล้ว
หลังจากได้รับเนื้อหาครึ่งหนึ่งของสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ เขาก็เป็นอันต้องตกตะลึง เพราะวิชาเต๋าวิชานี้แตกต่างจากสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ที่เขาเคยแอบศึกษาเมื่อก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
แข็งแกร่งกว่าสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์และคัมภีร์สามชาติกำหนดวิญญาณอันเป็นคัมภีร์รองของเขาไม่ต่ำกว่าเท่าตัว
หลังจากได้ไขข้อสงสัยคร่าวๆ แล้ว มนุษย์ภูผาอวี้หงเพียงใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะตกลงแลกเปลี่ยนคัมภีร์หลักกับลู่เซิ่ง
คัมภีร์หลักของเขามีชื่อว่าวิชามรรคาศิลาย้ายบรรพต เป็นเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่เน้นการดูดซับปราณของแร่ธาตุเป็นหลัก แต่ว่าเหมาะกับเผ่าปีศาจที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ดินซึ่งต้องอาศัยการเจาะชั้นภูเขาอย่างหนูหมาป่าเท่านั้น
ไม่ทราบว่าจะได้ผลกับเหล่ามนุษย์หรือไม่
ทว่าลู่เซิ่งไม่ใส่ใจ
ทั้งสองคนนั่งถกกันข้ามคืนอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ของมนุษย์ภูผาอวี้หง วันต่อมา ลู่เซิ่งบอกลาอย่างมีมารยาท และได้รับคัมภีร์วิชามรรคาศิลาย้ายบรรพตฉบับสมบูรณ์ที่มนุษย์ภูผาอวี้หงส่งมอบให้ด้วย
มนุษย์ภูผาอวี้หงไม่ได้เก็บงำอะไรไว้ การใช้สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์แลกเปลี่ยนกับคัมภีร์หลักธรรมดาๆ ของเขา กลับเป็นฝ่ายตรงข้ามที่เสียเปรียบแล้ว
ในเมื่อสำนักกระเรียนพิสุทธิ์จริงใจ เขามนุษย์ภูผาอวี้หงย่อมไม่เล่นลูกไม้
หลังออกจากกระท่อม ลู่เซิ่งยังเดินได้ไม่ถึงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกตัวเองดังมาจากไกลๆ
ตัวเขายังอยู่บนเนินเขา พอหันกลับไป กลับเป็นข้ารับใช้ชราของมนุษย์ภูผาอวี้หง
ข้ารับใช้ชราเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเตือนเบาๆ ว่า “ท่านนักพรตรอประเดี๋ยว ก่อนหน้านี้ท่านประมุขลืมบอกไป ไม่นานมานี้มีศิษย์ของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บหนักตอนผ่านมาทางหุบเหวเขาเหลือง แถมเมื่อครู่ยังมีหลายคนถูกคนจากเผ่าจิ้งจอกหยกขวางไว้จนเกิดความขัดแย้งขึ้นด้วย”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งเคยเจอเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้เป็นบางครั้งในตอนดูแลสำนักกระเรียนพิสุทธิ์เช่นกัน สำนักกระเรียนพิสุทธิ์เป็นสำนัก จึงมีการกระทบกระทั่งกับเผ่าปีศาจที่อยู่รอบๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้อยู่ใกล้ จึงรู้สึกแตกต่างออกไป
“ขอบพระคุณที่เตือน” เขาพยักหน้าให้ข้ารับใช้ชราน้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวเร่งฝีเท้าไปยังทางหุบเหวเขาเหลือง
หลักการเดิมของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์คือหากยอมได้ก็ยอม เน้นอดกลั้นเป็นหลัก แต่แผนการของเขาในตอนนี้ย่อมไม่ใช่แบบนี้
อยากจะเห็นพอดีว่าพลังของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับไหน
ลู่เซิ่งที่คิดไปคิดมาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอย่างอดไม่ได้
เดินอยู่ราวสิบกว่านาที ลู่เซิ่งก็มองเห็นเส้นทางคดเคี้ยวสีเขียวเข้มซึ่งยืดขยายเข้าไปในป่าศิลาสีเหลืองที่ไม่เป็นระเบียบแห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ
นักพรตของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์สี่คนรวมตัวกันอยู่บนเส้นทาง กำลังประจัญหน้ากับบุรุษที่แต่งกายอย่างนายพรานและใบหน้าเป็นสีเหลืองราวเทียนไขอีกหลายคน
การมาถึงของลู่เซิ่งพลันทำให้คนทางฝั่งสำนักกระเรียนพิสุทธิ์บังเกิดสีหน้ายินดี ส่วนบุรุษนายพรานที่อยู่อีกฝั่งต่างพากันขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะจำได้ว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นศิษย์รอบนอกของอาจารย์อาสาม เขาจึงพลันถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป็นเฮ่อเจินซื่อจื่อ!”
นักพรตหลายคนพลันตื้นตัน ในเวลาปกตินักพรตรอบนอกธรรมดาๆ อย่างพวกเขายากจะได้พบกับศิษย์สายตรงในอาราม
รอบนอกกับสายตรงจะได้รับการปฏิบัติต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ทั้งสาม
ส่วนลู่เซิ่งหรือเฮ่อเจินก็เป็นคนที่ได้รับความสำคัญที่สุดในหมู่ศิษย์สายตรง
“คืออย่างนี้…” นักพรตหนุ่มที่มีอายุช่วงต้นยี่สิบคนหนึ่งรีบอธิบาย
ที่แท้ที่นี่มีบ่อน้ำพุเย็นแห่งหนึ่งที่ใช้บ่มเมล็ดเถาน้ำแข็งที่กระเรียนเซียนโปรดปรานที่สุด แต่ว่าตำแหน่งของบ่อน้ำพุเย็นแห่งนี้อยู่ตรงกลางเขตของเผ่ามนุษย์จิ้งจอกหยกและสำนักกระเรียนพิสุทธิ์พอดี
ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้น หลังจากสำนักกระเรียนพิสุทธิ์เริ่มใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำพุเย็นแห่งนี้แล้ว มนุษย์จิ้งจอกหยกก็มาพบเข้า จึงเกิดการแก่งแย่งกับสำนักกระเรียนพิสุทธิ์
พื้นที่ส่วนใหญ่ของบ่อน้ำพุเย็นอยู่ในเขตของเผ่าจิ้งจอกหยก แต่ว่าสำนักกระเรียนพิสุทธิ์คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ตนพบก่อน ถ้าหากไม่ใช่การค้นพบของพวกเขา ชนเผ่าจิ้งจอกหยกก็ไม่ได้ใช้บ่อน้ำพุเย็นด้วยซ้ำ
ทั้งสองฝ่ายเลยต่างยืนกราน
คนหลายคนสลับกันเล่าต้นสายปลายเหตุจนกระจ่าง
พอลู่เซิ่งฟังจบ ก็มองไปยังชนเผ่าจิ้งจอกหยก
ชนเผ่าจิ้งจอกหยกไม่ใช่จิ้งจอกแปลงกายมา หากเป็นคนจากหมู่บ้านที่ค่อนข้างเก่าแก่ซึ่งใช้จิ้งจอกหยกเป็นสัญลักษณ์บูชา
เพียงแต่ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจิ้งจอกหยกนี้มีความลี้ลับพิสดารมากมาย เป็นสายเลือดรุ่นหลังที่จิ้งจอกปีศาจกับมนุษย์ให้กำเนิด