ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 681 สะเทือนใจ (1)
บทที่ 681 สะเทือนใจ (1)
ณ ตำหนักฉิงอ๋อง
ฝนตกกระหน่ำ สายฝนที่รวมตัวกันหนาแน่นเหมือนกับเส้นด้ายนับไม่ถ้วน เทสาดใส่ในตำหนักฉิงอ๋องตามกระแสลม
ในตำหนักอ๋องมืดครึ้ม บางครั้งจะมีบางแห่งที่จุดโคมไฟ แต่โคมไฟล้วนหุ้มด้วยเปลือกสีดำสนิทอันแปลกประหลาด มีแต่ช่องบนและช่องล่างของโคมไฟเท่านั้นถึงจะมีแสงไฟสายหนึ่งสาดลอดออกมาอย่างเลือนราง
ประตูใหญ่ว่างเปล่าไร้ผู้คน แม้แต่องครักษ์เฝ้าประตูก็ไม่มี
ถนนรอบๆ ยิ่งเย็นเยียบ บางครั้งบางคราวเท่านั้นถึงจะมีคนผ่านทางสองสามคน แต่ต่างก้าวย่างอย่างรีบเร่ง ถึงขั้นมีคนวิ่งไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิตตอนที่เดินผ่านถนนเส้นนี้
เสี่ยวเจินที่สวมเสื้อคลุม ทับด้วยเสื้อกันฝนทำจากฟาง ค่อยๆ เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ของตำหนักฉิงอ๋อง
เขาพันผ้าหนาไว้บนใบหน้าและรอบลำคอ ปกปิดลักษณะภายนอกที่มีศีรษะเป็นกระเรียนขาวอันแปลกประหลาดของเขาได้พอดี
‘ที่นี่คือตำหนักฉิงอ๋องหรือ’ แม้เสี่ยวเจินจะเพิ่งเบิกสติปัญญาได้ไม่นาน แต่ก็มีความเป็นมาไม่ต้อยต่ำ เคยบินไปยังสถานที่หลากหลาย ผู้คนเรื่องราวที่ได้พบเห็นก็มีมากมาย ย่อมไม่ใช่คนไร้การศึกษา
มันรู้ดีว่าขุมกำลังที่ฉินอ๋องสักคนจะครอบครองได้มีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน
กระนั้นตำหนักของฉินอ๋องที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่มีการเฝ้าระวังอะไรเลย ทำให้ดูแปลกพิกล
ใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นเขาก็อ้อมไปยังประตูข้างของตำหนักอ๋อง กระโดดอย่างแผ่วเบาไปยังกำแพงสูง ร่างลอยข้ามกำแพงอย่างแผ่วพลิ้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงในสวนดอกไม้เล็กๆ ที่มีวัชพืชขึ้น
พวกคนรวยมักชอบสร้างสวนดอกไม้ที่มีดีแค่เอาไว้ชื่นชมแต่ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่แบบนี้
เสี่ยวเจินส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับเหลียวมองรอบๆ ยังคงไม่มีใครสักคนเดียว
‘แปลก’ เขาตั้งหลัก จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปยังหอหลักของตำหนักอ๋อง
ไม่ใช่อ้อมไปอ้อมมาตามทางเดินบนระเบียง หากแต่กระโดดข้ามไปตรงๆ เวลาเจอกำแพงก็ข้ามกำแพง เดินเป็นเส้นตรงเข้าไป
ไม่นานนัก เสี่ยวเจินก็เข้ามาในชั้นที่สองของหอหลักที่อยู่ตรงกลางสุดของตำหนักอ๋อง แล้วเหินร่างเข้าไปตามชายคา
“ผู้ใด!?” อยู่ๆ ก็มีเสียงตวาดดังมาจากโถงใหญ่ชั้นสอง
มีเงาสีเทาพุ่งออกมาตะปบกรงเล็บใส่เสี่ยวเจินทันที
“มีคนกล้าบุกตำหนักฉิงอ๋องหรือนี่!? อยากตายนักหรือ!” เสียงแหลมประหลาดดังขึ้นกลางอากาศหลังจากเงาสีเทาพุ่งออกมา
เสี่ยวเจินตีลังกากลางอากาศ หลบหลีกการโผพุ่งของเงาสีเทาได้อย่างพิสดาร พร้อมกับตะปบกรงเล็บใส่ในแนวขวาง
ฟิ้ว!
เงาสีเทาฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆ ในทันที หลังเสียงร้องก็กลายเป็นควันนับไม่ถ้วนแล้วสลายหายไป
เสี่ยวเจินกวาดตามอง สถานการณ์ในโถงใหญ่สะท้อนสู่คลองจักษุ
บนกำแพงรอบๆ ของโถงใหญ่แน่นขนัดด้วยชั้นวางของ ศีรษะมนุษย์ที่ลืมตาและยิ้มร่าหลายหัววางกองไว้เต็มบนชั้น
ไม่ว่ากวาดตามองไปตรงไหน แม้แต่เพดาน ก็ล้วนมีแต่ศีรษะมนุษย์นับไม่ถ้วน
ดูเหมือนศีรษะคนพวกนี้จะผ่านการจัดการมาแล้ว จึงไม่มีร่องรอยเน่าเปื่อยใดๆ
คนสวมอาภรณ์สีเทาหลายคนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางโถงใหญ่ ประคองตำราอะไรสักอย่างไว้ในมือ ตอนนี้กำลังรีบลุกขึ้นแล้วมองมายังทิศทางที่เสี่ยวเจินบุกเข้ามา
“ฆ่ามัน!”
สองแขนของคนสวมอาภรณ์สีเทาสองคนกลายเป็นกึ่งโปร่งแสง จากนั้นก็ยืดยาวและใหญ่ขึ้นพร้อมกับพุ่งมาทางเสี่ยวเจิน
“พายุเงาสังหาร!” เสี่ยวเจินหมุนตัว เงากรงเล็บนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นรอบๆ ตัว พริบตาเดียวก็ฉีกแขนทั้งหมดที่เข้าใกล้เป็นชิ้นๆ
คนสวมอาภรณ์สีเทาหลายคนร้องโหยหวน กระจายตัวคิดหลบหนี แต่ก็ถูกเสี่ยวเจินไล่ตามไปจับไว้ ก่อนจะถูกหักคอตาย
ในอากาศไม่มีกลิ่นคาวเลือด ในศพของคนสวมอาภรณ์สีเทาที่ตายแล้วไม่มีเลือดสักหยด ไม่นานก็จางหายไป เหมือนไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
‘สถานที่แห่งนี้…’ เสี่ยวเจินขมวดคิ้ว
“นึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าบุกตำหนักฉิงอ๋องของข้า” ร่างเงาคนอ้วนฉุร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากปากบันไดตรงประตูทางเข้าโถงใหญ่
เป็นฉิงอ๋องเจ้าของสถานที่แห่งนี้เอง
เขายิ้มแย้มขณะใช้สายตาพิจารณาเสี่ยวเจินช้าๆ
“เจ้า…เป็นคนของตำหนักเยวี่ยอ๋องสินะ” เห็นได้ว่าเขามองความเป็นมาของเสี่ยวเจินออก พลังปีศาจที่รับสืบทอดมาสายนั้นเหมือนกับกระเรียนปีศาจที่อยู่ข้างตัวเยวี่ยอ๋องไม่มีผิด
“เสี่ยวเจิน คารวะฝ่าบาทฉิงอ๋อง” เสี่ยวเจินค่อยๆ โค้งตัวคารวะ
“เจ้าบุกตำหนักอ๋อง มีเป้าหมายอะไร ไหนลองบอกดู” เหมือนฉิงอ๋องจะไม่กลัวแม้แต่น้อยว่าเสี่ยวเจินจะลงมือกับเขาอย่างฉับพลัน
“นายของข้าสัมผัสของขวัญที่ท่านมอบให้ฝ่าบาทเยวี่ยอ๋องได้แล้ว เลยส่งข้ามามอบคืนให้แก่ท่าน” เสี่ยวเจินเอ่ยอย่างเคารพ
“หือ? มอบคืนหรือ” ฉิงอ๋องยิ้มกว้างกว่าเดิม “พวกเจ้าจะมอบคืนอย่างไร”
“อย่างเช่น…แบบนี้” เสี่ยวเจินพลันออกแรง ร่างพุ่งใส่ฉิงอ๋องดุจสายฟ้าฟาด
แต่เพิ่งจะเข้าใกล้ มันก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองพุ่งเข้าไปในบึงเหนียวผืนหนึ่ง การเคลื่อนไหว พละกำลัง และความเร็วได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
มันพยายามดิ้นรน แต่พลังปีศาจบนร่างกลับไม่มีผลแม้แต่น้อย เนื่องจากถูกของบางอย่างดูดกลืนอย่างรวดเร็ว
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร…” ไม่ทราบว่ามีมือกระบี่ตัวสูงใหญ่ที่ทั่วร่างเป็นสีดำสนิทสายหนึ่งโผล่มาด้านหลังฉิงอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่
เงาที่เหมือนกับโคลนสีดำจำนวนมากยืดขยายออกมาจากร่างของมือกระบี่ แล้วห่อหุ้มเสี่ยวเจินไว้เป็นชั้นๆ พริบตาเดียวก็ไม่เห็นอะไรอีก
ในโถงใหญ่เหลือแค่ก้อนโคลนสีดำที่กำลังเดือดพล่านเท่านั้น
“เป็นแค่ปีศาจตัวน้อย แต่กลับกล้าส่งมาตาย…” ฉิงอ๋องสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงยิ้มประหลาดเหมือนเมื่อก่อนหน้า
“ฝ่าบาท…ให้ข้ากินมันได้หรือไม่” มือกระบี่เงาดำถามเบาๆ
“เจ้าอยากกินก็กินเถอะ อย่าลืมเก็บกวาดให้สะอาดด้วย” ฉิงอ๋องเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เข้าใจแล้ว…ข้าน้อยจะต้องเก็บกวาดจนสะอาดแน่!” มือกระบี่เงาดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมกับค่อยๆ เดินไปหาก้อนสีดำ
โผละ!
ทันใดนั้นกรงเล็บกระเรียนสายหนึ่งเจาะโคลนดำออกมา แล้วตะปบเข้าใส่ฉิงอ๋อง
แคว่ก!
โคลนดำมีมือสีดำนับไม่ถ้วนออกมาหมายจะจับกรงเล็บกระเรียนเอาไว้ แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะพละกำลังต่างกันลิบลับ ไม่รอให้มือดำจับได้ ก็ถูกพลังมหาศาลฉีกทิ้งไปก่อน
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังกึกก้อง ฉิงอ๋องที่ตั้งตัวไม่ทันถูกกรงเล็บกระแทกใส่อย่างแรงจนกลิ้งไปชนเข้ากับกำแพงด้านข้างอย่างหนักหน่วง
ตอนนี้ก้อนโคลนสีดำฉีกขาดออกเหมือนกับเสื้อผ้า เผยให้เห็นเสี่ยวเจินที่ร่างกำลังขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง
เวลานี้ร่างกายที่เดิมทีสูงแค่สองหมี่ของมันขยายอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อหลายส่วนสะท้อนแสงแวววาวเหมือนกับโลหะ
สองแขนเหมือนกับรัดพันไว้ด้วยลวดนับไม่ถ้วน เส้นเอ็นสีดำอมเทาหลายสายปูดโปน โถงใหญ่ที่มีขนาดเล็กๆ ใกล้จะรองรับร่างของมันไม่ได้แล้ว
เสี่ยวเจินเปลี่ยนจากร่างธรรมดาที่สูงสองหมี่กว่าๆ ไปถึงหกหมี่กว่าๆ ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ!
โครม!
เกิดเสียงดังกระหึ่ม มันต่อยหมัดใส่มือกระบี่เงาดำที่พุ่งมาจนกระเด็นออกไป จากนั้นก็ฟาดเพดานของหอจนทลายลงอย่างง่ายดาย
ชั้นบนชั้นล่างถูกทะลวง ค่อยฝืนรองรับร่างมหึมาของมันในตอนนี้เอาไว้ได้
ท่ามกลางสายฝนอันมืดสนิท เศษอิฐเศษหินจำนวนมากกระจัดกระจายออกมาจากในสายฝน
ตูม!
ด้านในกลางหอหลักระเบิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มือกระบี่เงาดำกระเด็นออกมาเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่ แล้วฝังตัวเข้ากับพื้นดินของตำหนักอ๋อง เป็นเหตุให้กรวดหินดินทรายฟุ้งกระจายขึ้นมาเป็นกลุ่มใหญ่
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสี่ยวเจินก้าวเดินเข้าไปหาฉิงอ๋องที่นอนอยู่บนพื้น ร่างอันมโหฬารทอดเงามืดสนิทไปปกคลุมอีกฝ่ายเอาไว้ แค่เสียงฝีเท้าแต่ละก้าวของมันก็ทำให้หอทั้งหอดังครืนครันได้แล้ว
“นายข้าฝากข้ามาทักทายท่าน ฝ่าบาทฉิงอ๋อง”
ฉิงอ๋องที่เลือดอาบศีรษะ ฝืนเงยหน้าขึ้นมองเงามหึมาตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ตูม!
เกิดเสียงดังกระหึ่ม
กำแพงทั้งหมดรอบๆ ชั้นสองของหอหลักถล่มทลายลงในพริบตา ยักษ์ที่เป็นเงามืดตนหนึ่งยื่นมือออกมาจากด้านหลังฉิงอ๋อง แล้วต้านรับหมัดที่เสี่ยวเจินต่อยลงมาเอาไว้
แรงสั่นสะเทือนอันน่ากลัวทำลายชั้นที่สองจนถล่ม
“ฆ่ามันๆ! ข้าต้องการถลกหนังมัน!” เสียงหวีดร้องอันคลุ้มคลั่งของฉิงอ๋องดังสะท้อนท่ามกลางเสียงกระหึ่ม
ยักษ์ในเงามืดกับเสี่ยวเจินลอยออกจากซากปรักหักพังพร้อมกัน แล้วทิ้งตัวลงบนตำหนักอ๋องอยางรุนแรง
ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันสุดกำลัง ยักษ์สูงห้าหมี่แต่มีพละกำลังแข็งแกร่งสุดขีด ส่วนเสี่ยวเจินสูงกว่าแต่พละกำลังกลับด้อยกว่าเท่าหนึ่ง เพียงแค่ได้เปรียบด้านความเร็วเท่านั้น
ทว่าในสถานการณ์ที่พละกำลังไม่แตกต่างกันมาก การได้เปรียบด้านความเร็วจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินผลแพ้ชนะไป
ทั้งสองฝ่ายแลกหมัดแลกเท้ากัน ทุกๆ ครั้งที่ปะทะกันจะเกิดเสียงระเบิดอันกึกก้องดังมา ตำหนักอ๋องทั้งตำหนักเกิดเสียงดังครืนครัน ทั่วทิศสั่นไหว แผ่นกระเบื้องและฝุ่นละอองบนชายคาจำนวนไม่น้อยโดนกระแทกให้ไหลลงมา
ไม่ถึงสิบกว่ากระบวนท่า ยักษ์ในเงามืดก็โดนต่อย ร่างกายโซเซก่อนจะล้มลงกับพื้น
เสี่ยวเจินคิดจะไล่ซ้ำ แต่ก็เหลือบเห็นยักษ์เงามืดอีกหลายตนซึ่งกำลังพุ่งมาจากที่ไกลด้วยความเร็วสูง ยักษ์พวกนี้มุดออกมาจากกำแพงและพื้นของตำหนักอ๋อง รวมตัวกลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโถมตัวเข้าหามัน
“อย่างนั้น ไว้เจอกันวันหลัง” มันกระโดดขึ้นอย่างแผ่วเบา ร่างกายหดลงด้วยความเร็วสูง สองมือกลายเป็นปีกพร้อมกับโบกกระพือ จากนั้นก็วาดเส้นโค้งรอบหนึ่งแล้วทิ้งตัวลงด้านนอกตำหนักอ๋อง ก่อนจะพุ่งไปยังที่ไกลและหายไปโดยใช้เวลาไม่นาน
ฉิงอ๋องถูกคนประคองขึ้นจากพื้น เขามีสีหน้าเหี้ยมเกรียม
“บัดซบๆๆๆๆๆ!” เขาด่าทออย่างบ้าคลั่ง สีหน้าบิดเบี้ยว แทบจะไม่เหลือเค้าความสูงศักดิ์อ่อนโยนของคนเป็นฉินอ๋องในยามปกติ
“ตำหนักเยวี่ยอ๋อง!” เขากัดฟันและสบถด่าด้วยน้ำเสียงโมโห
“ฝ่าบาท…หว่าลาตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” มือกระบี่เงามืดสายหนึ่งเข้ามาบอกเบาๆ
ฉิงอ๋องเดินไปถึงด้านหน้ายักษ์เงามืดที่สู้กับเสี่ยวเจิน ตอนนี้ยักษ์เงามืดที่สูงห้าหมี่หดฟีบลงอย่างรวดเร็ว เงามืดบนตัวกำลังกระจัดกระจายออก
ไม่นานนักร่างกายก็หดจากห้าหมี่เล็กลงถึงสามหมี่ สองหมี่ และหนึ่งหมี่…สุดท้ายก็ผอมโซกลายเป็นคนแคระเตี้ยต่ำที่สูงไม่ถึงครึ่งหมี่ด้วยซ้ำ
“เยวี่ยอ๋อง!” ฉิงอ๋องสีหน้าเหยเกถึงขีดสุด
“ฝ่าบาท…ต้องการแก้แค้นหรือไม่” มือกระบี่ที่อยู่ด้านข้างถามเบาๆ
“สวะ!” ฉิงอ่องตบหน้ามือกระบี่
ความสามารถที่แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างกะทันหันนั้นพุ่งจากระดับปีศาจธรรมดาถึงระดับแม่ทัพปีศาจ นี่มันช่าง…
“นี่เป็นการหยั่งเชิง และเป็นการเตือน” ยักษ์เงามืดตนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ฝ่าบาท ทางตำหนักเยวี่ยอ๋องก็มีเลศนัยล้ำลึกเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ…”
“อย่าเพิ่งเคลื่อนไหววู่วาม รอคนส่วนใหญ่มาครบก่อน แล้วข้าจะฆ่าล้างตำหนักเยวี่ยอ๋องจนเหี้ยน!” ฉิงอ๋องเอ่ยเสียงเย็น
…
ลู่เซิ่งที่เปลี่ยนเครื่องแบบนักพรตแล้วนั่งอยู่บนชั้นสามของเหลาสุรา ค่อยๆ จิบสุราดอกหอมหมื่นลี้สูตรพิเศษของที่นี่
นอกหน้าต่างฝนตกกระหน่ำ เขาอยู่ในตำบลสารทสนธยาที่อยู่ห่างจากตำหนักฉิงอ๋องสิบกว่าลี้ ดื่มสุราไปพลางรอฟังข่าวไปพลาง
ครั้งนี้เติมพลังยุทธ์ห้าร้อยกว่าปีให้เสี่ยวเจิน กอปรกับนี่เป็นปราณจริงแท้คุณภาพสูงหลังจากการพัฒนา จึงยกระดับเสียวเจินไปถึงขั้นที่แม้แต่เขาก็ยังประเมินไม่ถูกในพริบตาเดียว
ดังนั้นการมาในครั้งนี้ เขาจึงมีความคิดที่จะสังเกตพลังที่แท้จริงของเสี่ยวเจินด้วย
ในเหลาสุรามีคนไม่มากนัก ยิ่งกว่านั้นชั้นสามยังมีแค่เจ้าหน้าที่ขุนนางกับพ่อค้าวาณิชนั่งกระจัดกระจายเนื่องจากสุราอาหารราคาแพง เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างไม่สะดุดตา
“ท่านพ่อ ปฏิบัติการจบลงแล้ว ข้าได้รับบาดเจ็บ” อยู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังเข้าหูลู่เซิ่ง เป็นเสี่ยวเจินนั่นเอง
“สาหัสไหม”
“สาหัสเล็กน้อย จำเป็นต้องแยกรักษาตัวเป็นเวลาสองวัน แต่ข้าสังหารยอดฝีมือของพวกมันได้คนหนึ่ง”
“ลำบากแล้ว เจ้ากลับไปก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของเสี่ยวเจินหายไป