ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 685 วิญญาณแห่งวัฏจักร (1)
บทที่ 685 วิญญาณแห่งวัฏจักร (1)
เจ้าสนขาวเดินออกจากเรือน กำชับกับองครักษ์เบาๆ สองสามประโยค ก่อนจะโดยสารรถม้าจากไป
ด้านในรถม้ามืดสลัว แต่เจ้าสนขาวกลับผุดสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว
“คิดดีแล้วหรือยัง มนุษย์แค่คนเดียว กลับควรค่าให้เจ้ายินยอมปกป้องมานานขนาดนี้เชียวหรือ มีความหมายหรือ” เสียงที่ทุ้มต่ำดังขึ้นในตัวรถ
“นี่เป็นหลักการของข้า” เจ้าสนขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เจ้าควรจะรู้ว่าความอดทนของเรามีจำกัด เยวี่ยอ๋องซื่อจื่อนั่นเป็นแค่คนธรรมดาๆ ทว่ากลับผงาดขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ จะต้องมีความลับใหญ่แน่ ตอนนี้คนผู้นี้หายตัวไป แต่ก็ยังศึกษาความลับในส่วนลึกของสายเลือดจากครอบครัวของเขาได้อยู่ดี ถ้ำราชากระเรียนของเจ้าคิดจะต้านทานลัทธิไม่จีรังที่ยิ่งใหญ่ เหมือนกับตั๊กแตนใช้แขนขวางรถโดยแท้” เสียงนั้นว่าต่อไป
“ข้ารู้” เจ้าสนขาวผุดสีหน้านิ่งเฉย
“แล้วเจ้าจะยังลังเลอะไรอยู่อีก เวลาใกล้จะมาถึงแล้ว หากรอถึงตอนที่ลัทธิไม่จีรังส่งคนมาลงมือเองจริงๆ ถ้ำปีศาจเล็กๆ ของเจ้าก็ไม่สามารถต้านทานได้อยู่ดี” เสียงนั้นโน้มน้าวอย่างอดทน
เจ้าสนขาวรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเกลี้ยกล่อมให้ตนยอมแพ้ เพื่อจะได้รับความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว
มันเองก็รู้เหมือนกันว่า เมื่อขุมกำลังที่มีพลังน้อยนิดของตนเผชิญหน้ากับลัทธิไม่จีรังที่ยิ่งใหญ่ จะต้องต้านทานไม่ไหวแน่นอน
แต่มันเคยหันหลังให้สำนักมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้มันไม่คิดจะทำเป็นครั้งที่สองอีก ที่มาอยู่ในจุดนี้ได้ เยวี่ยอ๋องซื่อจื่อที่เยาว์วัยและลี้ลับผู้นั้นมอบอะไรๆ ให้มันไว้มากมาย
ดังนั้นมันจึงไม่มีวันยอมแพ้
“เจ้าพิจารณาให้ดีเถอะ อีกสักพักฮ่วนซันเต้าหยินอาจจะมาที่นี่แล้ว ก่อนที่เขาจะมา ถ้าเจ้ายังไม่ตัดสินใจอีก อย่างนั้นก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว” เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ย
เจ้าสนขาวนิ่งไป
ฮ่วนซันเต้าหยิน…
…
ลัทธิไม่จีรัง เกาะหมื่นว่างเปล่า
ก้อนหินขนาดใหญ่สีเขียวจำนวนมากหมุนวนไปมากลางอากาศอย่างช้าๆ
ก้อนหินหลายสิบก้อนกลายเป็นค่ายกลทรงกลมขนาดใหญ่ นักพรตวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตสีเหลืองคนหนึ่งกำลังลอยอยู่ตรงกลาง
‘ไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้าชีวิตถึงให้เราเข้าร่วมเรื่องราวทางโลก’
เขาที่แสดงสีหน้าหงุดหงิดโบกมือทีหนึ่ง ก้อนหินหลายสิบก้อนพากันร่วงตกลงพื้น
จินหยินที่สำเร็จเป็นเซียนในลัทธิไม่จีรังมีอยู่ไม่มาก แต่เขาเป็นหนึ่งในนี้ เมื่อสำเร็จเป็นเซียนเมื่อใด ก็จะอยู่เหนือสรรพสัตว์เมื่อนั้น ความแตกต่างเหมือนเมฆกับโคลน
นี่คือคำพูดของสำนักเต๋า ทารกกลายเป็นเทพ หวนคืนสู่ก่อนกำเนิด
ฮ่วนซันเต้าหยินไม่นับว่าสำเร็จเป็นเซียนเร็วนัก เพิ่งจะเลื่อนระดับขึ้นก่อนที่จะติดอยู่ที่ขีดจำกัดทางอายุขัยเท่านั้น
ตอนแรกนึกว่าหลังจากเลื่อนระดับอย่างยากลำบากแล้ว จะสามารถอยู่สบายๆ ต่อไปได้อีกหลายร้อยปี นึกไม่ถึงว่าสงครามโชคชะตาแห่งราชวงศ์ซีหยาจะอุบัติขึ้น
เขาถูกส่งไปยังโลกเบื้องล่าง กลายเป็นหนึ่งในสิบสามเซียนมนุษย์ที่ควบคุมชะตาของสำนักเต๋า และเป็นหนึ่งในจินหยินสิบสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิไม่จีรังในปัจจุบัน
“ขอเรียนถามว่าท่านเซียนฮ่วนซันอยู่ที่ใด” อยู่ๆ ก็มีเสียงสตรีกระจ่างใสดังมาจากที่ไกล
ฮ่วนซัน (เรียกภูผา) สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย คนที่ส่งเสียงมาถึงที่นี่ได้อย่างน้อยต้องมีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับสูงสุดของทารกกำเนิด
จินหยินในสำนักเต๋าแบบนี้มีความสำคัญมากพอให้พบหน้า
“ท่านเป็นใครหรือ” เขาถามเสียงเรียบ
“ข้าชุนหยางจื่อ มาเพราะเรื่องพู่กันรุ่งเรืองของสำนักวสันต์สารทเมื่อก่อนหน้านี้”
ก่อนหน้านี้สำนักวสันต์สารทต่อชะตาให้แก่ราชวงศ์ โดยสร้างพู่กันรุ่งเรืองอันเป็นของวิเศษขึ้นมา ฮ่วนซันเต้าหยินเคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน
ก่อนที่เขาจะลงไปยังโลกเบื้องล่าง เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โตมาก ความขัดแย้งระหว่างสองสำนักใหญ่เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่างลูกศิษย์
ตอนแรกศิษย์ที่มีพลังฝึกปรือไม่นับว่าสูงของสำนักวสันต์สารทสร้างพู่กันรุ่งเรืองขึ้นเพื่อต่อชะตาให้แก่ราชวงศ์ซีหยา แต่ดันไปทำลายสายเลือดของนักพรตคนหนึ่งจากลัทธิไม่จีรังโดยไม่ได้ตั้งใจ
พอดีที่นักพรตผู้นี้อยู่ในช่วงจิตมารจุติใหม่ หลังได้รับการสัมผัสทางสายเลือดแล้ว ก็พลันโมโห ควบคุมจิตเต๋าไม่อยู่ จึงถลกหนังควักหัวใจของศิษย์สำนักวสันต์สารท แล้วเอาไปให้แม่ทัพปีศาจที่เป็นพาหนะกิน
ทว่าถึงแม้ศิษย์ของสำนักวสันต์สารทผู้นั้นจะไม่ได้มีพลังฝึกปรือสูงนัก แต่คุณสมบัติโดยกำเนิดกลับไม่เลว นักพรตที่กราบเป็นอาจารย์ยังเป็นเจินหลินเต้าหยินราชาสิงโตสวรรค์ที่มีนิสัยใจร้อนที่สุดในสำนักวสันต์สารทด้วย
ดังนั้นหลังจากฆ่ากันไปมา ความแค้นก็ค่อยๆ ล้ำลึกขึ้น กอปรกับมีคนจงใจกวนน้ำให้ขุ่น
ทั้งสองฝ่ายต่างก็พาสหายของตนเข้ามามีเอี่ยวด้วย จนปัญหาใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ยิ่งเป็นการปะทะกันซึ่งหน้าของสองสำนักใหญ่
เดิมทีสองสำนักใหญ่มีช่องว่างความขัดแย้งไม่น้อยอยู่แล้ว ครั้งนี้ทุกอย่างเลยระเบิดขึ้น
ลัทธิไม่จีรังมีเซียนมนุษย์สิบสามคน ส่วนสำนักวสันต์สารทมีคุรุสวรรค์สิบสามคน
แม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่สนใจทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง หรือผลประโยชน์ แต่ตัวเองเป็นหัวมังกรแห่งสำนักลัทธิอยู่แล้ว ทั้งสองฝั่งเลยเกิดความขัดแย้งเนื่องจากการแย่งชิงถ้ำฟ้าแดนสวรรค์ไม่น้อย
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้จัดการไปแล้วหรอกหรือ สำนักวสันต์สารทมีปัญหาอะไรอีก” ฮั่วนซันเต้าหยินเป็นคนใจร้อนมาแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินเรื่องนี้ก็หงุดหงิดอยู่บ้าง
“หลังจากราชวงศ์ซีหยาล่มสลาย ยังเหลือกากเดนของราชวงศ์ก่อนไม่น้อย ในนี้มีจำนวนมากที่เป็นสายลับซึ่งสำนักวสันต์สารททิ้งไว้ ยังจำเป็นต้องเก็บกวาดให้สิ้นซาก” ชุนหยางจื่อเอ่ยเบาๆ
“เรื่องนี้พวกท่านไปขบคิดเองเถอะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามากวนข้า” ฮ่วนซันเต้าหยินกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ตอนแรกพวกเราจะจัดการกันเอง เพียงแต่ในหมู่สายลับกลับมีจอมปีศาจขอบเขตราชาปีศาจตนหนึ่งคอยคุ้มครองขุมกำลัง…พลังฝึกปรือของพวกเราไม่พอ เกรงว่าจะทำให้ลัทธิเสียการใหญ่…” ชุนหยางจื่อนั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“ราชาปีศาจหรือ” ฮ่วนซันเต้าหยินงุนงง “เผ่าพันธุ์อะไร”
“ว่ากันว่าเป็นกระเรียนเซียนตัวหนึ่ง”
“นี่กลับบังเอิญนัก” ฮ่วนซันเต้าหยินปรารถนาเหล่าพาหนะระดับราชาปีศาจของอาจารย์พวกผู้อาวุโสมานานแล้ว แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไร อย่างมากสุดก็หาเจอแค่ระดับแม่ทัพปีศาจเท่านั้น จอมปีศาจระดับราชาปีศาจไหนเลยหาง่ายขนาดนั้น
พอได้ยินเรื่องนี้ เขาก็เกิดความหวั่นไหวทันที
“กระเรียนเซียนระดับราชาปีศาจ…ข้ากำลังขาดพาหนะอยู่พอดี ท่านเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังที!”
ชุนหยางจื่อพลันยินดี ทราบว่าคำไหว้วานของฉิงอ๋องสำเร็จแล้ว ต้องคว้าหยกโลหิตประตูสวรรค์มาได้แน่นอน
…
หลังจากราชวงศ์ซีหยาล่มสลาย อาณาจักรก็แตกเป็นเสี่ยงๆ โดยแบ่งออกเป็นห้าส่วน สามส่วนในนี้คือขุมกำลังฟานอ๋องที่มีลัทธิไม่จีรังคอยควบคุม
ส่วนหนึ่งเป็นขุมกำลังที่สำนักวสันต์สารทที่เพิ่งพ่ายแพ้ยึดครอง ส่วนเล็กๆ ส่วนสุดท้ายคือตำหนักเยวี่ยอ๋อง
ตำหนักเยวี่ยอ๋องนับว่ายืนอยู่ตรงกลาง ล้วนไม่เอนเอียงไปหาฝ่ายสำนักวสันต์สารทหรือลัทธิไม่จีรัง
ในถ้ำราชากระเรียน
สิบสองกระเรียนปีศาจมารวมตัวกัน นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ เส้นแสงสีเหลืองมัวกระจายออกมาจากเชิงเทียนสองสามแท่งตรงมุมถ้ำ
เจ้าสนขาวนั่งอยู่บนบัลลังก์หินด้านบนสุดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หลังจากลัทธิไม่จีรังส่งคนมาในครั้งก่อนก็ผ่านไปหลายสิบวันแล้ว ใกล้จะถึงกำหนดเวลาแล้ว” มันเอ่ยเสียงแผ่ว “ทุกคนมีความคิดอะไร ไหนลองว่ามาดู”
กระเรียนปีศาจทั้งหมดเงียบงัน
เสี่ยวอวิ๋นลุกขึ้น มันเป็นกระเรียนปีศาจตัวน้อยที่ติดตามลู่เซิ่งมาตั้งแต่ตอนแรกสุด จึงนับว่ามีวาจาสิทธิ์มากที่สุดในหมู่กระเรียนเซียนทั้งหมด
“ผ่านมาหลายปี ตำหนักเยวี่ยอ๋องได้หลอมรวมกับพวกเราเป็นหนึ่งแล้ว พวกเราคิดจะลงมือกับเยวี่ยอ๋อง ก็เท่ากับลงมือกับถ้ำราชากระเรียนของเรา ฆ่าเถอะ อย่างมากสุดก็เสี่ยงชีวิตกับพวกมันเท่านั้น!”
เสี่ยวอวิ๋นมีนิสัยใจร้อน ตอนนี้จึงพูดจาอย่างหุนหันโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
“เสี่ยงชีวิตหรือ เจ้าจะเอาอะไรมาเสี่ยงชีวิต” เสี่ยวเจินเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ารู้ไหมว่าเซียนมนุษย์สิบสามคนในปัจจุบันของลัทธิไม่จีรังแข็งแกร่งขนาดไหน พี่ใหญ่เป็นจอมปีศาจระดับราชาปีศาจ แต่หากเซียนมนุษย์ลงมือ เกรงว่าจะพ่ายแพ้ตั้งแต่พบหน้าด้วยซ้ำ เจ้าจะเอาอะไรไปเสี่ยงชีวิตกับพวกเขา”
“ตอนนี้ในหมู่ฟานอ๋องทั้งหลาย มีแต่ตำหนักเยวี่ยอ๋องของพวกเราเท่านั้นที่ไม่มีฉากหลังเป็นเซียนมนุษย์ที่ใช้ประคองสถานการณ์ คิดจะหลีกเลี่ยงการคุกคามจากลัทธิไม่จีรัง…ยากมาก!” เสี่ยวหรงเอ่ยอย่างจนใจ
“ทางสำนักกระเรียนพิสุทธิ์เล่า” มีกระเรียนปีศาจถาม
“ทางนั้นไม่รู้เรื่องอะไรหรอก พวกเขามีพลังฝึกปรือต่ำเกินไป ต่อให้รู้ก็ทำอะไรไม่ได้” เจ้าสนขาวส่ายหน้า
“อย่างนั้นแผนการในวันนี้…” เสี่ยวเจินขมวดคิ้วถาม
“เสี่ยวเจิน เจ้าพาเยวี่ยอ๋องกับนายหญิงอีกสองคนไปด้วยกันซะ ข้าจะอยู่รับมือเรื่องพวกนี้เอง” เจ้าสนขาวเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่ได้! พี่ใหญ่ท่านรับมือคนเดียวไม่ได้หรอก! ถ้าจะตายพวกเรามาตายด้วยกัน!” เสี่ยวเจินลุกขึ้นและกล่าวเสียงเฉียบขาด
“ประเสริฐ ถ้าจะตายก็ตายด้วยกันหมดงั้นหรือ!” อยู่ๆ เสียงสายฟ้าดังสนั่นที่เหมือนเสียงระเบิดก็ดังขึ้นในถ้ำราชากระเรียน
นักพรตวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตสีเหลืองคนหนึ่ง โผล่ขึ้นที่ประตูทางออกของโถงหินในถ้ำราชากระเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
นักพรตถือกระบี่ไม้สีดำ แบกหยกหรูอี้สีเหลืองที่ยาวครึ่งหมี่กว่าๆ ไว้บนหลัง สีหน้าเยือกเย็น ท่าทางผ่อนคลาย
สิ่งที่ทำให้พวกเจ้าสนขาวกังวลก็คือ บนบ่าซ้ายของชุดนักพรตปักคำว่าขุนเขาเอาไว้
“ช่างมีน้ำใจและคุณธรรมดีแท้!” นักพรตย่างเท้าเข้ามาในถ้ำอย่างช้าๆ
ตูม!
แรงกดดันอันน่าสะพรึงที่หนักอึ้งเหมือนกับของเหลวสายหนึ่ง ระเบิดออกมาจากร่างของนักพรตในตอนที่เขาเหยียบลงบนพื้นถ้ำ
สิบสองกระเรียนปีศาจและเจ้าสนขาวรู้สึกตัวหนักแทบจะพร้อมกัน จากนั้นพลังปีศาจและกล้ามเนื้อทั้งหมดบนร่างก็ถูกพลังไร้รูปร่างพันธนาการจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้
‘นี่คือ…แรงดันวิญญาณ!’ เจ้าสนขาวนึกถึงศัพท์คำหนึ่งในพริบตา
กองกำลังสู้รบระดับกำหนดสถานการณ์ในขอบเขตเซียนมนุษย์ ควบคุมพลังวิญญาณในสภาพแวดล้อมรอบๆ เพื่อสร้างแรงดันพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมหาศาลใส่ฝ่ายตรงข้ามได้
ถึงแม้พวกมันจะเป็นเผ่าปีศาจซึ่งไม่ได้ใช้พลังวิญญาณหากใช้พลังปีศาจ แต่พลังวิญญาณก็คงอยู่ในทุกๆ ที่ ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงแบบนี้ ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจระดับแม่ทัพปีศาจก็ต้านทานไม่ไหวอยู่บ้างเช่นกัน
“เป็นแค่ขุมกำลังเผ่าปีศาจเล็กๆ ที่เพิ่งจับมือกัน รู้ว่าเหนือคนมีคน เหนือฟ้ามีฟ้ากับเขาด้วยหรือ” นักพรตผู้นี้คือฮ่วนซันเต้าหยินที่รีบรุดมาจากลัทธิไม่จีรัง
ถ้าหากไม่ลงมือเร็วๆ เกรงว่ากระเรียนเซียนระดับราชาปีศาจจะถูกคนอื่นจับตัวตัดหน้าไปก่อน
“นักพรตท่านนี้…” เจ้าสนขาวยังคงลุกขึ้นและส่งเสียงอย่างเป็นปกติภายใต้แรงดันวิญญาณได้
“คุกเข่า!”
อีกฝ่ายตวาดอย่างฉับพลัน
ร่างของเจ้าสนขาวถูกกระแทกจนสั่นไหว สีหน้าซีดเผือด เกือบจะล้มลง
ถ้ำราชากระเรียนเริ่มสั่นสะเทือน เส้นบิดเบี้ยวกึ่งโปร่งแสงนับไม่ถ้วนกระจายในอากาศ ฮ่วนซันเต้าหยินแค่นเสียงแล้วเดินไปด้านหน้า
“คุกเข่า!”
เขาตวาดอีกรอบ
เจ้าสนขาวเหมือนโดนสายฟ้าฟาดใส่ ร่างกายโงนเงน สองขาอ่อนยวบจนเกือบล้มลง แต่มันยังฝืนอดทนไว้ได้
“ข้า…ข้าสนขาว…”
“คุกเข่า!” อีกฝ่ายตวาดเป็นครั้งที่สาม
ครั้งนี้กระเรียนปีศาจทั้งหมดที่เหลือถูกกระแทกจนเลือดไหลออกจากเจ็ดทวาร แล้วล้มกับพื้น ไร้เรี่ยวแรงขยับเขยื้อน
เจ้าสนขาวหน้าแดงก่ำ ร่างกายสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกรอบ แต่ยังคงพยายามอดทนอดกลั้นไว้
“คุก…”
“ไม่!”
เจ้าสนขาวคำราม สองแขนกลายเป็นสองปีกพร้อมกับฟาดใส่ฮ่วนซันเต้าหยินอย่างแรง
แต่มันเพิ่งจะขยับ แรงดันวิญญาณเหนียวหนืดที่เหมือนกับของเหลวก็กดทับใส่มันทันที ฮ่วนซันเต้าหยินผุดสีหน้าเย็นชาพร้อมกับแทงกระบี่ใส่เจ้าสนขาวด้วยมือขวา
มิคาดเจ้าสนขาวไม่สนใจกระบี่ไม้ที่แทงใส่ศีรษะตน หากก้มตัวโถมเข้าใส่ฮ่วนซันเต้าหยิน คิดใช้ชีวิตแลกชีวิต
“ต้องการให้ข้าตาย! ข้าจะกินเจ้าก่อน!”
“อย่างนั้นเจ้าก็จงไปตายเสียเถอะ!” ฮ่วนซันเต้าหยินโมโห เร่งความเร็วกระบี่แทงใส่หว่างคิ้วเจ้าสนขาว
หลังฆ่ามันเสร็จค่อยสร้างหุ่นเชิดระดับราชาปีศาจเอาก็ได้!