ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 692 ตี้วา (2)
บทที่ 692 ตี้วา (2)
“ห้วงฝันของตี้วาได้แต่ใช้จิตวิญญาณสัมผัสเข้าไป นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีวิธีอื่นอีก” เจ้าสำนักวสันต์สารทเอ่ยเสียงขรึม
ลู่เซิ่งพยักหน้าทั้งที่ยังหันหลังให้นาง หยุดนิ่งเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือขวาออกไปแตะผิวก้อนกลม
ครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ก้อนสีดำกลืนแขนของเขาเข้าไปเหมือนกับปากถ้ำ
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักมือกลับและมองผิวของตัวเอง ไม่มีปัญหาใดๆ
“อย่างนั้น ข้าขอเข้าไปก่อน ทั้งสองท่านจำเป็นต้องรีบเร่งมือให้เร็วที่สุด” เขาหันไปเตือน
“พวกเราย่อมต้องระวัง!” เจ้าลัทธิไม่จีรังพยักหน้า
สองสามปีมานี้ พวกเขาสามคนร่วมมือกันหาแก่นปราณของตี้วา การหยั่งเชิงอย่างระแวดระวังในตอนแรกค่อยๆ กลายเป็นความช่ำชองที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในภายหลัง
ถึงแม้ว่าจะไม่เคยสำเร็จ แต่ทั้งสามต่างทราบว่าต้นเหตุของความล้มเหลวอยู่ที่ไหน
ไม่ใช่แก่นวิญญาณไม่ประสานกันดี แต่เป็นเพราะดึงปราณวิญญาณออกมาไม่ทันต่างหาก
จะต้องทำให้แก่นวิญญาณและปราณวิญญาณของตี้วาที่ดึงออกมาประสานกันในเวลาที่สั้นสุดขีด ถึงจะเอาแก่นปราณของตี้วามาได้
“ไปเถอะ พวกเราจะพยายามลงมือให้เร็วที่สุด!” เจ้าสำนักวสันต์สารทเอ่ยเสียงเย็น
“แน่นอน” เจ้าลัทธิไม่จีรังยิ้มพร้อมขานรับ
ทั้งสองหายไปจากที่เดิมแทบจะพร้อมกัน
ฟ้าว!
ลู่เซิ่งวูบไหวร่างหายเข้าไปในก้อนสีดำ
เขาไม่ได้เข้ามาเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังรู้สึกไม่ชินอยู่ดี
หลังผ่านความมืดไป เขาก็โซเซพุ่งเข้าสู่พื้นโคลนสีดำ
พลังทั้งหมดบนร่างถูกพันธนาการไว้ นี่เป็นห้วงฝันของตี้วา พลังแห่งจิตวิญญาณของนางยิ่งใหญ่เสียจนทำให้ลู่เซิ่งจินตนาการไม่ออก
เป็นเพราะจิตวิญญาณแตกต่างกันเกินไป ลู่เซิ่งจึงได้แต่ฝืนคงสภาพของตัวเองไว้ในห้วงฝันได้เท่านั้น
เหมือนกับกระโดดเข้าไปในบึงเหนียวที่มีแต่โคลน แค่ตั้งหลักไม่ให้ร่างจมลงไปได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่บนพื้นโคลนโคลงศีรษะและเริ่มเพ่งสมาธิสอดส่องรอบๆ
รอบๆ กว้างไกลไร้ขอบเขต ทั้งหมดคือผืนดินสีเทา เห็นต้นไม้ที่อ้าปากกางเล็บสองสามต้นได้เป็นบางครั้งเท่านั้น
ชั้นเมฆสีเทาล่องลอยกลางท้องฟ้า นอกจากสีเทาแล้ว ระหว่างท้องฟ้าพื้นดินก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ลู่เซิ่งก้มหน้าลงมองร่างตัวเอง ไม่ทราบว่าเสื้อคลุมสีขาวในตอนแรกกลายเป็นสีเทาตั้งแต่ตอนไหน
‘คล้ายๆ โลกแห่งความเจ็บปวด…แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว’ เขาขมวดคิ้ว ‘จะต้องรีบหาที่อยู่ของจิตวิญญาณแห่งตี้วาให้เจอโดยเร็วที่สุด’
คิดจะหาแก่นวิญญาณของตี้วา ความจริงไม่ยาก
ขอแค่เจอจิตวิญญาณของตี้วาที่ร่อนเร่ในห้วงฝัน จากนั้นสร้างเรื่องราวที่ทำให้มันตกใจ ก็จะเอาแก่นวิญญาณของตี้วาที่จับตัวเป็นผลึกจากร่องแยกความรู้สึกมาครองได้
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตี้วามีลักษณะแบบไหน
หลายครั้งที่เขาได้เห็นก่อนหน้านี้เป็นมนุษย์ บางครั้งก็เป็นหญิงสาวธรรมดา บางครั้งก็เป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา บางครั้งก็มีสถานะอิสตรีอย่างอื่น
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ได้หาง่ายนัก
ลู่เซิ่งเหลียวมองรอบๆ หมายจะตามหาทิศทางที่มีสิ่งมีชีวิต
ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือ รอบๆ คือความรกร้างอันไร้ขอบเขต นอกจากต้นไม้ที่ตายแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก
ฟู่..
อยู่ๆ เงาดำเรียวยาวที่มีขนาดยักษ์สายหนึ่งก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ฝังตัวเข้าไปในผิวดินที่อยู่ห่างจากลู่เซิ่งไม่ไกลด้วยความเร็วสูงและรุนแรง
ตูม!
ลู่เซิ่งโดนพายุที่ก่อตัวขึ้นพัดตีลังกาไปด้านหลังหลายตลบ จึงค่อยตั้งหลักได้
เป็นเพราะถูกจิตวิญญาณของตี้วาสะกดไว้ เขาจึงสร้างผลกระทบต่อห้วงฝันที่รวมตัวขึ้นจากจิตวิญญาณของนางไม่ได้ กลายเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง
หลังจากตั้งหลักบนพื้นได้อย่างยากลำบาก ลู่เซิ่งก็เงยหน้าหน้ามองไป แล้วพบเห็นว่าเงาดำนั้นคือสิ่งใด
เป็นงวงช้างสีเทาขนาดยักษ์ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า!
งวงช้างที่หยาบใหญ่ดูดซับน้ำสีดำจำนวนมากจากพื้นอย่างต่อเนื่อง บางครั้งบางคราวยังเห็นได้ว่ามีละอองน้ำสีดำกระเซ็นออกมาจากช่องบนพื้นที่ถูกงวงช้างเจาะ
แปร๋น!
เสียงร้องที่ทอดยาวดังมาจากด้านหลังชั้นเมฆบนท้องฟ้า
ลู่เซิ่งแหงนหน้าขึ้นมอง แต่นอกจากชั้นเมฆก็ไม่เห็นอะไรอีก
“เห็นหรือยัง” เสียงกระจ่างใสดังขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง
“นี่คือช้างสวรรค์ พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นอีกประเดี๋ยวพื้นดินของที่นี่จะพังทลายลงโดยสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นอยากหนีก็หนีไม่ทันแล้ว”
ลู่เซิ่งตกใจ รีบร้อนเงยหน้ามองไป
ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวงดงามที่อายุไม่เกินสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่ตอนไหน
รถทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเทาอมเงินคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาว
“ไปเถอะ ออกจากที่นี่ก่อน ตอนนี้รวบรวมน้ำดำไม่ได้แล้ว ช้างสวรรค์ตกมันจะดูดซับน้ำดำจนแห้งจึงค่อยยอมจากไป” หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังรถ
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตามหญิงสาวไป ไม่นานก็มุดเข้าไปทางเข้าด้านขวามือของรถ
ภายในรถไม่แตกต่างจากกระโจมของชนเผ่าเร่ร่อนทั่วไป จัดวางโต๊ะ เก้าอี้ เตียง และเครื่องครัวไว้
นอกจากหญิงสาวแล้ว ยังมีเด็กผู้หญิงตัวน้อยอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนเตียง รวมถึงชายชราที่อายุมากแล้วคนหนึ่ง ซึ่งนั่งวาดอะไรบางอย่างอย่างขะมักเขม้นอยู่ที่โต๊ะ
ยังมีคนขับที่เป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งอยู่ด้านหน้ารถ
หลังจากหญิงสาวกับลู่เซิ่งขึ้นรถแล้ว รถก็เคลื่อนตัวทันที ส่งเสียงดังกระหึ่มเหมือนรถจักรไอน้ำพร้อมกับขับไปยังที่ไกล
“เป็นอย่างไร ดื่มชาร้อนสักจอกไหม” หญิงสาวพาลู่เซิ่งไปนั่งลง ก่อนจะรินชาร้อนให้เขาจอกหนึ่ง
“ขอบคุณ” ลู่เซิ่งรับชาร้อนมาจิบช้าๆ สายตาชำเลืองมองไปมาระหว่างเด็กสาวบนเตียงและหญิงสาวด้านหน้า
เขาไม่แน่ใจว่าจิตวิญญาณของตี้วาคือคนไหน
“นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนเป็นๆ” หญิงสาวยิ้มอย่างสดใส “สวัสดี ท่านเรียกข้าว่าลวี่ฉือก็ได้ พวกเขาคือครอบครัวของข้า ท่านชื่ออะไรหรือ”
“เฮ่อเจิน” ลู่เซิ่งบอกฉายาเต๋าอย่างไม่สนใจ ขอแค่ไม่ใช่ชื่อจริงต่างก็ใช้ได้ทั้งนั้น
“เฮ่อเจินหรือ ชื่อแปลกจริง” หญิงสาวหัวเราะพลางแนะนำคนที่เหลือ
“นางคือน้องสาวข้า ชื่อเช่อเฉียง (ยิงกำแพง)” นางชี้เด็กสาวบนเตียง
“เขาคือท่านตาของข้า ชื่อฝูเฉียง (ยันกำแพง)” นางชี้ชายชราพลางกล่าว
“ยังมีคนขับรถชื่อตงเหนียนปู๋อวี้ (ไร้สมรรถภาพในฤดูหนาว)” นางชี้ชายฉกรรจ์ที่ขับรถเป็นคนสุดท้ายก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดี ข้าคือตงเหนียนปู๋อวี้” พี่ใหญ่ผู้เป็นคนขับหันมาทักทายลู่เซิ่ง
“สวัสดี…” ลู่เซิ่งแขวะในใจอย่างอดไม่ได้ว่า ยังมีหน้ามาว่าเขาตั้งชื่อประหลาดอีก…
“การที่พวกเรามาเจอกันในที่รกร้างกว้างใหญ่แบบนี้ได้ถือเป็นวาสนา” หญิงสาวลวี่ฉือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปก็ไม่ได้เจอคนเป็นๆ มาหลายปีแล้วเหมือนกัน ตอนแรกกะว่าจะมาดูดน้ำดำไปเติมเชื้อเพลิงเสียหน่อย นึกไม่ถึงว่ากลับมาเจอท่าน แทนที่จะเจอเชื้อเพลิง”
“ที่นี่คือที่ใดกันแน่ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอรู้สึกตัวก็มาโผล่ที่นี่แล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสับสนโดยแสร้งทำเป็นเลอะเลือนรับมือไม่ถูก
“ท่านไม่รู้หรือว่าที่นี่คือที่ไหน” ลวี่ฉือพลันประหลาดใจ
“ใช่…ตอนแรกข้ากำลังนอนหลับอยู่ สุดท้ายพอตื่นขึ้นมา ก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว…” ลู่เซิ่งกระตุ้นให้วิชาจิตโน้มนำแสดงผลอย่างเต็มที่ ทักษะการแสดงไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย
“ที่นี่คือทะเลทรายคำหยาบคาย!” ลวี่ฉือร้องเสียงดัง “ทะเลทรายคำหยาบคายเป็นหนึ่งในแดนต้องห้ามที่น่ากลัวที่สุดบนโลกใบนี้ ท่านทะเล่อทะล่าเข้ามาตัวคนเดียวโดยไม่รู้อะไรเลย เกิดช้างสวรรค์ฟาดงวงลง…”
“ใจเย็นๆ หน่อยลวี่ฉือ สงบสติอารมณ์ก่อน” ชายชราที่ก้มหน้าวาดอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะเงยหน้าขึ้นตัดบท
“เด็กน้อยนั่นก็ยังอยู่สบายดีไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่…เพียงมีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง อาหารน้ำดื่มของพวกเราจะไม่พอน่ะสิเจ้าคะ” ลวี่ฉือขุ่นข้องใจอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรน่า ข้าจำได้ว่าอีกสักระยะจะมีจุดจัดส่งอยู่ พวกเราเพียงแค่ต้องระวังลูกอ๊อดเท่านั้น ฤดูนี้เป็นฤดูที่ลูกอ๊อดตามหาแม่พอดี…” ชายชราเอ่ยเสียงแผ่ว
จู่ๆ ก็มีเสียงตูมดังมาจากที่ไกล
“รีบหมอบลงเร็ว! ลูกอ๊อดมาแล้ว!” ชายชราสีหน้าเปลี่ยนแปลง ก่อนจะหมอบลงกับพื้นทันที
ลวี่ฉือที่หน้าซีดรีบดึงตัวลู่เซิ่งให้หมอบลงเช่นกัน
ตูม!
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมองผ่านหน้าต่างรถที่เป็นแก้วใส แล้วก็เห็นลูกอ๊อดสีดำน่ากลัวที่มีขนาดกว่าหลายพันหมี่ตัวหนึ่งกำลังสะบัดหางยาวว่ายผ่านทางขวาของรถอย่างรวดเร็ว
‘นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?!’ ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ในใจ
“รีบๆ หักซ้าย! หักซ้ายเร็วเข้า!” เสียงตะโกนของชายชราพลันดังขึ้นข้างหู
ตงเหนียนปู๋อวี้ผู้เป็นคนขับหักเลี้ยวไปยังทางซ้ายอย่างกะทันหัน
ตูม!
รถเพิ่งจะพุ่งออกจากที่เดิม เงาดำขนาดยักษ์กลุ่มหนึ่งก็ร่วงตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างรุนแรง ลูกอ๊อดอีกตัวตกกระแทกใส่พื้น
“ไปทางซ้ายอีก! ทางซ้ายยังมี!” ลวี่ฉือหวีดร้อง
“ข้าพยายามอยู่เนี่ย!” ตงเหนียนปู๋อวี้ตะโกน กล้ามเนื้อทั่วร่างนูนเด่น เหงื่อแตกโซก เห็นได้ชัดว่าใช้แรงทั้งหมดแล้ว
รถสะบัด แทบจะหักเลี้ยวไปทางซ้ายเป็นเส้นโค้งด้วยมุมตั้งฉาก
ตูม!
หางสีดำของลูกอ๊อดฟาดใส่ตำแหน่งเดิมของรถ แม้จะแค่ถากไปนิดเดียว แต่ก็ยังทำให้ด้านในตัวรถสั่นโคลงเคลงอย่างแรงอยู่ดี
“ด้านหน้า ระวังด้านหน้า! กรี๊ด! พุ่งเข้ามาแล้ว!” ลวี่ฉือกรีดร้องเสียงหลง
“หักเลี้ยว! หักเลี้ยวสิ!” ชายชราตะโกน
“ข้ารู้แล้ว! กำลังทำอยู่!” ชายฉกรรจ์คำรามขณะจับพวงมาลัยแน่น
ตูม!
ลูกอ๊อดตัวหนึ่งพุ่งมาจากด้านหน้า
เกิดเสียงดังกระหึ่มที่ไม่อาจบรรยาย
ลู่เซิ่งวิงเวียนศีรษะ ร่างลอยขึ้นกระแทกใส่ด้านบนตัวรถ ก่อนจะร่วงตกลงมา
คนที่เหลือกระจัดกระจาย กลิ้งไปกลิ้งมา ในรถเละเทะตุ้มเป๊ะ
ครู่ต่อมาทุกสิ่งจึงค่อยสงบลง
“ในที่สุด…ในที่สุดก็จบลงแล้ว…” ชายชรานอนแผ่ข้างๆ เขาอย่างอ่อนแรง
ลู่เซิ่งเอื้อมมือไปเก็บผลึกโปร่งแสงก้อนหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกล
นอกจากเขาแล้ว คนอื่นๆ ในรถล้วนมองไม่เห็นผลึกก้อนนี้ เหมือนกับตัวมันไม่คงอยู่
‘แก่นวิญญาณของตี้วา…’ เป็นครั้งแรกที่ลู่เซิ่งได้มันมาง่ายขนาดนี้ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ขนาดนี้เช่นกัน
เขาสำรวจลวี่ฉือกับเช่อเฉียงเด็กสาวที่อยู่บนเตียงอีกรอบ ตี้วาจะต้องเป็นคนใดคนหนึ่งในนี้แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาแยกแยะ
“เป็นอย่างไร ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง” ลวี่ฉือประคองชายชราที่เลือดอาบศีรษะขึ้นก่อน แล้วเข้ามาประคองลู่เซิ่ง
“ยัง…ยังดีอยู่…” ลู่เซิ่งลุกขึ้นยืนอย่างสับสนขณะที่ถือแก่นวิญญาณของตี้วาไว้ในมือ
“ที่นี่…คือที่ไหนกันแน่…”
“เดี๋ยวปรับตัวได้ก็ชินไปเอง” ลวี่ฉือส่ายหน้า “ความจริงวันนี้ยังถือว่าโชคดีนะ ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอภัยพิบัติฟ้าครั้งหนึ่ง อเนจอนาถกว่านี้อีก ก่อนหน้านั้นพวกเรามีสหายห้าคน”
“ภัยพิบัติฟ้าอะไรกัน” ลู่เซิ่งพลันเกิดลางสังหรณ์อัปมงคล…