ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 694 โยกย้าย (2)
บทที่ 694 โยกย้าย (2)
การสนับสนุนจากแก่นปราณของตี้วาช่วยลดภาระให้ลู่เซิ่งได้มาก ทำให้เขามีเวลาว่างเพ่งพินิจสภาพในกระแสวังวนมิติเวลาเป็นครั้งแรก
เขารู้สึกเหมือนกับตนเองเหินอยู่ในอุโมงค์สีรุ้งทรงกระบอกแห่งหนึ่ง บนผนังของอุโมงค์ที่อยู่รอบๆ มีแต่แสงและเส้นสายประหลาดที่บิดเบี้ยวเปลี่ยนแปลงไปมา
อุโมงค์หมุนวนและโค้งงอตลอดเวลา ถ้าไม่ระวังนิดเดียวก็อาจจะชนเข้ากับผนังที่โค้งหักศอกได้
ลู่เซิ่งทราบดีว่า หากเกิดชนใส่ผนังที่บิดเบี้ยวเข้า ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะพุ่งเข้าไปในจักรวาลต่างมิติที่ไม่ทราบพิกัดและมีความอันตรายสูงสุด
ทุกครั้งที่ผ่านมาได้เป็นเพราะเขาสร้างเส้นเชื่อมค่ายกลขึ้นทั้งสองฝั่ง แค่บินไปตามเส้นเชื่อมก็ใช้ได้ ทว่าครั้งนี้เขาอยู่นานเกินไป เส้นเชื่อมระหว่างค่ายกลจึงเหลือการสัมผัสแค่เล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ได้แต่สัมผัสทิศทางคร่าวๆ แล้วบินไปเอง
ความรู้สึกของการอยู่ในอุโมงค์ไม่มีความรู้สึกถึงเวลา เหมือนกับว่าพริบตาเดียวคือหลายปี
ลู่เซิ่งเห็นจุดแสงสีเทาจุดหนึ่งที่โผล่ขึ้นด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จุดแสงปล่อยกลิ่นอายที่คุ้นเคยของโลกมารสวรรค์หลายสายออกมาตลอดเวลา
เขารู้สึกฮึกเหิม รีบเร่งความเร็วพุ่งใส่จุดแสงสีเทานั้นทันที
ตูม!
ลู่เซิ่งดิ้นทีหนึ่ง ด้านหน้าพร่ามัว ตอนที่ภาพชัดอีกครั้งเขาก็มานั่งอยู่ในห้องนอนในเรือนของตัวเองแล้ว รอบๆ คือค่ายกลจุติที่เละเทะ
ชิ้นส่วนของผลึกดำนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่ว
‘กลับมาสำเร็จแล้ว ราบรื่นทุกอย่างเลยหรือนี่’ เขาถอนใจอย่างแรง แล้วลุกขึ้นจากค่ายกล อาภรณ์บนร่างถูกเผาทำลายในตอนข้ามมิติไปแล้ว จึงหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากช่องลับในห้องมากางออกและสวมใส่
‘ครั้งนี้ถึงแม้ผลกรรมจะไม่สำเร็จ จิตวิญญาณจึงหลอมรวมไม่ได้ แต่ว่าการได้ทำความเข้าใจจิตแห่งวัฏจักรแล้วก้าวสู่สภาพกึ่งมายาพิศวงก็เป็นผลพลอยได้ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเหมือนกัน ต่อจากนี้คือการรวบรวมพลังแห่งวัฏจักรเพื่อพัฒนาโลกรูปจิตและสร้างความมั่นคงในขอบเขตมายาพิศวง’
ลู่เซิ่งผลักประตูเดินออกจากห้องนอนที่ใช้กักตน
ทัวหลันปาเฮ่อ มนุษย์โลหิตสีเงินที่เขาเก็บมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เฝ้าอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าร้อนรน นางเข้ามาไม่ได้เพราะการขัดขวางของค่ายกล
ครั้นเห็นลู่เซิ่งเดินออกมา นางจึงค่อยระบายลมหายใจช้าๆ
“นายท่าน ท่านไม่เป็นไรกระมัง?!” ตอนแรกทัวหลันปาเฮ่อกำลังหลับอยู่ พลันได้ยินเสียงดังสนั่น จึงรีบลุกขึ้น พอพบว่าเสียงดังมาจากห้องที่ลู่เซิ่งอยู่ก็ร้อนใจขึ้นมา
นางนึกความทรงจำของตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ออก จำไม่ได้ว่าตนเองคือใคร แต่รู้สึกซาบซึ้งใจต่อลู่เซิ่งที่เก็บนางไว้มาก
ถ้าไม่ใช่ลู่เซิ่งสั่งไว้ว่าไม่ให้นางเข้าไป เกรงว่านางจะบุกเข้าไปแล้ว อย่างไรนางก็เป็นความประหลาดลี้ลับ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็หาเป็นไรไม่
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งโบกมือ ขยะมากมายด้านหลังพลันลอยออกมากองรวมกันเป็นก้อนสีดำก้อนหนึ่ง ก่อนจะกลิ้งไปหยุดอยู่ข้างประตูเรือน
“อีกประเดี๋ยวเอาออกไปทิ้งด้วย จริงสิ ครั้งนี้ข้ากักตนนานขนาดไหนกัน” ลู่เซิ่งถามสบายๆ
“เรียนนายท่าน สองเดือนกว่าๆ เจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อคำนวณแล้วรีบตอบ “คนของตระกูลจ้าวมาถามหาท่าน เหมือนต้องการจ้างท่านไปรักษา นอกจากนี้ยังมีสาวกจันทราแดงมาหาท่านด้วย คล้ายกับอยากสืบเรื่องอะไรบางอย่าง”
“อ้อ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งลงในห้องอาหาร ให้ทัวหลันปาเฮ่อยกกับข้าวและเครื่องดื่มมา อยู่ทางพิภพลี้ลับมานาน รสชาติอาหารของที่นี่ถูกปากกว่า
“รายงานรายวันกับรายสัปดาห์ในสองเดือนมานี้เล่า”
“อยู่นี่หมดแล้วเจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่ออุ้มกระดาษรายงานตลอดเวลาสองเดือนกองหนึ่งมาให้
ลู่เซิ่งกินไปพลาง พลิกอ่านข้อมูลสำคัญไปพลาง
ทางนครตราชั่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โต สำนักนทีครามกับมารดาแห่งความเจ็บปวดยังตรึงกำลังกันอยู่ ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่ในตอนที่เขาไม่อยู่
ทางสาวกจันทราแดงกลับมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ภารกิจที่เหมินฟ่านำกลุ่มในครั้งก่อนมีการขยายผลเพิ่ม ดึงดูดสาวกจำนวนไม่น้อยให้เร่งรุดไป
วางรายงานลง ลู่เซิ่งถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง
เขานึกย้อนถึงการจุติในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับหลักตรรกะอยู่บ้าง เวลาในพิภพลี้ลับไม่มีทางเร็วกว่าโลกมารสวรรค์แน่
อย่างอื่นไม่พูดถึง เนื่องจากมีผู้เข้มแข็งระดับตี้วาอยู่ด้วย ระดับชั้นของพลังไม่มีทางอ่อนแอกว่าโลกมารสวรรค์ ถึงขั้นที่เจ้าสำนักไม่จีรังยังบอกด้วยว่าการทลายนภาพิภพลี้ลับยังยิ่งใหญ่และร้ายกาจกว่าโลกมารสวรรค์เสียอีก
ลู่เซิ่งไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าโลกมารสวรรค์ที่ตนเองถือกำเนิดจะเป็นศูนย์กลางของทุกจักรวาล
‘ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือการรับครอบครัวออกมา จากนั้นก็ตามหาวิญญาณแห่งวัฏจักรเพื่อดูดซับ…’
ระบบดาวของโลกมารสวรรค์มีแนวโน้มที่จะตกสู่ไฟสงคราม แม้แต่นครตราชั่งที่เป็นกลางมาโดยตลอด ก็มีความตั้งใจจะเข้ามาร่วมวงอย่างเลือนรางเช่นกัน
ลู่เซิ่งไม่ทราบว่าสันติภาพจะคงอยู่ได้นานขนาดไหน แต่เขาจะต้องหาที่หลบเร้นซี่งไตร่ตรองอย่างดีก่อนแล้วให้ได้
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้ทางหมีก่วงอิงจะเป็นอย่างไรบ้าง…’ เขาหยิบแร่ดิบของสมาคมธวัชเหล็กออกมาเพื่อลองติดต่อหมีก่วงอิง
…
ดาวปรภพที่สาม
เส้นสายสีดำที่เหมือนกับร่างแหปรากฏทั่วผิวดาวเคราะห์สีเหลืองเข้ม
มีวงแหวนสีเหลืองล้อมรอบดาวเคราะห์ ยังมีลำแสงสีดำหลายสายแวบผ่านด้านข้างไปตลอดเวลา
กลางผิวของดาวเคราะห์ที่หันหลังให้แก่แสงของดาวฤกษ์ ในทุ่งร้างสีดำที่กว้างขวางไร้ขอบเขตกำลังอยู่ในห้วงราตรี
เรือเหาะที่ยาวร้อยหมี่ซึ่งมีรูปร่างเหมือนปลาสีดำลำหนึ่งจอดนิ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของทุ่งร้าง
ฝูงชนเดินขึ้นส่วนหางของเรือเหาะอย่างต่อเนื่อง
หมีก่วงอิงสวมเกราะอ่อนสีเงินซึ่งปกปิดเพียงจุดสำคัญ และใส่หมวกประหลาดที่มีขนนกสีดำชูเด่น
นางกำลังยืนเคียงข้างกับหญิงสาวผิวขาวเจ้าของดวงหน้างดงามที่สวมชุดคลุมสีดำอีกคน
“น้องอันซา ครั้งนี้โชคดีที่มีเจ้า” หมีก่วงอิงรำพึงรำพัน ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะมีน้องสาวที่เรียกตัวเองว่าอันซาคอยช่วยเหลือ คิดจะหารูโหว่ของตาข่ายดำกฎเกณฑ์ให้เจอ ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริง
“ไม่เป็นไร ลู่เซิ่งเป็นสหายข้า ข้ามีสหายน้อยเป็นทุนอยู่แล้ว และทุกคนก็ล้วนควรค่าให้ข้าช่วยเหลือ” วิธีการพูดของอันซาประหลาดอยู่บ้าง แต่ว่าหลังผ่านมาสิบกว่าวันนางก็เริ่มชินเล็กน้อยแล้ว
“ความจริงที่เจอรูโหว่ของตาข่ายดำได้ ยังมีการช่วยเหลือในที่ลับของคนอีกคน แต่นางไม่อยากออกหน้า ดังนั้นจึงให้ข้าเป็นตัวแทน อย่างไรข้าก็คิดจะจากไปด้วยเหมือนกัน” อันซาเสริม
“เช่นนั้นหรือ” หมีก่วงอิงเพียงยิ้ม ไม่ไปซักไซ้ต่อ อย่างไรขอแค่ทำตามคำสัญญาที่นางให้ไว้กับลู่เซิ่งเรียบร้อยก็เพียงพอ ที่เหลือไม่ได้สำคัญอะไร
“เจ้าแน่ใจนะว่าครั้งนี้เจ้าจะออกไปด้วย”
“แน่นอน นี่เป็นทั้งการช่วยลู่เซิ่งและช่วยตัวข้าเอง” อันซาพยักหน้า “ข้าขอพาคนไปเพิ่มอีกสองคน มีปัญหาหรือไม่”
“เรื่องเล็ก ขอแค่ออกจากระบบดาวปรภพได้ ลุงของข้าก็จะลงมือรับช่วงต่อเอง ถึงเวลานั้นก็จะปลอดภัยแล้ว” หมีก่วงอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าวางใจเถอะ ลุงของข้าติดค้างคนผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นครั้งนี้จะต้องลงมือแน่ ต่อให้จะถูกมารดาแห่งความเจ็บปวดพบก็ไม่มีอะไรให้กังวล
“อย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว” อันซาพยักหน้า
หากครั้งนี้สำเร็จจริงๆ วันเวลาที่นางดิ้นรนอย่างยากลำบากในดาวปรภพมานานปีก็จะจบลงในที่สุด
“เวลานี้ ข้าควรจะดีใจหรือไม่ที่มารดาแห่งความเจ็บปวดไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกเรามากเกินไป…” อันซายิ้มขื่นขม
“มารดาแห่งความเจ็บปวดถือเป็นคนในระบบดาวปรภพเช่นกัน เกิดนางออกจากสถานที่ไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ไป ก็เป็นได้แค่มายาพิศวงที่แข็งแกร่งนิดหน่อยคนหนึ่งเท่านั้น” หมีก่วงอิงยิ้มอย่างผ่าเผย “รอเจ้าไปถึงนครตราชั่ง ก็จะเข้าใจความแตกต่างอย่างคร่าวๆ เอง”
“อื้อ” อันซาพยักหน้าโดยแรง
“อีกนานเท่าไหร่กว่าจะถึงรอยสลักเนินศพดารา” หมีก่วงอิงถามเบาๆ
“ประมาณสิบสามชั่วยาม”
“อืม ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม คนทุกคนของสำนักมารกำเนิดและตระกูลลู่พกแค่อาหารไปก็พอ ไม่อนุญาตให้พกของวิเศษข้ามมิติ ไม่อนุญาตให้พกของขลังพลังงานสูง ส่วนของที่ต้องพกไปจริงๆ ให้รวบรวมกันแล้วส่งไปที่ห้องผนึกของเรือเหาะก่อน…”
หมีก่วงอิงคุ้นเคยกับการอพยพระหว่างดวงดาวเป็นอย่างยิ่ง นางแจ้งหัวข้อที่ควรระวังออกมาอย่างต่อเนื่องและจัดการขบวนคนมากกว่าร้อยคนอย่างเป็นระเบียบ
…
ลู่เซิ่งจุดธูปขึ้นหนึ่งดอก ก่อนจะค่อยๆ ทรุดนั่งลง
ในห้องสงบใจมีเขาแค่คนเดียว ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ช่องเล็กๆ ขนาดกำปั้นช่องหนึ่งเป็นทางเข้าออกเท่านั้น
บนผนังรอบๆ สลักลวดลายค่ายกลสำหรับคุ้มกันและกั้นเสียงไว้เป็นจำนวนมาก ห้องนี้ห้องเดียวใช้เงินน้ำแข็งในมือลู่เซิ่งไปมากโข
หลังจากเลื่อนสู่ระดับมายาพิศวง ลู่เซิ่งก็ไม่ค่อยใส่ใจกับเงินน้ำแข็งในมืออีก แค่ต้องเก็บส่วนที่ต้องใช้จุติไว้ก็พอ
เงินที่เหลือถูกเขาเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบสำหรับกางค่ายกล โดยที่เขาใช้เงินพวกนี้ปรับแต่งห้องเก็บของในตอนแรกของคฤหาสน์กลายเป็นห้องลับอันแน่นหนา
ค่ายกลป้องกันและกั้นเสียงเป็นค่ายกลระดับสูงสุดที่เขาใช้วัตุดิบทั้งหมดติดตั้งขึ้นอย่างเต็มที่
ใช้เวลาไปสามชั่วยามกว่าๆ ลู่เซิ่งถึงติดตั้งค่ายกลพวกนี้เสร็จสมบูรณ์ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่สภาพกักตน
สิ่งที่ได้รับจากการจุติในครั้งนี้มีมากมาย เขาได้ไปถึงระดับมายาพิศวงหลังทำความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง นี่เป็นจุดเริ่มต้นจุดใหม่
สำหรับนครตราชั่ง ระบบดาวปรภพ หรือสาวกจันทราแดง ขอบเขตมายาพิศวงตั้งตนเป็นใหญ่และสร้างสำนักตั้งพรรคขึ้นมาเป็นขุมกำลังหนึ่งได้แล้ว
ความแตกต่างอยู่ที่ขนาดอิทธิพลและจำนวนทรัพยากรที่จะยึดครองได้ตามความสูงต่ำของพลัง
‘ตอนนี้ เราสั่งสมพลังอาวรณ์ไว้ได้สิบเจ็ดกว่าล้านหน่วยแล้ว ควรจะถึงเวลาใช้สักที’
พลังอาวรณ์จะต้องแปลงเป็นพลังถึงจะมีความหมาย ลู่เซิ่งคิดจะใช้พลังอาวรณ์ทั้งหมดจนเกลี้ยงในการกักตนครั้งนี้
‘ดีปบลู’
เขาเรียกอินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
หลังจากมาถึงระดับนี้ วิชาไร้ขอบเขตที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนได้พัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยเหมาะจะใช้เท่าไหร่แล้ว
‘พื้นฐานที่วิชาไร้ขอบเขตให้กำเนิดคือความเป็นไปได้หนึ่งที่เกิดจากการคิดเองเออเองในตอนที่ความรู้และประสบการณ์ยังตื้นเขินมาก แต่หากยึดจากความรู้ในตอนนี้ วิชาไร้ขอบเขตมีจินตนาการสมบูรณ์แบบเกินไป หลายๆ จุดไม่มีข้อแตกต่างและไม่มีจุดเด่นใดเมื่อเทียบกับระบบการฝึกฝนทั่วไปในความเป็นจริง’
ลู่เซิ่งคาดคำนวณในใจ
‘จนถึงตอนนี้แก่นหยางมีผลรักษาหล่อเลี้ยงที่นับว่าไม่เลวเหมือนกัน แต่ไม่ได้สะดวกและไม่ได้มีประโยชน์เท่าด้ายกระตุ้นวิญญาณ ถึงกระนั้นพลังอาวรณ์ที่เราใส่เข้าไปในวิชาไร้ขอบเขตกลับเยอะกว่าด้ายกระตุ้นวิญญาณไปมากโข’
เขาหลับตาใคร่ครวญ
พบพานโลก พบพานจักรวาล และพบพานวิชามามากมาย
‘ตอนนี้เราก้าวสู่มายาพิศวง ทั้งยังได้วิชาระดับมายาพิศวงมาจากสมาคมธวัชเหล็ก ถ้าหากใช้เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูเป็นพื้นฐาน หลังจากพัฒนาแล้ว เมื่อมีพลังอาวรณ์มากมายแบบนี้เป็นตัวเสริม บางทีอาจจะ…’
ลู่เซิ่งหยุดคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้าน้อยๆ
‘ไม่ได้ การเรียนรู้วิชาสิ้นเปลืองมากเกินไป หนึ่งระดับสองระดับยังพอว่า แต่ถ้าพึ่งพาแต่การเรียนรู้อย่างเดียว ก็จะสิ้นเปลืองเกินไป ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ถ้าหากมีวิชามายาพิศวงสำเร็จรูปสำหรับใช้ฝึกฝน แล้วเรายกระดับโดยตรง พลังอาวรณ์ที่เสียไปจะน้อยกว่าการเรียนรู้มาก…ไม่ว่าอย่างไร ควรจะรวมศาสตร์ความรู้และพลังทั้งหมดของเราในปัจจุบันเข้าด้วยกันก่อน จากนั้นก็ค่อยกำจัดสิ่งเจือปนออกและเก็บส่วนที่ดีไว้ หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติและการกลั่นกรองเรียบร้อยแล้วค่อยมาว่ากันใหม่’ เขาข้ามมิติจุติไปยังโลกหลายใบ โลกแต่ละใบได้เหลือส่วนที่เป็นแก่นแท้ไว้ในร่างกาย
การทำแบบนี้จะมีส่วนช่วยต่อตนเองในช่วงแรกๆ จริงๆ เทียบได้กับมีไพ่ตายเพิ่มมาหลายใบ แต่พอทำบ่อยๆ เข้า สิ่งที่หลงเหลืออยู่จะมีมากเกินไปจนกลายเป็นสิ่งเจือปน ซึ่งขัดขวางความก้าวหน้าของเขาทีหลัง
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้วิชาระดับมายาพิศวงอย่างเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูเป็นแกนหลักสำหรับฝึกฝนและเรียนรู้
เป็นเพราะทำความเข้าใจจนเลื่อนสู่ระดับมายาพิศวงได้ เคล็ดโปรยน้ำค้างจึงยกระดับถึงระดับเก้าอันเป็นระดับสูงสุดได้อย่างง่ายดายยิ่ง นอกจากนี้ลู่เซิ่งยังได้เปลี่ยนพลังยุทธ์ทั้งหมดของวิชาไร้ขอบเขตเป็น ปราณปฐพี อันเป็นปราณจริงแท้ชนิดพิเศษระดับมายาพิศวงของเคล็ดโปรยน้ำค้างอย่างผ่อนคลาย
[เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดู: ระดับที่เก้า (คุณสมบัติพิเศษ: หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ประกายวิญญาณอุดมสมบูรณ์ อารยธรรมก้าวกระโดด )]
ลู่เซิ่งเข้าใจผลและวิธีการใช้คุณสมบัติพิเศษสามชนิดในพริบตา ต่างเป็นสิ่งที่ใช้กับสภาพแวดล้อมรอบๆ และวัตถุภายนอก
แทบไม่มีการยกระดับตัวเองเลย
‘ใช้มันเป็นพื้นฐานแล้วลองเรียนรู้สักครั้ง หวังว่าจะหลอมรวมกับแก่นจุติทั้งหมดที่เรามีอยู่ได้’
เขากดปุ่มปรับเปลี่ยนบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนด้วยจิตใจเคร่งขรึม
นอกจากนี้ เขาอยากจะเห็นด้วยว่าพลังอาวรณ์จะยกระดับขอบเขตวิชาแทนวิญญาณแห่งวัฏจักรได้หรือไม่