ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 695 ตระเตรียม (1)
บทที่ 695 ตระเตรียม (1)
ภายในห้องลับ
กลุ่มแสงหลากสีหลายกลุ่มลอยออกมาจากภายในร่างของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มแสงพวกนี้เหมือนกับฟองสบู่ พวกมันคือการเดินทางมากมายที่ลู่เซิ่งเคยพานพบในโลกต่างๆ ภาพวาดแต่ละภาพและฉากแต่ละฉากกะพริบบนผิวตลอดเวลา แก่นแท้ที่ได้จากพวกมันในตอนสุดท้ายก็คือกลุ่มแสงที่มีขนาดและลักษณะต่างกันตรงหน้านี้
‘สิ่งที่จานประกายโรจน์ของเรายึดเป็นพื้นฐานคือพลัง แสดงว่าแกนหลักส่วนหนึ่งน่าจะสร้างขึ้นจากพลัง แก่นสารที่เหลือเป็นความสิ้นเปลือง เพียงเหลือส่วนที่เป็นพลังไว้ก็พอ’
ลู่เซิ่งไตร่ตรอง
กลุ่มแสงทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าพากันหดเล็กลงและเปลี่ยนสี แสงสีที่แตกต่างกันหลายชนิดริบหรี่ลง สุดท้ายก็เหลือแค่สีเทาเข้มที่เหมือนกันเท่านั้น
ลู่เซิ่งอ้าปากดูดกลืนกลุ่มแสงสีเทาเข้มทั้งหมด พวกมันพากันหายเข้าไปในปากของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของกายเนื้อกำลังทวีความแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วสูง ไม่นานนัก กลุ่มแสงกลุ่มสุดท้ายก็หายวับเข้าไปในปากของเขา
ลู่เซิ่งยืดเหยียดร่างกาย เหมือนกับว่าผิวทั่วร่างขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แสงสีขมุกขมัวสายหนึ่งโผล่ขึ้นบนผิวของเขาอย่างเลือนราง
‘พละกำลังเพิ่มขึ้นสามเท่ากว่าๆ ความต้านทานยกระดับกระบวนการต่อต้านความหนาวและพิษ ความเร็วยกระดับขึ้นห้าเท่ากว่าๆ…นี่ก็คือสิ่งที่เราได้มาทั้งหมดในการจุติช่วงนี้หรือ’
เขาพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง แม้จะรู้สึกว่าแก่นแท้บางส่วนสูญเสียไปโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ การขจัดสิ่งเจือปนและการเก็บส่วนที่ดีก็เป็นตัวเลือกที่จำเป็นต้องทำ
วินาทีนี้ เขามองเครื่องมือปรับเปลี่ยนอีกครั้ง กรอบของวิชาที่กระจัดกระจายบนนั้นหายไปเป็นส่วนใหญ่ นี่หมายความว่าพลังงานที่ไม่เป็นระเบียบส่วนใหญ่ในตัวเขาสูญหายและแยกตัวไปแล้ว
เหลือเพียงกรอบเรียบง่ายเพียงกรอบเดียวคือ เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดู
ในตัวเขามีพลังงานแค่ชนิดเดียวที่กำลังไหลเวียน แม้แต่ปราณมารก็ถูกลบทิ้งไปโดยสิ้นเชิง
วิถีแปดมารสูงสุดเป็นแกนหลักที่เขาพึ่งพามาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้แม้จะหลอมรวมเข้ากับวิชาไร้ขอบเขตไปแล้ว ทว่าแก่นสารยังอยู่ ย่อมให้กำเนิดความสอดคล้องกับไฟหยินโดยธรรมชาติ แต่ตอนนี้อยู่ในสภาพที่ตามไม่ทัน เลยได้แต่หลอมรวมเข้ากับวิชาไร้ขอบเขต
ดีที่วิถีแปดมารสูงสุดแม้จะหลอมละลายไปแล้ว แต่ยังคงส่งผลเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่มีปราณมารคอยประคับประคอง จึงอ่อนแอลงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่พอบวกกับการเพิ่มความแข็งแกร่งหลังจากแก่นสารอื่นๆ แยกตัว กายเนื้อของลู่เซิ่งกลับแข็งแกร่งขึ้นแทนที่จะอ่อนแอลง
ไฟหยินเป็นโครงสร้างพิเศษที่ได้ทำความเข้าใจแก่นสารมานานแล้ว ถึงขั้นก่อเกิดโครงสร้างพิเศษที่ใช้ควบคุมไฟหยินในร่างกายขึ้นเอง แม้แต่จิตวิญญาณก็ลอกคราบจนอยู่ในสภาพพิเศษที่ใกล้เคียงกับไฟหยิน ย่อมไม่สลายตัวและหายไปตามร่างมาร
‘ตอนนี้ควรจะใช้พลังอาวรณ์กับเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูได้แล้ว ดูว่าจะยกระดับได้อีกหรือไม่’
ลู่เซิ่งเพ่งสมาธิสงบลมหายใจ
อัญมณีทรงขนมเปียกปูนสีขาวบริสุทธิ์ก้อนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา หนวดสีดำนับไม่ถ้วนยืดขยายออกมารอบๆ อัญมณี ปักเข้าไปในอากาศรอบๆ เหมือนกำลังดูดซับอะไรอยู่
[เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดู: ระดับที่เก้า (คุณสมบัติพิเศษ: หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ประกายวิญญาณอุดมสมบูรณ์ อารยธรรมก้าวกระโดด)]
หลังจากกำจัดสิ่งเจือปนทิ้งไปเป็นจำนวนมาก พอลู่เซิ่งมองเครื่องมือปรับเปลี่ยนอีกที ก็เห็นปุ่มเรียนรู้ด้านหลังกรอบได้อย่างชัดเจน
นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นลู่เซิ่งก็เลื่อนจิตไปกดปุ่มเรียนรู้หลังกรอบเบาๆ
‘เรียนรู้เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูหนึ่งระดับ’
ซู่…
กรอบพร่ามัวลงทันที พลังอาวรณ์ทะลักออกมาดุจสายน้ำ ลู่เซิ่งจำไม่ได้แล้วว่าเสียพลังอาวรณ์ไปเท่าไหร่ในการยกระดับครั้งก่อน แต่ต้องมีมากกว่าล้านหน่วยเป็นอย่างน้อย
ทว่าครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ต่ำกว่าตัวเลขนี้
เขาจ้องมองพลังอาวรณ์ที่ไหลเคลื่อนอย่างรวดเร็วด้วยความสงบนิ่ง
พลังอาวรณ์จำนวนมากกลายเป็นปราณปฐพีด้านหน้าทรวงอกของเขา เสริมความแข็งแกร่งให้แก่เคล็ดโปรยน้ำค้างยังมีพลังอาวรณ์จำนวนมหาศาลซึมเข้าสู่อากาศเพื่อหล่อเลี้ยงโลกรูปจิตอย่างไร้สุ้มเสียง
หนึ่งล้านหน่วย สองล้านหน่วย สามล้านหน่วย…
ลู่เซิ่งซึ่งมองดูความเร็วในการสูญเสียพลังอาวรณ์หนังตากระตุก แต่ก็จำต้องอดกลั้นต่อไป
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ
ในที่สุดกรอบก็ชัดขึ้นช้าๆ การสูญเสียพลังอาวรณ์ค่อยๆ หยุดลง ใช้พลังอาวรณ์ไปทั้งหมดเก้าล้านหน่วย ยังเหลืออีกแปดล้านกว่าหน่วย
กรอบใหม่เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์
[วิชาปริศนา (เดิมคือเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดู): ระดับที่สิบ (คุณสมบัติพิเศษ: กายพันเทวะอมตะ หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ประกายวิญญาณอุดมสมบูรณ์ อารยธรรมก้าวกระโดด)]
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณปฐพีในร่างตัวเองเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว มีความสามารถกายพันเทวะอมตะเพิ่มมาในคุณสมบัติ
พันเทวะคือรูปจิตที่เขาสร้างขึ้นหลังจากบรรลุขอบเขตตอนจุติไปยังพิภพลี้ลับ นี่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารที่เกิดขึ้นจากการที่จิตวิญญาณดึงโครงสร้างของโลกท้องถิ่นมาประกอบกัน และเป็นการเปลี่ยนที่เป็นรูปธรรมของจิตวิญญาณของเขาอย่างแท้จริง
‘กายพันเทวะอมตะ…น่าจะเกิดขึ้นจากการประสานคุณสมบัติพิเศษในส่วนอมตะจากคัมภีร์ปีกขาวของตัวเราเข้าไป’ ลู่เซิ่งเดา
พลังอาวรณ์ไม่พอจะเรียนรู้ต่อแล้ว การเรียนรู้วิชาสิ้นเปลืองกว่าการยกระดับโดยตรงมากโข
โดยเฉพาะยิ่งไปถึงช่วงหลังๆ ความสิ้นเปลืองก็ยิ่งอลังการ ครั้งนี้เสียพลังอาวรณ์เกือบเก้าล้าน
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น ถึงการเรียนรู้จะจบลงแล้ว แต่เขายังคงรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะ ได้แต่หวังว่าจะได้กำไรเยอะหน่อยจากการไปพิภพลี้ลับในครั้งหน้า
‘แม้ไม่มีตัวเปรียบเทียบ แต่ขอบเขตมายาพิศวงของเราในตอนนี้น่าจะมั่นคงขึ้นไม่น้อยแล้ว…ตอนแรกมีแต่การดูดซับพลังแห่งวัฏจักรเท่านั้นถึงจะสร้างความเสถียรได้ นึกไม่ถึงว่าพลังอาวรณ์จะแทนที่วิญญาณแห่งวัฏจักรได้เหมือนกัน…พลังงานชนิดนี้คืออะไรกันแน่นะ’
ลู่เซิ่งโบกมือกวาดออก ร่องรอยพลังงานจำนวนมากที่เหลืออยู่ในห้องลับเมื่อก่อนหน้านี้ถูกไอหมอกสีเหลืองเข้มกลุ่มหนึ่งลบทิ้งไปโดยสิ้นเชิง
ไอหมอกสีเหลืองเข้มกลุ่มนี้คือปราณปฐพีที่เขาครอบครองอยู่ในตอนนี้
‘เคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูคงเรียกชื่อนี้ไม่ได้อีกแล้ว แค่กายพันเทวะอมตะอย่างเดียวก็ทำให้หน้าตามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ต่อจากนี้ เรียกว่าวิชาพันเทวะก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งตั้งชื่อตามใจ
เขาลุกขึ้นยืน แล้วหดร่างกลายเป็นแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่ง แล้วบินออกจากช่องเล็กตรงประตูทางออกห้องลับ จากนั้นก็ปรากฏร่างขึ้นในเรือนอีกรอบ
‘ตอนนี้ยังใช้แก่นแท้ของตี้วาไม่ได้ ของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อเราไม่มาก เพียงแค่เปลี่ยนเป็นพลังยุทธ์ดั้งเดิมเพื่อเพิ่มพลังฝึกปรือได้เท่านั้น แม้จะร้ายกาจมาก แต่หลังจากเราเรียนรู้วิชา ตัวพลังยุทธ์ก็จะยกระดับถึงขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตนั้นๆ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มพลังยุทธ์หรือพลังฝึกปรือเพิ่มเติม’
ลู่เซิ่งนั่งบนม้านั่งหินในลานเรือน พร้อมกับยกน้ำผลไม้ที่เตรียมไว้แล้วขึ้นมาจิบ
‘แต่น่าจะเอามาใช้แลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของได้ เทียบกับการใช้แก่นสารตี้วายกระดับพลังยุทธ์แล้ว พลังอาวรณ์มีความคุ้มค่าในการยกระดับสูงกว่ามาก นอกจากนี้ หลังจากมาถึงขั้นตอนนี้ เราก็ควรจะพิจารณาแผนการในอนาคตได้แล้ว…’
เขาถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง ตอนแรกสุดที่เขาจุติมายังโลกมารสวรรค์ จำเป็นต้องดิ้นรนสู้ตายและต่อสู้ฆ่าฟันมาทีละก้าว เพราะสภาพแวดล้อมบีบคั้น
ตลอดทางที่ผ่านมา ลองผิดลองถูก ลำบากยากเข็ญ ได้เจอการหักมุมและอุปสรรคนับไม่ถ้วน แต่เขาก็พิชิตได้ทั้งหมด
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ได้เข้าสู่นครตราชั่ง ลู่เซิ่งพลันได้อยู่อย่างสงบสุข แต่กลับไม่ชินเล็กน้อย
ทัวหลันปาเฮ่อเติมน้ำผลไม้ให้เขาจากด้านข้าง จากนั้นก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ลู่เซิ่งดื่มน้ำผลไม้ก่อนจะมองไปที่ทัวหลัน
“ทัวหลัน เจ้าว่าเราใช้ชีวิตไปถึงปลายทางเพื่ออะไร” พอลู่เซิ่งถามคำถามเสร็จ ก็พลันนึกถึงสวีจื่อจวิ่นขึ้นมา
สตรีที่ใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นเสมอมา สิ่งที่นางได้ทำไปไม่มีอะไรให้ละอาย
เดิมทีนางใช้ชีวิตอย่างไร้สิ่งใดให้ตำหนิไร้สิ่งใดให้เสียใจ แต่กลับหลงทางในตอนท้ายสุด
ทัวหลันปาเฮ่องุนงง เหมือนจะถูกคนถามคำถามแบบนี้เป็นครั้งแรก
“เพื่อ…ใช้ชีวิตให้ดีกว่าเดิมกระมังเจ้าคะ…” นางไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วตอบ
“ใช้ชีวิตได้ดีกว่าเดิมหรือ”
“เจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อเอ่ยอย่างราบเรียบ “โลกใบนี้เหมือนเรือแล่นทวนกระแสน้ำ ถ้าไม่ไปด้านหน้า ก็ย่อมต้องจมลง คนหลายคนไม่มีเวลามาคิดหรอกเจ้าค่ะว่าใช้ชีวิตไปแล้วมีความหมายอะไร แค่มีชีวิตอยู่ได้ก็เป็นบุญสำหรับพวกเขาแล้ว”
นางพูดเยอะอย่างหาได้ยาก คล้ายกับมีอารมณ์ร่วมด้วย
ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ใช่…ถ้าไม่มุ่งไปด้านหน้า ก็ต้องถูกผู้มาทีหลังแซง ธรรมชาติคัดสรร ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่ง…ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้…”
เขารู้ว่าเป็นเพราะความวุ่นวายจากสงคราม จึงไม่มีใครสังเกตเห็นความเร็วในการยกระดับที่ผิดปกติของเขา
บางคนคิดว่าเขาไปฝึกฝนยังโลกต่างๆ โดยใช้เวลาของโลกที่แตกต่างกัน บางคนคิดว่าเขาคือเซียนหรือเทพที่กลับชาติมาเกิดใหม่พร้อมสติปัญญาเดิม
เป็นเพราะไม่มีใครตรวจสอบอย่างละเอียด ตำแหน่งของเขาในตอนนี้จึงปลอดภัย
ทว่าถ้าเกิดมีคนสัมผัสความพิเศษของเขาได้ และรู้ว่าเขาบรรลุขอบเขตมายาพิศวงที่อยู่เหนือจินตนาการของคนธรรมดาโดยใช้เวลาไม่ถึงสองร้อยปี
หากเล่าลือกันออกไป แรงสั่นสะเทือนที่จะเกิดขึ้นไม่มีทางเป็นสิ่งที่เขาต้านทานได้เด็ดขาด
แต่ลู่เซิ่งก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน แม้เขาจะพึ่งพาดีปบลูในหลายๆ ครั้งก็จริง กระนั้นเขาก็รู้สึกว่าการฝึกฝนและความมานะบากบั่นของตัวเองต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญซึ่งทำให้เขาแข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้
จากสัดส่วนโดยส่วนใหญ่ กล่าวได้ว่าถ้าไม่มีความมุมานะและความกล้าเผชิญอุปสรรคของเขา ดีปบลูไม่มีทางแสดงผลได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ลองคิดดูสิ ถ้าหากดีปบลูเปลี่ยนเจ้าของ เกรงว่าตอนนี้คงยังเสพสุขและใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้านอยู่ที่ต้าซ่ง
ความจริงดีปบลูเป็นเพียงตัวเหนี่ยวนำ ทุกสิ่งในวันนี้ต่างเป็นสิ่งที่เขาแลกมาจากความพยายาม การสั่งสม การต่อสู้ และการฝึกฝนของตัวเอง
ลู่เซิ่งนึกมาโดยตลอดว่า ดีปบลูไม่ได้มีประโยชน์เท่าที่จินตนาการไว้ เขายังพึ่งพาตัวเองมากกว่าเสียอีก
‘ถ้ารับครอบครัวมาได้ คงสงบใจฝึกฝนดีๆ กับเขาได้สักที’ ลู่เซิ่งทอดถอนใจ
พอเกิดความคิดนี้ หัวใจเขาเหมือนเกิดไฟกลุ่มหนึ่งที่ลุกไหม้อย่างเลือนรางและเผาไหม้จิตใจของเขา
เขาถามตัวเองว่า ตนเองยินดีฝึกฝนไปอีกหลายพันหรือมากกว่าหมื่นปีในสถานที่เดิมอย่างสบายใจหรือไม่
คำตอบนี้…
…
ณ ดาวปรภพที่สาม
เรือเหาะรูปปลาสีดำสนิทค่อยๆ ทะลุชั้นบรรยากาศ แล้วทะลุออกจากตาข่ายจุดหนึ่งของตาข่ายดำกฎเกณฑ์อย่างรวดเร็ว
เรือเหาะที่อาศัยเงามืดของดาวฤกษ์ บวกกับความสามารถซ่อนตัวบนผิวของตัวเอง ค่อยๆ เร่งความเร็วออกจากอวกาศของระบบดาวปรภพ
ในห้องควบคุมหลักของเรือเหาะ หมีก่วงอิง อันซา และชายชราผมขาวที่แต่งตัวเหมือนสุภาพบุรุษยืนมองผ่านกระจกผลึกที่แข็งแกร่งไปยังดาวปรภพที่กำลังออกห่าง
“ทะลุแนวป้องกันชั้นแรกมาแล้ว ราบรื่นดี ต่อจากนี้ขอแค่ฝ่าตาข่ายดำมัจฉาซึ่งเป็นแนวป้องกันชั้นที่สองได้ ก็จะไปถึงจุดรับตัวได้อย่างปลอดภัย” หมีก่วงอิงเอ่ยเสียงแผ่ว
“ขอมอบอำนาจทั้งหมดให้ท่านจัดการ ใต้เท้าหมีก่วงอิง” สุภาพบุรุษชรายิ้มพลางเอ่ยเสียงต่ำ เดิมเขาไม่ได้มีสารรูปแก่ชราแบบนี้ แต่หลังจากการปฏิบัติการที่ได้ร่วมวางแผนกับอันซาล้มเหลว ตัวเขาก็แก่ตัวลงด้วยความเร็วสูง
“ไม่ต้องห่วง เมื่อครู่ท่านลุงได้ส่งสัญญาณบอกข้าแล้วว่า ขอแค่เราฝ่าแนวป้องกันชั้นที่สองไปได้ ก็จะไปถึงจุดนัดหมายได้ในเวลาไม่นาน” หมีก่วงอิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม