ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 700 รูปจิต (2)
บทที่ 700 รูปจิต (2)
“ไม่นะ…อย่ากินข้าเลย! อย่านะ!” เสี่ยวหร่วนหมุนตัวหนีไป
พรวด!
แสงสีดำสายหนึ่งแวบขึ้น
ลู่เซิ่งเช็ดปาก
“ถ้าเจ้าไม่พูดข้าคงลืมไปแล้วว่าเจ้าก็กินได้เหมือนกัน หลังจากกินเจ้า โลกรูปจิตของข้ายังได้สารอาหารเพิ่มขึ้นนิดหน่อยด้วย”
โลกรูปจิตชนิดนี้เป็นวิญญาณของอีกฝ่าย การกินเท่ากับการทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอ เขาย่อมไม่เกรงอกเกรงใจ
‘ตรรกะของเรากับการรับรู้กฎสากลของโลกใบนี้แตกต่างกันมาก เลยหายสับสนได้ตั้งแต่แรก ต่อจากนี้ควรจะเจาะออกจากที่นี่ยังไงดีนะ’ ลู่เซิ่งแหงนมองท้องฟ้า แล้วสาวเท้าเดินไปยังส่วนลึกของเกาะ
…
สตรีสี่ปีกยืนนิ่งอยู่กลางถนน ปีกด้านหลังของนางเหมือนกับอวัยวะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ขยับขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ารู้ไหมว่าคำว่า ชั่ว เขียนอย่างไร” เสียงบุรุษที่อ่อนโยนดังมาจากด้านหลังของนาง
“คำว่าชั่วอะไร” นางหันกลับไปเห็นบุรุษผิวดำที่มีร่างสูงใหญ่กำยำ ยืนอยู่ด้านหลังของนางพลางถามเบาๆ
“เจ้าลืมแล้วหรือ พวกเราตกลงกันว่า หากข้าเขียนคำนี้เป็น แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าเมื่อไหร่ จะเป็นเวลาที่พวกเราแต่งงานกัน” บุรุษมองนางด้วยความรักอย่างล้ำลึก
สตรีสี่ปีกไม่รู้จะตอบอย่างไร คำคำเดียวยากปานนั้นเชียวหรือ
บุรุษนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ข้าจะเขียนให้เจ้าดู”
เขาผลักสตรีสี่ปีกเบาๆ เพื่อให้นางถอยหลังไปหลายก้าวและให้เหลือที่ว่าง
“จงดูเถอะ นี่เป็นความรักที่ข้ามีต่อเจ้า! อ๊ากกกก!”
เกิดเสียงกล้ามเนื้อฉีกขาดที่น่ากลัวดังขึ้น เสื้อบนร่างบุรุษระเบิดออกในทันที กล้ามเนื้อบนร่างขยายใหญ่ขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
อ๊าก ตุบๆๆๆ!
เขากระโจนไปด้านหน้า พร้อมกับต่อยเงากำปั้นขนาดเท่าอ่างล้างหน้าใส่ที่ว่างด้านหน้าสุดแรงเกิด
“ฝ่ามือสี่ลักษณ์ กำปั้นปัญจธาตุสะกดมาร!”
เงากำปั้นหลายร้อยสายระเบิดออกมาในพริบตา จากนั้นก็กลายเป็นประโยคว่า ข้าชั่วจริง อยู่ด้านหน้าสตรีสี่ปีกอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก! แต่งงานกับข้าเถอะ!”
ตูม!
เงากำปั้นสายหนึ่งกระแทกใส่พื้นด้านข้างสตรีสี่ปีก ระเบิดหลุมขนาดเท่าอ่างน้ำขึ้นมา
เปรี้ยง! บุรุษบีบคอสตรีสี่ปีก กล้ามเนื้อทั่วร่างระเบิดพลังสุดแรงเกิด
“เห็นหรือยัง! นี่คือความรักที่ข้ามีให้เจ้า!”
กร๊อบ…เสียงกระดูกหักดังขึ้น…
สตรีสี่ปีกดิ้นรนอย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่เป็นผล พละกำลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าความคาดหมายของนาง
“แต่งงานกับข้าเถอะ! แต่งงานกับข้าสิ!”
บุรุษเงยหน้าคำรามขณะบีบคอของสตรีไว้อย่างแน่นหนา พละกำลังที่บ้าคลั่งแทบทำให้กระดูกคอของนางหักสะบั้น
“เจ้า…เจ้า…ปล่อยก่อน…!” สตรีสี่ปีกพยายามส่งเสียงขณะกระหืดกระหอบ
“อ้าว…” เหมือนบุรุษจะรู้สึกว่าตัวเองตื่นเต้นเกินไปจึงรีบคลายมือ
แค่กๆๆ…
สตรีสี่ปีกไม่ได้มีพละกำลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว ปกติอาศัยจิตแห่งวัฏจักรของตัวเองต่อสู้ ตอนนี้เมื่อไม่มีรูปจิตแห่งวัฏจักรแล้ว จึงสู้แรงบุรุษตรงหน้าไม่ได้
เวลานี้ถึงแม้จะรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย แต่เพื่อทำให้อีกฝ่ายปลดปล่อย นางจึงจำเป็นต้องประนีประนอมก่อน
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าวิธีการขอแต่งงานของเจ้ามีปัญหา” นางกระอักกระไออย่างจนปัญญา ก่อนจะถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ปัญหาหรือ ปัญหาอะไรล่ะ” บุรุษเกาศีรษะแกรกๆ แล้วชี้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่กำลังสู้กันจนเลือดอาบซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
“ดูสิ! ทุกคนก็ทำอย่างเดียวกันไม่ใช่เหรอ”
สตรีสี่ปีกมองไป ทางนั้นมีสตรีคนหนึ่งกำลังยกบุรุษคนหนึ่งตัวลอยขึ้นแล้วระดมหมัดใส่ท้องของเขา
“พรุ่งนี้อยากกินอะไรหา!?”
“พรุ่งนี้อยากกินผักกาดขาว!”
“กินผักกาดขาวทำไม! กินขึ้นช่าย! กินขึ้นช่ายสิ!” สตรีถีบใส่ยอดอกของบุรุษสุดแรงจนเขากระอักเลือดออกมา
“มีแต่การเลือดตกยางออกเท่านั้นถึงจะแสดงความรักของข้าได้!” บุรุษบาดเจ็บหนักจนล้มลงกับพื้น แล้วกระอักเลือดออกมา จนกระทั่งรถพยาบาลมาถึง บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มสุขใจ
ส่วนฝ่ายสตรีถูกทุบตีจนแขนหัก ขาข้างหนึ่งเป็นอัมพาต จึงถูกหามขึ้นรถพยาบาลไปพร้อมกับแฟนหนุ่มด้วย
ก่อนขึ้นรถ หมอและพยาบาลหยิบเทียนฉลองการแต่งงานออกมาจากใต้เปลหามแล้วจุดไฟด้วยใบหน้ายินดี
“ขอให้พวกคุณอยู่ด้วยกันร้อยปี ผูกพันกันตลอดกาล!”
“ขอบคุณ…ขอบคุณ!” สองคู่รักซาบซึ้งจนขอบตาร้อนผ่าว
สตรีสี่ปีกรู้สึกว่าทัศนคติด้านรักแท้ของตนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง…
“นี่ยังนับว่าเบาะๆ นะ ทางนั้นรุนแรงกว่าอีก” ชายหนุ่มชี้ไปอีกด้านด้วยใบหน้าริษยา
“รักเธอนะจ๊ะ! กำปั้นเขี้ยวหมาป่าวายุฟ้า!”
สตรีร่างบึกบึนคนหนึ่งใช้พละกำลังทั้งหมดต่อยทะลุกำแพงหนาหนึ่งเมตรกว่าๆ แล้วพุ่งใส่บุรุษร่างกำยำที่อยู่อีกด้าน
“ฉันก็รักเธอเหมือนกัน! ต้องฆ่า! ดาบราชันเก้าชีวิต!”
“โอ้วววว!”
“อ๊ากกก!”
พลังวิญญาณขนาดใหญ่หนึ่งดำหนึ่งน้ำเงินปะทะกันอย่างรุนแรง เลือดและชิ้นส่วนกระดูกกระจายเวียนว่อน
รอบๆ มีฝูงชนมุงดูอยู่ ต่างคนต่างก็ระเบิดเสื้อผ้าบนร่างอย่างอดไม่ไหว กล้ามเนื้อทั่วร่างปริแยกอย่างรวดเร็ว ต่างซาบซึ้งใจจนขอบตาร้อนผ่าวๆ
“นี่คือความรักนี่เอง!”
“หากรักใครสักคนต้องทุบตีจนพิการครึ่งซีก!”
“บุก! บุก! เอาเลย!”
ฝูงชนหลายกลุ่มเงื้อขวานและดาบขึ้นสูงพร้อมส่งเสียงโห่ร้อง
สตรีสี่ปีกละสายตากลับมาแล้วซึมเซา รู้สึกว่าโลกทัศน์ของตนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงแล้ว
“แต่งงานกับข้าเถอะนะ!?” บุรุษที่อยู่ด้านหน้านางมองนางอย่างรักใคร่ พลางหยิบปังตอที่ลับจนคมกริบออกมาจากเอวด้านหลัง
“กรี๊ดดด!” สตรีสี่ปีกหมุนตัวหนี นางไม่รู้ว่าตัวเองหนีทำไม แต่นางรู้ว่าถ้าไม่หนีตอนนี้ เกรงว่าต่อจากนี้จะไม่มีโอกาสให้หนีแล้ว
…
ลู่เซิ่งเดินทอดน่องบนเกาะ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าสู่โลกรูปจิตของผู้เข้มแข็งมายาพิศวง
เทียบกับเจ้าแห่งอาวุธ กฎส่วนใหญ่ในโลกรูปจิตของผู้เข้มแข็งระดับมายาพิศวงสมบูรณ์แบบแล้ว จึงกลายเป็นโลกกลมที่ค่อนข้างสมบูรณ์
คิดจะหาช่องโหว่และจุดอ่อนแอเพื่อทะลวงโลกออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ถึงอย่างไรการจะทะลวงโลกใบนี้ก็ต้องใช้พลังที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดถึงจะฝ่าพลังของมิติได้
และพลังที่ฝ่ามิติในโลกใบนี้ได้ก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎที่อีกฝ่ายถนัดที่สุด
‘ในสถานการณ์ปกติคือสามวัน ถ้าสามวันแล้วยังออกจากโลกรูปจิตไม่ได้ อย่างนั้นก็จะต้องถูกหลอมละลายหายไปจากที่นี่ แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้’ ลู่เซิ่งเข้าใจเป็นอย่างดี
‘จากเนื้อหาส่วนมายาพิศวงในวิชาพันเทวะ การทะลวงโลกรูปจิตมีสองวิธี หนึ่ง คือทะลวงขึ้นไปตามกฎอย่างต่อเนื่อง เจาะขีดจำกัดของกฎในนี้ กระตุ้นให้โลกสั่นสะเทือนและทำให้กฎปั่นป่วนจนเกิดช่องว่างขึ้น แล้วฉวยโอกาสออกไป สอง คือตามหาและเอาชนะร่างหลักจิตวิญญาณของผู้เข้มแข็งมายาพิศวงที่อยู่ที่นี่ ร่างหลักของมารสวรรค์มายาพิศวงซ่อนเร้นอยู่ในโลกรูปจิตของตัวเองมาโดยตลอด เหมือนกับซากศพของตัวเราที่เราควบคุม ขอแค่เจอร่างหลักนี้…แต่จะหาร่างหลักเจอได้ยังไงนะ’
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองภูเขาไฟมีชีวิตที่อยู่ในส่วนลึกของเกาะ บนยอดภูเขาไฟยังมีควันลอยออกมาช้าๆ
‘ขอแค่ทำให้กฎของโลกรูปจิตปั่นป่วน ก็จะล่อร่างหลักออกมาได้’
ลู่เซิ่งเดินไปท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าที่รกชัฏ
‘จะทำลายกฎของโลกใบนี้ยังไงดี…’ เขาค่อยๆ ยื่นฝ่ามือออกสู่ด้านบน
ปราณปฐพีสีเหลืองอ่อนแผ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วกระจายไปรอบๆ ด้วยความเร็วสูง
ลู่เซิ่งหยุดยืนอยู่ด้านหน้าต้นไม้โบราณขนาดมหึมาที่มียอดไม้กว้างมากกว่าร้อยหมี่ต้นหนึ่ง
เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้นกดทาบบนลำต้นหยาบใหญ่ของต้นไม้โบราณ
“หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง…อารยธรรมก้าวกระโดด!”
ตูม!
แสงสีเหลืองลำใหญ่ทะลักออกจากร่างลู่เซิ่งเข้าสู่ด้านในต้นไม้โบราณ
โฮก!
ต้นไม้โบราณสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมกับส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ
นัยน์ตาขนาดใหญ่สองข้างที่มีขนาดเท่าอ่างเลือดค่อยๆ กางออกจากลำต้น
“ข้า…ตื่นแล้ว!” ต้นไม้โบราณคำรามใส่ท้องฟ้า
“จงไปทำลายทุกสิ่งที่เห็นรอบๆ นี่เสีย ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มี จงดูดซับทุกอย่างจนเป็นผุยผง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงดัง
“ขอรับ!” ต้นไม้โบราณขานตอบ กิ่งมากมายบนลำต้นแผ่ขยายและเติบโตอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับขยับไปรอบๆ
ขณะเดียวกันรากไม้ใต้ดินจำนวนมากก็มุดไปรอบๆ ต้นไม้หลายต้นที่อยู่ใกล้ๆ ถูกรากพันไว้ ไม่นานก็เกิดปรากฏการณ์แห้งเหี่ยวแตกระแหง
สารอาหารนับไม่ถวนถูกดูดเข้าสู่ต้นไม้โบราณ จากนั้นก็กลายเป็นพลังงานที่ทำให้รากไม้ทวีจำนวนและความยาวขึ้นกว่าเดิมเพื่อดูดซับทะเลป่าที่อยู่ไกลออกไปต่อ
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนรากไม้ที่หนาที่สุดเส้นหนึ่งพร้อมกับมองเหตุการณ์ตรงหน้า
นี่คือความร้ายกาจของอารยธรรมก้าวกระโดด
มันทำให้ต้นไม้โบราณธรรมดาที่ไม่มีสติปัญญากลายเป็นปีศาจต้นไม้แปลกประหลาดที่เก่งกาจแบบนี้ได้
รากไม้สีเทาแผ่ขยายไปรอบๆ ทั่วฟ้า ด้วยความเร็วสูงพร้อมกับกิ่งไม้จำนวนมาก
‘ถ้าเราลงมือเอง ก็จะเสียพลังอาวรณ์ไปอย่างเปล่าประโยชน์เพราะไม่เชี่ยวชาญกฎ แต่ถ้าใช้สิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของอีกฝ่ายควบคุม…ปัญหานี้ก็จะหมดไป’
ลู่เซิ่งไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย ก่อนที่จะมาแก้แค้น เขาได้เตรียมต่อสู้กับมายาพิศวงไว้แล้ว
มารดาแห่งความเจ็บปวดมีมายาพิศวงสามคน หากสู้ด้วย เขาแน่ใจว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้
ทว่าถ้าได้แสดงความได้เปรียบของตนอย่างเต็มที่ ลู่เซิ่งก็ไม่เกรงกลัวใครหากเจอกันหนึ่งต่อหนึ่ง
‘ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะหายสับสนหรือยัง ถ้ายังไม่หายสับสน ก็จะใช้พลังงานสัจพลังในตัวไม่ได้ ได้แต่อาศัยกายเนื้อของตัวเองเท่านั้น…บางทีแม้แต่เวลาที่จะถูกโลกรูปจิตกลืนกินก็อาจลดลงเช่นกัน’
ลู่เซิ่งจ้องมองทะเลป่าที่แห้งเหี่ยวผืนใหญ่บนเกาะเล็ก พร้อมกับค่อยๆ แสยะยิ้ม
ความจริงวิชาพันเทวะไม่เหมาะจะใช้ลงมือกับคู่ต่อสู้ระดับมายาพิศวง แต่สาเหตุที่ลู่เซิ่งมีความมั่นใจขนาดนี้ เหตุผลหลักอยู่ที่กายอมตะพันเทวะ ความสามารถพิเศษที่โผล่มาใหม่ในวิชาพันเทวะ
ขอแค่คุณสมบัติพิเศษนี้ยังอยู่ เขาก็ไม่กลัวการต่อสู้ใดๆ
ความสามารถพิเศษที่ดีปบลูเรียนรู้ออกมาได้นี้ ทำให้คุณสมบัติพิเศษอย่างอื่นของเคล็ดโปรยน้ำค้างกลางสวนบูรพาในสารทฤดูหลอมรวมกัน แล้วกลายเป็นอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวและร้ายกาจอันสมบูรณ์แบบ
ขอแค่ไม่มีใครค้นพบและแก้ไขความสามารถนี้ได้ เขาก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้
‘ขอดูหน่อยเถอะว่าครั้งนี้ตัวเราจะไปได้ถึงขนาดไหนถ้าไม่พึ่งดีปบลู!’ ลู่เซิ่งมองดูรากไม้นับไม่ถ้วนขยายใหญ่อยู่เงียบๆ ก่อนจะหมุนตัวเหินร่างไปยังปากปล่องภูเขาไฟ
ตอนนี้หมอกควันจำนวนมากกำลังลอยออกจากภูเขาไฟ
ครั้นเข้าใกล้ ลู่เซิ่งค่อยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งนี้แตกต่างกับภูเขาไฟทั่วไป ควันตรงปากปล่องภูเขาไฟถึงกับไม่ใช่หมอกควันกำมะถัน หากเป็นเงาวิญญาณสีเทาเหลือคณานับที่บิดเบี้ยวและอยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง
วิญญาณในสภาพมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟอย่างต่อเนื่อง พวกมันยิ้มอย่างศรัทธาและเยือกเย็น เพิ่งลอยออกมาไม่ไกลเท่าไหร่ก็สลายหายไปเอง
‘นี่คือกฎที่เกิดจากการประสานจิตวิญญาณเข้ากับควัน…ดีปบลู!’
ลู่เซิ่งหยุดยืนด้วยจิตใจเคร่งขรึมพร้อมกับมองอินเตอร์เฟซดีปบลูที่ดีดออกมาด้านหน้า
‘ดูเหมือนโลกใบนี้จะน่าสนใจอยู่นิดหน่อย…ด้วยพลังอาวรณ์แปดล้านกว่าหน่วยที่เก็บเอาไว้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะเรียนรู้กฎของที่นี่ไม่ออก!’
เขายื่นมือไปหยิบอนุภาคประหลาดที่กระจัดกระจายอยู่กลางอากาศมาเม็ดหนึ่ง อนุภาคที่ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งเกิดจากการรวมตัวของวิญญาณและควันทำให้เขาเกิดความสนอกสนใจ
‘ขอแค่ทำความเข้าใจหลักการวัฏจักรที่เรียบง่ายที่สุดได้…เราก็จะเรียนรู้วิชาซึ่งมีความเหมาะสมและคล้ายคลึงกันได้’