ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 706 เวทมนตร์ (2)
บทที่ 706 เวทมนตร์ (2)
แช่อยู่ในบ่อน้ำยาเวทไม่ถึงห้านาที ทารกมังกรทั้งสี่ก็ถูกหิ้วขึ้นมาและโดนโยนเข้าไปในบ่อน้ำสะอาดอีกแห่งหนึ่งเพื่อชำระน้ำยาเวทที่ตกค้างอยู่บนร่างกาย
ผิวของทารกมังกรตัวหนึ่งในสี่ตัวเกือบเน่า ใต้สีข้าง ส่วนหน้าอก และท้ายทอยมีร่องรอยกัดกร่อนสีม่วง
ส่วนดวงตาของทารกมังกรอีกตัวถูกย้อมเป็นสีม่วง
ข้อดีที่การแพร่เชื้อแบบนี้นำมาก็คือ พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของมังกรน้อยสองตัวนี้จะสูงกว่าก่อนหน้านี้มาก แทบไปถึงจุดสูงสุดที่สามารถไปถึงได้ด้วยอายุเท่านี้
หลังจากอาบน้ำยาเวทเสร็จ ก็จะเป็นการกลิ้งกลางกองเม็ดผลึก เพื่อขัดผิวมังกรที่อ่อนนุ่มให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เม็ดผลึกผ่านการออกแบบมาอย่างตั้งใจ ความแข็งกับแรงเสียดทานได้รับการคิดคำนวณด้วยความแม่นยำสูงจากเหล่ามังกรสีรุ้ง จึงไม่เกิดปัญหาใดๆ
ลู่เซิ่งกลิ้งจบก็เริ่มกินอาหารต่อตามขั้นตอน
การกินอาหารดำเนินในถ้ำมังกรโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง ด้านในวางสิ่งมีชีวิตไว้บางส่วน ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผ่านการอาบพลังเวทระดับสูงมาแล้ว
ได้แก่ กวาง หมูป่า และหมาป่า
ทารกมังกรทั้งสี่มีหน้าที่ล่าสัตว์พวกนี้เอง
ลู่เซิ่งคุ้นชินกับร่างกายของทารกมังกรแล้ว ไม่นานก็ล่าได้เป็นตัวแรก เป็นหมู่ป่าร่างกำยำตัวหนึ่งที่ถูกเขาจับเจาะคอ มันขัดขืนอยู่สิบกว่านาทีเลือดค่อยแห้งจนหมดและหยุดนิ่งไป
ทารกมังกรอีกสามตัวงุ่มง่ามกว่าเล็กน้อย แต่ก็ล่าได้อย่างราบรื่น
จากนั้นราชินีมังกรก็ชี้แนะว่าจะล่าสัตว์และกินอาหารได้อย่างไร
การกินอาหารของมังกรสีรุ้งเป็นการปรุงสุก ส่วนใหญ่ไม่ต่างกับมนุษย์ แต่เป็นเพราะมีปริมาณการกินเยอะเกินไป จึงค่อนข้างหยาบกระด้างไปบ้าง
วิธีปรุงอาหารที่พวกเขาชอบคือการย่างด้วยการควบคุมธาตุเปลวไฟ จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงแต่ละชนิดและผงเกลือระหว่างการย่าง
แม้จะฟังดูน่ากินดี แต่มังกรสีรุ้งไม่ทิ้งเครื่องใน หากแต่กินเข้าไปพร้อมกัน
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ภายใต้การชี้แนะของราชินีมังกร ทารกมังกรทั้งสี่ตัวค่อยๆ เริ่มล่า กิน ถ่าย และสะสางกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เอง
ถือว่าใช้ชีวิตตามลำพังได้แล้ว
“พอแล้ว! มานี้ให้หมด” โคบอยเอ็ดทารกมังกรที่เล่นกันอยู่ จากนั้นก็เรียกลู่เซิ่งที่กำลังศึกษาอัญมณีกับวัตถุโบราณอย่างตั้งใจอยู่ด้านข้าง
ทารกมังกรทั้งสี่ตัวพากันเขยิบเข้ามานั่งเรียงแถวกันพร้อมกับมองโคบอย
“ในฐานะอาจารย์เวทมนตร์ของเผ่ามังกรสีรุ้ง ข้า โคบอย จะสอนเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานสุดให้พวกเจ้านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังเป็นครูด้านโลกศาสตร์ที่คอยดูแลพวกเจ้าควบไปด้วย”
“โลกศาสตร์หรือ”
“ถูกต้อง โลกศาสตร์” แม้โคบอยจะเป็นมังกรเพศผู้ที่เย็นชาที่สุดในเผ่ามังกรสีรุ้ง แต่ความรู้และประสบการณ์ของเขาก็เต็มเปี่ยมมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน เป็นเพราะเขาใช้บาดแผลนับไม่ถ้วนบนร่างตัวเองกับขาหลังข้างหนึ่งที่เป๋ไปแล้วของตัวเองแลกมา
เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุด
“ข้าจะบอกพวกเจ้าถึงโครงสร้างอย่างละเอียดของโลกใบนี้ แม้ว่ากระบวนการนี้จะทำให้พวกเจ้าเกิดความไม่รู้และความสงสัยยิ่งกว่าเดิม แต่ข้าไม่ได้รับผิดชอบตอบทั้งหมด” โคบอยตอบอย่างเคร่งขรึม
“สิ่งที่ท่านพูดคือสิ่งที่ท่านเจอมาก่อนหรือ” ทารกมังกรตัวหนึ่งถามเสียงดัง
“แน่นอน ตั้งแต่วินาทีที่ข้าเปิดปาก คำพูดใดๆ ที่ข้าบอกออกมาล้วนไม่ใช่คำโกหก!” โคบอยใช้สายตาดุร้ายถลึงมองทารกมังกรตัวนั้น
“อย่างนั้นมาเริ่มกันเลย”
“อันดับแรกข้าขออธิบายโครงสร้างของโลกทั้งใบให้พวกเจ้าฟังคร่าวๆ ก่อน” โคบอยกล่าวเสียงดัง
“โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ถูกเรียกว่ามิติสสารหลัก และมีโลกในมิตินับไม่ถ้วนซึ่งมีจำนวนเหลือคณานับวนรอบมิติสสารหลัก โลกเหล่านี้บ้างใหญ่บ้างเล็ก โลกที่ใหญ่ที่สุดเป็นตัวแทนของสวรรค์ ห้วงอเวจี ยมโลก และทะเลธาตุ สวรรค์คือสถานที่ที่เหล่าเทวดาและทวยเทพอาศัยอยู่ ส่วนห้วงอเวจีเป็นสถานที่ที่อสูรและจอมอสูรอาศัยอยู่ และยมโลกเป็นที่อยู่ของพวกปีศาจ”
“แล้วทะเลธาตุล่ะขอรับ” ลู่เซิ่งยกมือขึ้นถาม นอกจากปีกจักจั่นสีทองคู่หนึ่งแล้ว มังกรสีรุ้งจะมีแขนขาอย่างละสองข้าง ดังนั้นเลยสามารถใช้มือจัดการงานต่างๆ ได้เหมือนมนุษย์
“ทะเลธาตุเป็นที่รวมตัวของมิติธาตุทั้งหลาย ที่นี่คือสถานที่ที่เหล่าผู้ร่ายเวทชื่นชอบที่สุด มันเต็มไปด้วยพลังงานธาตุ รวมถึงสิ่งมีชีวิตลึกลับนับไม่ถ้วน ที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือมหาโลกธาตุทั้งสี่” โคบอยแนะนำอย่างคร่าวๆ
“เข้าใจแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ตอนนี้ข้าจะขอบรรยายให้พวกเจ้าฟังอย่างเป็นทางการ โครงสร้างคร่าวๆ ของสวรรค์…”
…
พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าปี
กลางมหาทวีป ส่วนลึกของเขาภูษาขาวอันเป็นที่ซ่อนของมังกรสีรุ้ง
ทารกมังกรทั้งสี่ตัวเติบโตเป็นมังกรน้อยที่สูงราวสองเมตรกว่าๆ แล้ว พวกเขาผ่านการสั่งสอนจากศาสตร์วิชาต่างๆ มามากมาย จึงมีความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมต่อความรู้ด้านการเอาชีวิตรอดขั้นพื้นฐานแล้ว
ขณะเดียวกัน ในเวลาห้าปีที่ผ่านมา โคบอยยังได้สอนวิธีการสกัดธาตุขั้นพื้นฐานสุดให้แก่พวกเขาอีกด้วย
การควบคุมเวทมนตร์ธาตุเป็นทักษะพื้นฐานที่มังกรสีรุ้งทุกตัวต้องใช้เป็น
มังกรสีรุ้งไม่มีความสามารถต่อสู้ระยะประชิดที่แข็งแกร่ง พวกเขาอาศัยความเข้ากันได้กับธาตุและพรสวรรค์เวทมนตร์เหนือธรรมดาของตัวเองเท่านั้น
และหลังจากผ่านการสั่งสอนขั้นพื้นฐานในสาขาต่างๆ มาห้าปี ในที่สุดร่างกายของมังกรน้อยทั้งสี่ก็ถึงเวลาเริ่มทดลองพลังงานธาตุแล้ว
“เวทมนตร์ธาตุ เป็นศัพท์เรียกการควบคุมพลังงานธาตุ โบสถ์เทพสงครามในอดีตได้คิดระบบทดสอบระดับอาชีพที่แม่นยำขึ้นชุดหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีการถ่ายทอดมา แต่ว่าระดับการทดสอบคล้ายๆ กันนี้ก็ถูกเลียนแบบขึ้นมาใหม่” โคบอยมองดูมังกรสี่ตัวที่เริ่มทดสอบการควบคุมโคลนผสมธาตุชนิดต่างๆ ที่อยู่ด้านหน้าตัวเอง
นี่เป็นคาบเรียนที่สำคัญที่สุดของพวกเขา คาบเรียนต่อจากนี้จะลดน้อยลงอย่างใหญ่หลวง เพื่อที่จะปล่อยให้มังกรน้อยเหล่านี้เติบโตขึ้นด้วยตัวเอง
เผ่ามังกรสีรุ้งมีคัมภีร์และวัตถุเสริมเวทไม่น้อย ซึ่งมากพอจะให้พวกเขาขุดคุ้ยและทดลองเอง
“ขออนุญาตถามว่า ระบบวัดระดับนี้มีประโยชน์อะไรต่อพวกเราหรือขอรับ” มังกรน้อยตัวหนึ่งยกมือขึ้นถาม
“ย่อมมี เผ่าอื่นๆ แบ่งเผ่ามังกรของพวกเราออกเป็นระดับอาชีพในแบบที่ต่างกัน เหมือนกับพวกเจ้าในตอนนี้ที่เป็นมังกรน้อย และเป็นมังกรน้อยในหมู่มังกรสีรุ้ง ดังนั้นระดับของพวกเจ้าจึงไม่เกินขั้นห้า แต่ก็ไม่ต่ำกว่าขั้นสองเช่นกัน พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อเทียบกับนักรบแล้ว การล่าและความสามารถในการต่อสู้ของพวกเจ้าในเวลานี้เทียบได้กับนักรบขั้นห้าเป็นอย่างมากสุด และเทียบได้กับระดับนักรบขั้นสองเป็นอย่างน้อยสุด” โคบอยอธิบาย “ถึงจะอยู่ระหว่างขั้นห้าถึงขั้นสอง ก็จงอย่าดูถูกนักรบล่ะ หลังจากพวกเขากลายเป็นนักรบขั้นสองก็หมายความว่าได้ครอบครองคุณสมบัติร่างกายอันแข็งแกร่งที่อยู่เหนือคนธรรมดาไปแล้ว จึงไม่อาจนับว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาได้อีก”
โคบอยกล่าวอย่างฉะฉาน ค่อยๆ เริ่มจากระดับตื้นถึงระดับลึก เพื่อบรรยายการแบ่งระดับอาชีพให้แก่มังกรน้อยทั้งสี่ฟัง
หลังจากบรรยายเนื้อหาจบ เขาก็เริ่มบรรยายเนื้อหาเกี่ยวกับเวทมนตร์อีกครั้ง
เวทมนตร์ก็เหมือนกับนักรบ มีการแบ่งออกเป็นระดับมากมายเหมือนกัน ใช้ในการแบ่งจอมเวทตามระดับการร่ายเวท
โคบอยเล่าว่า ผู้ร่ายเวทแบ่งเป็นสาขาต่างๆ สาขาธาตุเป็นแค่หนึ่งในนี้ ครอบครองพลังทำลายของพลังธาตุ พวกเขาจึงถูกเรียกว่าสายสร้างพลังงาน
ส่วนสายอื่นๆ ก็มีสายผู้ใช้ความตาย สายเสริมเวท สายอัญเชิญ และสายพยากรณ์ เป็นต้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การร่ายเวทจำเป็นต้องใช้พลังจิตในระดับผิว และพลังจิตระดับผิวก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้สำหรับทุกสิ่งมีชีวิต
แม้ว่าหลังจากใช้พลังจิตระดับผิวแล้วจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เองทุกวัน แต่เวทมนตร์คาถาที่จดจำไว้ในส่วนพลังจิตส่วนนี้จะถูกลืมโดยสิ้นเชิงหลังจากถูกร่ายออกไป
ดังนั้นจำเป็นต้องทบทวนความทรงจำด้านเวทมนตร์บ่อยๆ
มังกรน้อยตัวอื่นยังพอว่า แต่พอลู่เซิ่งฟังถึงตรงนี้ กลับคุ้นเคยเป็นพิเศษ
กฎนี้ทำให้เขานึกถึงกฎการร่ายเวทของทางตะวันตกที่เคยได้ยินมาก่อนสมัยยังอยู่บนโลกใบเดิม
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ส่วนที่โคบอยบรรยายในภายหลังคล้ายคลึงกับกฎการร่ายเวทสักประเภทหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของเขาถึงขีดสุด
โดยเฉพาะส่วนที่เวทมนตร์ที่ผู้ร่ายเวทใช้ได้มีจำนวนคงที่ และอาศัยการเชื่อมต่อกับข่ายเวทเพื่อปล่อยออกมา
เรื่องนี้ทำให้เขาเกิดภาพประทับใจอย่างล้ำลึก
หลังจากคาบเรียนของโคบอยจบลง เขาก็จัดระเบียบข้อมูลที่ตัวเองได้มาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รบเร้าให้โคบอยเล่าความรู้เรื่องการร่ายเวททั้งหมดที่ตัวเองรู้ให้เขาฟัง
ไม่นาน ลู่เซิ่งก็ได้ทำความเข้าใจจากคำบอกเล่าของโคบอย
ระดับของผู้ร่ายเวทจะแยกแยะตามระดับเวทมนตร์กับจำนวนการร่ายเวทที่สอดคล้องกัน
อย่างเช่นมังกรน้อยที่ผ่านการสกัดธาตุเป็นเวลาห้าปี สามารถเติมเต็มเงื่อนไขในการปล่อยเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานสุดได้แล้ว
นั่นคือการควบคุมธาตุขั้นพื้นฐาน
พรสวรรค์ด้านธาตุที่เหนือล้ำของมังกรสีรุ้งทำให้พวกเขาสามารถจัดเรียงพลังงานธาตุทั้งสี่เป็นสภาพพิเศษต่างๆ แล้วเอามาเล่นสนุกกลางฝ่ามือได้
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ โคบอยไม่ได้สอนเวทมนตร์ธาตุให้แก่พวกเขา เพียงแค่ให้พวกเขาไปเรียนที่ถ้ำเก็บคัมภีร์อย่างอิสระเท่านั้น
หลังจากได้รับคำอนุญาตแล้ว มังกรน้อยทั้งสี่ตัวก็พุ่งเข้าถ้ำเก็บคัมภีร์ และตามหาคัมภีร์ที่ตัวเองชอบมาอ่านอย่างกุลีกุจอ
โลกใบนี้ไม่มีกิจกรรมบันเทิง และพวกเขาก็อยากได้คัมภีร์มากมายในถ้ำเก็บคัมภีร์จนน้ำลายสอมานานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปเพราะติดขัดที่ผู้อาวุโสเท่านั้น พอตอนนี้ได้รับการอนุญาต ก็เหมือนกับปลาได้น้ำ หมกตัวอยู่ในกองคัมภีร์ทั้งวันไม่ยอมออกมา
ลู่เซิ่งก็เป็นเหมือนกัน เขาเจอวัตถุดิบสำหรับเรียนร่ายเวทมนตร์ตั้งแต่ขั้นหนึ่งถึงขั้นเก้าของผู้ร่ายเวทเป็นตัวแรก
ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่มนุษย์แต่ง แต่พอผ่านการแก้ไขด้วยมังกรสีรุ้ง มันก็กลายเป็นหนึ่งในสื่อการสอนขั้นพื้นฐานของเผ่าไปโดยปริยาย
พอได้สื่อการสอนมา เขาก็เข้าสู่โลกของเวทมนตร์แต่ละชนิดจนถอนตัวไม่ขึ้น
ส่วนมังกรน้อยที่เหลือยังพอจะรักษาความอยากเรียนเอาไว้ได้ในตอนที่รสชาติสดใหม่ยังอยู่เท่านั้น
ทว่าต่อมา หลังจากได้รับคำอนุญาตให้ออกไปด้านนอกได้ มังกรน้อยทั้งสามก็พลันพุ่งออกจากถ้ำมังกรไปเล่นกันอยู่รอบๆ อย่างร่าเริง จนลืมสิ่งสำคัญไปเสียสนิท
อย่าว่าแต่ความก้าวหน้าในการเรียนเลย สิ่งที่เคยเรียนก็ละเลยไปไม่น้อย
ราชินีมังกรเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร
นิสัยเด็กๆ ในช่วงวัยเด็กเป็นส่วนที่มีประโยชน์ต่อความแข็งแรงทางจิตใจของมังกรน้อยเช่นกัน
กลับกัน นางกับอาจารย์มังกรอีกหลายตัวค่อนข้างเป็นห่วงลู่เซิ่งที่หมกตัวอยู่กลางกองหนังสือมากกว่า พวกเขากลัวว่าการแยกจากกลุ่มของลู่เซิ่งอาจจะสร้างผลกระทบและความค้างคาใจที่ไม่ดีบางส่วนให้ในอนาคต
ดังนั้นพวกเขาเลยมักจะเตือนให้ลู่เซิ่งออกไปเล่นกับมังกรน้อยตัวอื่นเป็นประจำ
แต่ก็ถูกลู่เซิ่งปฏิเสธเสียงแข็ง
โดยปกติแล้ว เมื่ออายุถึงสิบขวบ มังกรสีรุ้งจะงอกอวัยวะที่ควบคุมลูกไฟเวทที่เป็นเวทมนตร์ในสายสร้างพลังงานได้เอง
ตอนอายุห้าสิบปี จะใช้ธาตุไฟที่อยู่ต่ำกว่าขั้นห้าได้ตามใจ และใช้เวทมนตร์ธาตุสายอื่นๆ ที่ต่ำกว่าขั้นสามได้อย่างผ่อนคลายเช่นกัน
นี่คือพรสวรรค์ของมังกรสีรุ้ง พวกเขาเป็นปรมาจารย์ผู้ร่ายเวทมนตร์ธาตุตั้งแต่กำเนิด เกิดมาพร้อมความสามารถร่ายเวทระดับสามเป็นอย่างต่ำ นี่ไม่ต้องการการเล่าเรียน แค่โตขึ้นก็จะใช้ได้เอง
แต่ลู่เซิ่งไม่ได้พอใจอยู่แค่นี้