ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 714 สีทอง (2)
บทที่ 714 สีทอง (2)
“ทุกท่านสวัสดีตอนกลางวันค่ะ ข้าคือเจ้าของร้านกาแฟน้ำพุพิสุทธิ์ ร้านกาแฟของพวกเราจัดการสถานการณ์เมื่อครู่ได้ไม่ทันกาล เลยพลอยทำให้อารมณ์ของทุกท่านขุ่นข้อง ดังนั้นข้าจึงขอประกาศมา ณ ที่นี้ว่า รายการทั้งหมดบนโต๊ะในวันนี้จะได้รับการลดราคาครึ่งหนึ่ง”
หญิงสาวค่อยๆ โค้งตัวแก่แขกทุกคน ถือเป็นการขอโทษ
แม้จะมีแขกไม่เยอะ แต่ทุกคนต่างก็ชูแก้วด้วยรอยยิ้มเป็นการตอบกลับ
ลู่เซิ่งชูแก้วด้วยรอยยิ้มเช่นกัน เรื่องเล็กๆ นี้จึงจบลงเช่นนี้ แต่ว่าในตอนที่เขาดื่มเสร็จและเตรียมจะลุกนั่นเอง
บริกรคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา แล้ววางเทียบเชิญใบหนึ่งลงบนโต๊ะของเขา
“นายท่าน พรุ่งนี้ที่นี่จะจัดชุมนุมวิจารณ์กาแฟขนาดเล็กๆ เจ้าของร้านของพวกเราจะส่งเทียบเชิญให้แก่แขกที่ทดลองรสชาติเดิมของกาแฟอย่างไม่ยอมลดละ ถ้าหากไม่ติดอะไร ท่านสามารถเข้าร่วมได้ตามกำหนดเวลา เมื่อถึงเวลานั้นจะมีการให้ชิมเมล็ดกาแฟที่ล้ำค่าหลากหลายชนิดซึ่งเจ้าของร้านได้เก็บรักษาไว้ ท่านสามารถเข้าร่วมการวิจารณ์ได้นะขอรับ”
“ตกลง” ลู่เซิ่งรับเทียบเชิญไว้ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านกาแฟ
อยู่อย่างสงบสุขมาหลายปี ชีวิตสงบจนเขาไม่ชินเล็กน้อย
ลู่เซิ่งไม่ได้อยู่ที่ถ้ำมังกรมานานแล้ว ที่นั่นมอบให้องค์กรใช้เป็นฐานทัพแก่บริวารจำนวนมาก
ตอนนี้เขาซื้อคฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองมาตรฐานที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองแสงอรุณเท่าไหร่ ปกติแล้วจะอาศัยอยู่ที่นี่
ในเมืองมาตรฐานมีขอทานมากมาย ช่วงนี้ว่ากันว่าเกิดทุพภิกขภัย เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดี ราคาข้าวพุ่งทะยาน กอปรกับเศรษฐกิจตกต่ำ คนจำนวนไม่น้อยทนไม่ไหวเลยกลายเป็นขอทาน
ระหว่างทางขากลับ ลู่เซิ่งเห็นคนไม่ต่ำกว่าสามสี่คนหิวจนนอนแน่นิ่งอยู่ริมถนนด้วยลมหายใจโรยริน
รอบๆ มีสุนัขและและแมวที่ผอมหนังหุ้มกระดูกส่วนหนึ่งรออยู่ หากพวกเขาหมดลมเมื่อไหร่ สุนัขและแมวแสนน่ารังเกียจเหล่านี้จะเข้าไปรุมกินทันที
ลู่เซิ่งถึงขั้นเห็นคนอุ้มทารกหน้าเขียวไว้ในอ้อมอก
ทารกคนนั้นหายใจแผ่วเบา หิวจนหน้าซีดขาว ริมฝีปากไม่มีสีเลือด
รถม้าของขุนนางถูกลากผ่านถนนตลอดเวลา หย่อมโคลนเล็กๆ ที่กระเด็นขึ้นตกใส่ร่างขอทานที่น่าสงสารเหล่านี้
ทุกอย่างดูเหมือนกับทุพภิกขภัยยุคกลางที่สกปรกวุ่นวาย
ลู่เซิ่งไม่มีความเห็นใจเหลือพอจะไปช่วยคนอื่น การที่ควบคุมขุมกำลังของตัวเองไม่ให้ทำร้ายพวกเขาในการต่อสู้ได้ ก็ถือว่าเป็นความเมตตาสูงสุดที่เขามอบให้คนธรรมดาแล้ว
เลี้ยวผ่านมุมถนนอย่างคุ้นเคย ตอนที่ผ่านร้านหนังสือที่ปิดทำการแล้วแห่งหนึ่ง จู่ๆ ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงแหวกลมเร่งร้อนดังมาจากเหนือศีรษะทางขวามือ
ถัดจากนั้นก็มีเสียงแหวกอากาศอีกหลายสายตามติดไป
กลางอากาศมีเสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังมาเบาๆ
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้าและสัมผัสคนห้าคนที่กำลังออกห่างไปขณะไล่ล่ากัน เขาไม่ได้สนใจ ก่อนจะเดินไปยังบ้านตัวเองต่อ
แม้การไล่ล่าแบบนี้จะหาดูได้ยากแต่ก็ไม่ใช่เห็นเป็นครั้งแรก เมืองมาตรฐานวุ่นวายมาก
เดินตามถนนไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ไปถึงด้านหน้าประตูเหล็กของคฤหาสน์ที่ตนซื้อไว้
ตอนนี้เขาควรจะหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูเหล็กเข้าไป จากนั้นก็ให้พ่อบ้านเตรียมน้ำร้อนและอาหาร แล้วเข้าไปพักผ่อนตามความเคยชิน
ทว่าตอนนี้ เขากลับค่อยๆ หยุดลง
เดิมทีช่องลับที่เว้าจมช่องหนึ่งบนเสากำแพงทางขวามือของประตูคฤหาสน์จะเอาไว้ใช้วางตะเกียงน้ำมันสำหรับส่องสว่าง
ทว่าตอนนี้ตะเกียงน้ำมันหายไปแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือตาโตสว่างไสวและใสกระจ่างคู่หนึ่ง
ในดวงตาขาวโพลนไร้สิ่งเจือปน เหมือนกับดวงดาวและอัญมณีที่สว่างที่สุด
เป็นเด็กทารก
เป็นเด็กทารกที่เพิ่งถูกยัดเข้าไป เป็นทารกที่ผู้ถูกไล่ล่าคนเมื่อครู่อุ้มไว้ในอกอย่างแนบแน่น
ในสภาพแวดล้อมที่ถูกไล่ล่า ขอแค่เด็กทารกคนนี้ส่งเสียงร้องไห้ ก็ไม่อาจรอดชีวิตและซ่อนตัวมาถึงตอนนี้ได้
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ตั้งแต่ลู่เซิ่งกลับมาถึงหน้าประตูแล้วพบเข้า เด็กทารกกลับไม่ร้องเลยสักแอะ
ลู่เซิ่งสบตากับเด็กทารกอย่างงุนงงอยู่สักพัก
รอบๆ เงียบสงัด ลู่เซิ่งนิ่งอยู่สักพัก จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปอุ้มเด็กทารกลงมา
เขาลูบด้านล่างดู
“เป็นเด็กผู้หญิง เก่งจริงๆ” เขาชม “ในเมื่อเจ้ามีวาสนากับข้า อย่างนั้นก็มาอยู่กับข้าเถอะ”
เด็กทารกจ้องมองเขาตาแป๋ว ในดวงตาคือความบริสุทธิ์ใสกระจ่าง ไม่มีอะไรเจือปน
รอจนกระทั่งได้ยินประโยคนี้ นางกลับยกยิ้มมุมปากทั้งสองข้างอย่างอ่อนหวาน
…
สิบห้าปีต่อมา…
“ข้าชื่อลู่หงเย่ เป็นลูกสาวพ่อค้าธรรมดาๆ คนหนึ่ง ท่านพ่อข้าเป็นเจ้าของร้านค้าที่ขายวัตถุโบราณและของเก่า แม่ข้าทิ้งพวกเราไปตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเด็กมากๆ ปล่อยให้ข้ากับท่านพ่อพึ่งพากันและกัน ตอนที่ข้าอายุได้สิบขวบ ท่านพ่อบอกข้าว่า ข้าถูกเขาเก็บมา ถ้าดื้อจะเอาไปทิ้ง เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ท่านพ่อท่านแม่ของตัวเองมักจะชอบใช้ข้ออ้างนี้สอนลูกๆ ตอนอายุสิบสองขวบ ท่านพ่อพาข้าย้ายบ้านมาถึงเมืองแสงอรุณที่อยู่ห่างออกมาห้าสิบหกสิบกิโลเมตร แล้วทำธุรกิจค้าวัตถุโบราณต่อ ข้าเคยเกลี้ยกล่อมท่านพ่อให้หาภรรยาใหม่ อย่าทำให้ช่วงวัยหนุ่มของตัวเองเสียเปล่า แต่ท่านพ่อเอาแต่เงียบ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อ ท่านพ่อรักข้ามาก แต่ข้าไม่อยากกลายเป็นพันธนาการของเขาเพราะความรักนี้ ดังนั้น ข้าเลยอยากถามว่า ในเมืองมีร้านซ่อมแว่นตาอยู่ที่ไหน ตอนกลางวันข้าเผลอทำแว่นตาหักโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หาที่ซ่อมไม่เจอเลย”
ในคาบเรียนปีสี่ของสถาบันเกอนาแห่งเมืองแสงอรุณ
นักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังมองลู่หงเย่ที่กำลังเล่นมุกฝืดอย่างจริงจังบนแท่นบรรยายอย่างอึ้งงัน
ตอนแรกครูประจำชั้นขอให้นักเรียนใหม่ทุกคนแนะนำตัวเอง อย่างไรก็เป็นชั้นเรียนฝึกพิเศษที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ทว่าตอนนี้…
“ยังคงไร้อารมณ์ขันกันเหมือนเดิม” ลู่หงเย่ค่อยๆ เดินลงมาจากแท่นบรรยายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“โลกแสนน่าเบื่อ ชีวิตแสนน่าเบื่อ” นางมองใบหน้าสับสนด้านหน้าโต๊ะเรียนด้วยใจสงบนิ่ง
ทั้งๆ ที่ตอนที่ท่านพ่อเล่นมุกนี้ ข้าหัวเราะจนเจ็บท้องแท้ๆ แต่คนเหล่านี้…ไร้อารมณ์ขันสิ้นดี
หลังจากเงียบงันสักพัก ครูประจำชั้นก็กระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะให้นักเรียนคนต่อไปแนะนำตัวเองต่อ
ลู่หงเย่เรียนอย่างเบื่อหน่ายเกียจคร้าน ฟังเนื้อหาที่ไร้สาระไปจนกระทั่งหมดคาบ
แสงอัสดงย้อมตรอกเล็กๆ บนถนนจนแดงก่ำ
ลู่หงเย่เตะก้อนกรวดบนถนน สะพายกระเป๋าหนังสือกับแขนข้างหนึ่ง ไม่สนใจเครื่องแบบโรงเรียนที่เป็นกระโปรงสั้นลายตารางขาวดำที่ตนใส่อยู่แม้แต่น้อย
ผมยาวสีทองที่ปลิวมาบังใบหน้าเป็นบางครั้ง ถูกนางปัดไปด้านหลังอย่างหงุดหงิด
เดินนวยนาดไปมาตลอดทาง ในที่สุดนางก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการเดินบนเส้นทางที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีจบลง
จากนั้นก็มาถึงหน้าคฤหาสน์หลังเล็กๆ ที่เก่าคร่ำคร่าอยู่บ้างหลังหนึ่ง
หยิบกุญแจออกมาจากหน้าอก เปิดประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย พ่อบ้านชรากำลังถือบัวรดน้ำรดสวนดอกไม้อยู่
“สวัสดีค่ะท่านตาแฮงค์”
“สวัสดีขอรับคุณหนู” พ่อบ้านพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะทำงานต่อไป
ลู่หงเย่วิ่งเหยาะเข้าห้องรับแขก เห็นผู้เป็นพ่อกำลังดื่มกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งมาส่งบนโซฟาพอดี เส้นสายกล้ามเนื้อที่กำยำเป็นมัดๆ บนร่าง ราวก้อนหิน
“กลับมาแล้วเหรอ” ผู้เป็นพ่อวางหนังสือพิมพ์ลง ก่อนจะขมวดคิ้วมองชุดกระโปรงหลวมโพรกของลู่หงเย่
“พ่อบอกอะไรไปจำไม่ได้หรือ”
ลู่หงเย่เห็นประกายเย็นชาสายหนึ่งแวบผ่านดวงตาของผู้เป็นพ่อ
จึงค่อยพบว่าตัวเองลืมจัดเครื่องแบบก่อนเข้าประตูมา นางตัวสั่นรีบจัดเสื้อและชายกระโปรงให้เข้าที่
“เข้ากับเพื่อนในชั้นเรียนใหม่ที่โรงเรียนได้ดีไหม” ผู้เป็นพ่อพยักหน้าช้าๆ และถามขึ้นอีก
“พอได้ค่ะ” ลู่หงเย่หัวเราะแห้งสองคำ นางมีใบหน้ารูปไข่ที่นับว่าหมดจด แต่กลับมีคิ้วกระบี่ที่คมกริบ ชวนให้รู้สึกถึงความงามของทั้งเพศชายและเพศหญิงที่มีความองอาจแฝงอยู่ในความคมกล้านั้น แต่ตอนนี้ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามนี้กลับยิ้มประจบ
“ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ แล้วค่อยมาทำการบ้านของวันนี้” ผู้เป็นพ่อว่าต่อ
“ค่า” ลู่หงเย่ลากเสียงยาวขานตอบอย่างจนใจ
หลังจากที่ภูตผีดลบันดาลให้นางอุ้มพิณคันหนึ่งไม่ยอมปล่อยมือตอนอายุแปดขวบ การฝึกพิณที่ทำให้นางเสียใจตลอดชีวิตก็เปิดฉากขึ้น
ตั้งแต่อายุแปดปีถึงสิบห้าปี นางผ่านความทรมานมาไม่น้อย หลายครั้งที่นางอยากยอมแพ้ แต่เมื่อมีท่านพ่อที่เข้มงวดกวดขันอยู่ด้วย ทำให้พอยอมแพ้เมื่อไหร่ก็โดนทุบตีเมื่อนั้น
หลังจากผ่านไปหลายครั้งหลายคราว ลู่หงเย่ก็ยอมรับชะตากรรม ฝึกฝนพิณทุกๆ วันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงอย่างไม่ยอมลดละ ผ่านมาหลายปี จึงค่อยๆ กลายเป็นนิสัยของนางไปแล้ว
ขึ้นไปบนชั้นสองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดประตูและเดินเข้าห้องนอน
ลู่หงเย่ดึงผ้าม่านแล้วเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ จากนั้นก็ปิดประตูห้อง เดินไปถึงหน้าตู้เสื้อผ้า แต่ขณะกำลังจะเปิดตู้นั่นเอง
“ช่วยด้วยๆ!” อยู่ๆ ก็มีเสียงแหลมเล็กดังมาจากด้านในตู้เสื้อผ้า
ลู่หงเย่ผุดสีหน้างุนงง ก่อนจะค่อยๆ แง้มตู้ออก
เสียงพรึ่บดังขึ้น เงาสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากร่องแยก
“ช่วยด้วย!” เงาสีทองบินวนอยู่รอบหนึ่ง แล้วหยุดลงบนไหล่ของลู่หงเย่อย่างฉับพลัน ก่อนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“เกือบไปๆ เกือบหายใจไม่ออกแล้ว!”
ลู่หงเย่กะพริบตาจ้องมองสัตว์ตัวเล็กๆ
“กิ้งก่าน้อย…สีทองหรือ”
“เจอท่านสักที ฝ่าบาทฌาร์!” กิ้งก่าน้อยพูดภาษามนุษย์พร้อมทั้งแสดงสีหน้าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
“ฝ่าบาท? ฌาร์?” ลู่หงเย่งงงวย “เจ้าเป็นใครเนี่ย จำผิดแล้วกระมัง”
นางเคยได้ยินมาก่อนว่า ในนิยายมีตัวตนอย่างสัตว์เวทมนตร์และสัตว์วิญญาณ
“ไม่ใช่เพคะ! นางไม่ได้จำผิดคน ฝ่าบาทฌาร์ที่เคารพ ในที่สุด ผ่านมาหลายปี ในที่สุดก็เจอตัวท่านแล้ว…”
ในห้องไม่ทราบว่ามีผู้หญิงคลุมหน้าร่างสูงชะลูดคนหนึ่งโผล่มาตั้งแต่ตอนไหน นางคุกเข่าข้างหนึ่ง สะพายหอกสั้นสองเล่มที่วางซ้อนกันไว้ด้านหลัง กลิ่นอายดุดันกระจายออกมาจากร่างจางๆ
ลู่หงเย่กะพริบตา งงงันจนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฝ่าบาท สิบสี่ปีก่อน กระหม่อมถูกคนไล่ล่า เลยต้องจำใจวางท่านไว้หน้าบ้านของคนบ้านนี้ จึงค่อยหนีรอดจากภัยพิบัติได้ ตอนนี้ภัยพิบัติผ่านไปแล้ว ศัตรูไม่มีเวลามาสนใจอีกต่อไป กระหม่อมจึงมีเวลามาพาท่านกลับไป” หญิงที่คลุมหน้ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
กิ้งก่าพูดได้ตัวหนึ่ง ผู้หญิงคลุมหน้าฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่ง กับตำนานมหากาพย์ที่ซาบซึ้งตรึงใจ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่หงเย่ที่ไม่ค่อยรู้จักระวังตัวก็ได้ทราบชาติกำเนิดที่แท้จริงจากปากของสองคนนี้
ที่แท้นางเป็นองค์หญิงคนเล็กสุดของเผ่ามังกรทองในตำนาน ท่านพ่อของนางถูกทรยศจนเป็นเหตุให้ถูกฆ่าตายในหอคอยราชามังกรทอง
ส่วนท่านแม่ต้องพิษจนตายในการต่อสู้ภายใน ตอนนี้สายเลือดของราชามังกรจึงเหลือแค่นางคนเดียว
และเผ่ามังกรทองก็กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน มีแต่สายเลือดราชามังกรเท่านั้นถึงจะใช้มรดกของราชวงศ์เพื่อตามหาความหวังของการช่วยเหลือได้
ดังนั้นเจ้ากิ้งก่ากับหญิงคลุมหน้าจึงมาเพื่อให้ลู่หงเย่ออกหน้านำพาขุมกำลังของราชามังกรทองและปลุกชีพเผ่ามังกรทองขึ้นใหม่
ลู่หงเย่ฟังเรื่องราวจบด้วยสีหน้าสับสน พร้อมกับมองเจ้ากิ้งก่ากับหญิงสาวอย่างตะลึงงัน
“ฝ่าบาทรีบกลับไปพร้อมพวกเราเถอะเพคะ! เวลาไม่เหลือแล้ว หากช้ากว่านี้จะไม่ทันกาลนะเพคะ!” หญิงสาวเอ่ยเสียงร้อนรน
“เจ้ากำลังจะบอกว่า ข้าไม่ใช่มนุษย์โดยกำเนิด หากแต่เป็นองค์หญิงราชามังกรทองอะไรสักอย่างงั้นเหรอ” นางชี้ตัวเองพลางกล่าวอย่างงุนงง
“ถูกต้องเพคะ!”
“พวกเจ้ายังบอกด้วยว่า ข้ามีสายเลือดราชวงศ์ที่แข็งแกร่งร้ายกาจโดยกำเนิด แถมยังมีพลังยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุดและพลังเวทมนตร์ที่น่าตกตะลึง?” ลู่หงเย่กล่าวขณะที่ชี้ตัวเองต่อ
“เพคะฝ่าบาท!” ทั้งสองรีบพยักหน้า
“พวกเจ้ายังบอกอีกว่า เบื้องหลังข้ามีมรดกราชวงศ์ ถ้าไม่มีสายเลือดของข้าก็ไม่อาจ…”
“ลู่หงเย่! ยังไม่ฝึกอีก! อยากตายหรือไง!?”
เสียงตะโกนดังมาจากนอกประตู
ลู่หงเย่ขนลุกขนชัน ตกใจจนกระโดดผึงออกจากเตียง เสียงนั้นทำให้ห้องทั้งห้องสั่นไหว
“ระ…รู้แล้วค่ะ! กำลัง…กำลังฝึกอยู่!” นางตอบกลับเสียงดังอย่างตะกุกตะกัก