ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 715 วางแผน (1)
บทที่ 715 วางแผน (1)
เฮอะ…
ลู่เซิ่งแค่นเสียง ก่อนจะลากร่างสีแดงที่มีศีรษะเป็นมนุษย์ตัวเป็นมังกรออกจากประตูห้องอย่างช้าๆ
รอยเลือดหนาข้นลากเป็นทางไปบนพื้น แต่ไม่นานก็ถูกพื้นดูดซับจนสลายไปโดยอัตโนมัติ
พื้นเหมือนกับยังคงสะอาดหมดจดเหมือนก่อนหน้า ราวกับไม่เคยเปื้อนเลือดมาก่อน
ถึงกับมีคนกล้ามาโจมตีเขาที่เป็นจักรพรรดิมวยเงามาร ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่มีอันตรายเพียงเล็กน้อยทั้งหมดในอาณาเขตหลายสิบกิโลเมตรรอบๆ ถูกเขาสังหารจนสิ้นซากเพื่อความปลอดภัยของหงเย่ไปตั้งแต่แรกแล้ว
ถ้าไม่ใช่แบบนี้ เขาคงไม่วางใจปล่อยให้หงเย่ไปเข้าเรียนที่สถาบัน
“ฝึกเสร็จแล้วให้รีบทบทวนบทเรียนต่อ! เดี๋ยวดึกๆ พ่อจะกลับมาตรวจ ถ้ายังทำการบ้านไม่เสร็จล่ะก็ เราได้เห็นดีกันแน่!” ลู่เซิ่งเสริมไปหนึ่งประโยคก่อนจะออกห่างจากประตู
“ค่ะ…ค่ะ!” เสียงสั่นงันงกดังมาจากในห้อง
ลู่เซิ่งลากศพด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนจะโยนเข้าใส่พุ่มดอกไม้ในสวน
พุ่มดอกไม้ที่สดใสมีนางฟ้าตัวน้อยที่สวมชุดราตรีงดงามหลายตนบินออกมา
นี่คือแฟรี่ พวกนางมีรูปโฉมและร่างกายที่งดงาม ทุกๆ ตนมีขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น
หลังจากร่างโดนโยนเข้าไป ศพก็ถูกแฟรี่แยกส่วนกลายเป็นชิ้นเนื้อนับไม่ถ้วนแล้วกลืนกินทันที
เหล่าแฟรี่ทุกตนพุ่งเข้ามาอย่างเริงร่า อ้าปากกว้างออก เผยให้เห็นฟันเลื่อยคมกริบที่กำลังขย้ำคำโต
นี่คือแฟรี่แห่งความกลัวที่ลู่เซิ่งเพาะเลี้ยงออกมาในเวลาสิบห้าปี เขาสามารถเลือกเวทมนตร์ระดับตำนานที่เป็นของตัวเองเพียงคนเดียวได้ในตอนที่เลื่อนสู่ระดับตำนานขั้นสิบเก้าเมื่อเมื่อสี่ปีก่อน
ลู่เซิ่งไม่ได้เลือกเวทมนตร์อื่น หากเลือกเวทสร้างวิญญาณเป็นเวทมนตร์ระดับตำนานของตัวเอง
“รีเบคกาล่ะ” ลู่เซิ่งไม่มองแฟรี่แห่งความกลัว หากถามเสียงเย็น
“ค่ะนายท่าน” แฟรี่แห่งความกลัวที่มีผมยาวสีแดงจับกระโปรงยาวสีขาวราวหิมะบินมาช้าๆ แล้วคุกเข่าลงคำนับลู่เซิ่ง
“เมื่อครู่เจ้าไปทำอะไรมา” ลู่เซิ่งจ้องมองรีเบคกาด้วยสายตาเย็นชา
แฟรี่แห่งความกลัวสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอากาศรอบๆ เย็นตัวลง นางรับผิดชอบเฝ้าระวังความปลอดภัยในบริเวณรอบๆ แต่เมื่อครู่ได้แอบอู้ไปอาบน้ำที่ห้องใต้ดิน โดยให้บริวารของตนช่วยเฝ้าแทน
“ข้า…เมื่อครู่ข้า…ไปอาบน้ำมาค่ะ…” รอยยิ้มบนใบหน้านางแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว ร่างกายเริ่มสั่นระริก
“หมายความว่าที่แมลงตัวน้อยสองตัวแอบดอดเข้าไปเมื่อครู่ เจ้าไม่รู้ตัวเลยสินะ” สายตาของลู่เซิ่งเย็นเยียบกว่าเดิม
“ขะ…ข้า…” รีเบคกาตัวสั่นเทา หน้างามที่ขาวผ่องชวนลุ่มหลงในตอนแรกขาวซีดและสูญเสียสีเลือดทั้งหมดไป
ฟ้าว!
พริบตานั้นมีแสงสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบ รีเบคกาหายไปจากที่เดิมในพริบตา กลางอากาศไม่เหลือร่องรอยของนางอยู่อีก
อา!
แฟรี่แห่งความกลัวตนหนึ่งอดกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวไม่ได้ แต่เสียงเพิ่งดังออกมา ก็ถูกแสงสีดำม้วนเอาไว้แล้วหายสาบสูญไปทันที
ตอนแรกแฟรี่แห่งความกลัวที่เหลืออยู่ยังเบิกบานเพราะได้กินเลือด เวลานี้กลับหวาดหวั่นพรั่นกลัว
“ไอรา เจ้ารับตำแหน่งของรีเบคกาต่อ เรื่องแบบนี้ ข้าหวังว่าจะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองนะ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเชื่องช้า
แฟรี่แห่งความกลัวที่มีผมยาวสีดำตนหนึ่งค่อยๆ บินออกมา ใบหน้ายังเหลือความแตกตื่นหวาดกลัวอยู่รางๆ
“ค่ะ…ค่ะ! ข้าจะไม่เลินเล่อเด็ดขาด!” ปีกโปร่งแสงสองคู่ด้านหลังไอราสั่นอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นถึงความกลัวของนางในตอนนี้
“แมลงตัวน้อยสองตัวที่เข้ามาแล้วนั้น ในเมื่อเย่หงเจอเข้าแล้ว อย่างนั้นก็ปลดสิทธิ์เข้าออกของพวกเขาก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งย่อมดูออกว่าใครมีเจตนาร้าย ใครมีเจตนาดี
เด็กน้อยทั้งสองนั่นเป็นผู้ที่ภักดีต่อเย่หงจริงๆ การปลดสิทธิ์เข้าออกให้พวกเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่
“รับทราบแล้วค่ะ!” ไอรารีบพยักหน้า
ลู่เซิ่งค่อยหมุนตัวเดินไปยังสวนดอกไม้หน้าคฤหาสน์
พ่อบ้านแฮงค์เดินมาจากอีกฝั่งพอดี แขนขวาของเขาเปื้อนรอยเลือดจุดหนึ่ง
“นายท่าน มนุษย์มังกรสิบกว่าตนที่จับตาดูแมลงน้อยสองตัวนั้นถูกจัดการไปหมดแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าทางสวนด้านหลังจะมีหลุดเข้าไปได้สองตน”
ลู่เซิ่งมองแฮงค์ สังเกตเห็นว่าเขาแสดงสีหน้าที่โหดเหี้ยมอำมหิตน่ากลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขารู้ว่าอดีตฆาตกรฆ่าคนที่เคยถูกคนเรียกว่าปีศาจดวงตาผู้นี้ถูกเลือดกระตุ้นความคึกคักขึ้นแล้ว
“เจ้ากินดวงตาอีกแล้วหรือ” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ
“นายท่านอนุญาตให้ข้าน้อยกินดวงตาคนที่ลงมือกับข้าได้ไม่ใช่หรือ” แฮงค์ยิ้ม เห็นลิ้นสีแดงฉานเรียวยาวหลายสิบเส้นได้จากร่องฟันที่แยกออก
“เย่หงเห็นไหม” ลู่เซิ่งถามอย่างราบเรียบ
“ไม่ขอรับ! ไม่มีทางเด็ดขาด!” แฮงค์จิตใจเย็นเยียบ ก่อนจะรีบตอบ
“ถ้าถูกเห็นล่ะก็ เจ้ารู้ผลลัพธ์นะ” ลู่เซิ่งหมุนตัวเข้าคฤาหสน์โดยไม่พูดอะไรต่ออีก
ทิ้งพ่อบ้านที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะให้ยืนอยู่กับที่
…
“เอานี่ไปด้วย ต้องมีประโยชน์ระหว่างทางแน่ ไอ้นั่นด้วย แก้วน้ำก็เหมือนกัน! ของกิน เสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยน ถ้าจะเดินทางอย่างน้อยต้องเอาไปด้วยสองชุด!”
ด้านในห้องนอน ลู่หงเย่กำลังเก็บสัมภาระของตนอย่างระมัดระวัง เตรียมจะออกเดินทางพร้อมกิ้งก่าน้อยและหญิงคลุมหน้า
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าพ่อข้าจะไม่เจอ” ลู่หงเย่ไม่เชื่อสิ่งที่สองคนนี้พูดโดยสิ้นเชิง นางเพียงแค่อยากหาโอกาสแอบออกไปเที่ยวเท่านั้น
ชีวิตน่าเบื่อหน่ายเกินไป อุตส่าห์เจอโอกาสได้สนุกสักที นางย่อมไม่ยอมปล่อยทิ้งไป
ถึงจะกลัวท่านพ่อมาก แต่ว่ากิ้งก่าน้อยกับหญิงคลุมหน้าที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะร้ายกาจมาก บางทีอาจจะแอบพานางหนีออกไปได้
“แน่นอนเพคะ!”
กิ้งก่าสีทองรีบตอบ
“ตอนที่พวกเราเข้ามาไม่มีใครพบสักคนเดียว เข้ามาที่นี่อย่างไร้สุ้มเสียงเลยเพคะ!” มันกล่าวโอ้อวด
ลู่หงเย่พยักหน้า ในใจเกิดความตื่นเต้น
เมื่อครู่กิ้งก่าน้อยได้ช่วยนางกระตุ้นรอยตราสายเลือดของราชามังกรทองบนตัวนางแล้ว
รอยตราสีทองที่สว่างไสวสายนั้นไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย เหมือนกับงอกออกมาจากด้านในแขนของนาง
มิหนำซ้ำนางยังสัมผัสถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ที่ไหลเวียนออกมาจากร่างกายของตนได้อย่างเลือนรางด้วย
นี่ทำให้นางเชื่อคำพูดของคนสองคนนี้กว่าเดิม
แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวต่อท่านพ่อที่สะสมมาแรมเดือนแรมปี นางจึงตัดสินใจติดตามสองคนนี้ออกไปหลังฝึกพิณและทำการบ้านเสร็จ
“ตกลง แต่อย่าลืมกลับมาตอนกลางคืนนะ เกิดท่านพ่อเจอว่าตอนกลางคืนข้าไม่ได้อยู่ในห้อง พรุ่งนี้ข้าโดนตีตายแน่!” พอลู่หงเย่นึกถึงความทรงจำที่ตนเคยโดนทุบตีก็ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
“ไม่ต้องห่วงเพคะ! อยู่ใกล้ๆ นี่เอง พวกเราได้รวบรวมบริวารเก่าของราววงศ์ราชามังกรทองมาไม่น้อย วันนี้หลักๆ ท่านแค่ไปพบหน้าทุกคนก็พอเพคะ” กิ้งก่าน้อยตอบอย่างรวดเร็ว
“ตกลง” ลู่หงเย่ตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เปลือกนอกไม่แสดงออก เพียงแค่อมยิ้ม ทำท่าเย็นชาเหมือนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นี่เป็นธรรมเนียมของตระกูลลู่
ท่านพ่อได้บอกไว้ว่า ไม่ว่าจะเจอเรื่องใด ขอแค่ยิ้มอย่างเย็นชาก็จะไม่เสียท่าเด็ดขาด!
ไม่นานก็เก็บของเรียบร้อย
ลู่หงเย่วางการบ้านที่ต้องตรวจไว้บนโต๊ะตัวเล็กข้างประตู นี่เป็นจุดที่ลู่เซิ่งจะมาตรวจการบ้านทุกวัน
จากนั้นก็จับชายกระโปรงและย่องลงบันได
“คุณหนูจะออกไปด้านนอกหรือขอรับ” อยู่ๆ เสียงของพ่อบ้านแฮงค์ก็ดังมาจากด้านหลัง
ลู่หงเย่สะดุ้ง ดีที่ให้ทั้งสองคนนั้นเอาสัมภาระออกไปแล้ว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงอธิบายไม่ได้จริงๆ
นางหันกลับไปมองใบหน้าอ่อยโยนชวนน่าสนิทสนมของพ่อบ้าน
“ท่านตาแฮงค์ไม่พักผ่อนหรือคะ ดึกขนาดนี้แล้ว”
“ยังมีเรื่องต้องสะสางน่ะขอรับ แต่ก็ใกล้เสร็จแล้ว คุณหนูออกไปด้านนอกดึกขนาดนี้ ระวังลมหนาวด้านนอกด้วยนะขอรับ” แฮงค์ยิ้มอย่างเมตตาขณะลูบศีรษะของหงเย่
“ขอบคุณค่ะท่านตาแฮงค์ ข้าเพียงแค่ออกไปครู่เดียว เดี๋ยวก็กลับค่ะ” ลู่หงเย่แลบลิ้นและพูดอ้อน “อย่าบอกท่านพ่อได้ไหมคะ”
“จะให้เฒ่าแฮงค์ไปเป็นเพื่อนไหมขอรับ” แฮงค์ถามอีก
“ไม่ต้องค่ะๆ!” ลู่หงเย่รีบโบกมือ
“ก็ได้ขอรับ ท่านไปเถอะ อย่าดึกเกินไปนะขอรับ เดี๋ยวนายท่านพบเข้าจะแย่เอา…” แฮงค์พยักหน้าและเอ่ยด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“รักท่านตาที่สุดเลยค่ะ!” ลู่หงเย่เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มแฮงค์ ก่อนจะหมุนตัววิ่งเหยาะๆ ออกไป แล้วหายไปจากประตูเหล็กอย่างรวดเร็ว
แฮงค์ใช้สายตาส่งนางจากไป ยืนอยู่ที่เดิมสักพักจึงค่อยๆ เดินไปอีกทาง
นับตั้งแต่กิ้งก่าน้อยสีทองมาหา ชีวิตของลู่หงเย่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ทุกวัน หลังจากฝึกฝนพิณและทำการบ้านเสร็จ เวลาที่เหลือของนางก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป มักติดตามเจ้ากิ้งก่าน้อยสีทองออกไปฝึกพิเศษเป็นประจำ
รอยตราราชวงศ์สีทองบนตัวเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ พลังในตัวแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
นางไม่ใช่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ เหมือนในวันวานอีกแล้ว คุณสมบัติทุกด้านของนางที่ได้รับการกระตุ้นพลังทางสายเลือดเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง พัฒนาขึ้นด้วยความเร็วสูงแทบทุกวินาทีภายใต้ผลของการฝึกพิเศษ
กระนั้นไม่ว่าพลังของนางจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนเมื่ออยู่ด้านนอก เวลาอยู่ที่บ้านนางก็ยังคงเป็นลู่หงเย่ผู้ว่านอนสอนง่ายเหมือนเดิม
นางไม่อยากจะลากท่านพ่อกับท่านตาแฮงค์เข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
แม้ท่านพ่อจะบึกบึน แต่ก็เป็นแค่เจ้าของร้านวัตถุโบราณธรรมดาๆ ท่านตาแฮงค์ก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน แถมยังอายุเยอะแล้ว ไม่ควรจะต้องมาตกใจกลัว
นางเพียงแค่อยากจะเพลิดเพลินกับชีวิตราบเรียบแบบนี้ไปเรื่อยๆ เท่านั้น
“อรุณสวัสดิ์นะแฟรี่น้อย” ลู่หงเย่ถือหนังสือเรียนมาท่องบทเรียนที่สวนดอกไม้ด้านหลังตั้งแต่เช้าตรู่
ความจริงนางยังซ่อนความลับเล็กๆ ไว้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือในสวนดอกไม้หลังบ้านของนางยังมีแฟรี่กลุ่มหนึ่งแอบอาศัยอยู่
นางยังจำความประหลาดใจและความสุขอันน่าอัศจรรย์ในตอนที่พบแฟรี่เป็นครั้งแรกได้
“จิ๊บๆๆ…” แฟรี่กลุ่มหนึ่งโผล่หัวออกมาจากพุ่มดอกไม้และมองนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ผิวนุ่มนวล ดวงหน้าเล็กๆ ที่งดงาม ผมยาวที่เรียบลื่น เอวที่คอดกิ่ว ยามประคองไว้บนมือเหมือนกับตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่วิจิตรล้ำค่าที่สุด
ลู่หงเย่ลูบศีรษะของแฟรี่ที่มีผมสีดำตนหนึ่งเบาๆ
“ข้าต้องท่องหนังสืออีกแล้ว หวังว่าจะไม่รบกวนพวกเจ้านะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แฟรี่น้อยกลุ่มหนึ่งลืมตาโตแล้วล้อมเข้ามาอย่างสนใจ ห้อมล้อมนางผ่านร่องแยกของพุ่มดอกไม้ เหมือนจะสนอกสนใจหนังสือที่นางท่องมาก
พุ่มดอกไม้ที่สดใสหอมหวน แฟรี่น้อยในนิทานที่น่ารักน่าหลงใหล บวกกับฤดูร้อนที่ดวงอาทิตย์สว่างไสว
ทั้งหมดนี้ทำให้ลู่หงเย่เหมือนอยู่ในนิทานแสนสวยงามซึ่งไม่อาจถอนตัวได้
ในห้องสมุดบนชั้นสองที่อยู่ไม่ไกลออกไป ลู่เซิ่งเอามือไพล่หลังพร้อมกับมองลู่หงเย่ที่อยู่ด้านล่างนอกหน้าต่าง
ลู่หนิงหายสาบสูญ ความคิดและช่องว่างในใจเขามีลู่หงเย่มาเติมเต็ม
‘ถ้าหนิงหนิงอยู่นี่ น่าจะโตกว่าหงเย่นิดหน่อย น่าเสียดาย…’ ลู่เซิ่งถอนใจเบาๆ
“นายท่าน ให้คุณหนูหงเย่สัมผัสเรื่องพวกนี้เร็วเกินไปจะไม่เป็นไรหรือคะ”
เฌอลีนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาพูดเบาๆ เวลานี้อดีตอัศวินมนตราที่แข็งแกร่งที่สุดในบุปผาธำมรงค์กลายเป็นผู้เข้มแข็งระดับตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดในที่แจ้งของลู่เซิ่งแล้ว
“ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก แค่ให้นางปรับตัวและเล่นสนุกเท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “เรื่องของพวกเรา อีกไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องเข้าร่วมด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงเท่ากับการฝึกฝน”
เฌอลีนพยักหน้าช้าๆ
“เผ่ามังกรทองเปิดศึกกับเผ่ามังกรนิล การต่อสู้ภายในของเผ่ามังกรกินเวลานานมาโดยตลอด ข้ากลัวว่าพวกมังกรทองแก่ๆ พวกนั้นจะผลักคุณหนูออกไปเป็นเป้า”
“ถ้าให้เจ้าสู้กับมังกรทองโบราณสักตัว เจ้ามั่นใจไหม” ลู่เซิ่งโพล่งถาม
“…เอ่อ…” เป็นเพราะด้ายกระตุ้นวิญญาณ เฌอลีนเลยสำเร็จร่างอมตะ อีกทั้งตัวเองมีพลังระดับตำนานขั้นต้นอยู่แล้ว จึงมีความมั่นอกมั่นใจ แต่ถ้าจะให้สู้กับมังกรทองโบราณสักตัว…